เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-28 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-29
ทุกตลาดล้วนมีจังหวะการเต้นของหัวใจของตัวเอง และ “ความลึกของตลาด (Depth of Market)” ก็คือจังหวะนั้น สำหรับเทรดเดอร์ มันเปรียบเสมือนการได้มองหลังม่าน เพื่อเห็นว่ามีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนเท่าใดกำลังแข่งขันกันอยู่ในแต่ละระดับราคา ยิ่งมีคำสั่งซื้อขายหนาแน่นมากเท่าใด ตลาดนั้นก็ยิ่งมีสภาพคล่องและเสถียรมากขึ้นเท่านั้น
โดยพื้นฐานแล้ว ความลึกของตลาดแสดงให้เห็นว่าใครกำลังรอซื้อหรือขาย ที่ราคาเท่าไร และในปริมาณเท่าใด การเข้าใจแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น ระบุแนวรับแนวต้านได้แม่นยำยิ่งขึ้น และปรับจังหวะการเข้า–ออกของการเทรดให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

ความลึกของตลาด หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า Order Book คือรายการแบบเรียลไทม์ที่แสดงคำสั่งซื้อและขายที่รอการดำเนินการทั้งหมดของสินทรัพย์ทางการเงิน โดยจะแสดงระดับราคาและปริมาณคำสั่งในทั้งสองด้านของตลาด ได้แก่
ฝั่ง Bid: เทรดเดอร์ที่ต้องการ “ซื้อ”
ฝั่ง Ask: เทรดเดอร์ที่ต้องการ “ขาย”
แต่ละแถวใน DOM แทนหนึ่งระดับราคา โดยแสดงให้เห็นว่ามีปริมาณคำสั่งซื้อหรือขายเท่าใดที่รออยู่ ตัวอย่างเช่น หากมีคำสั่งซื้อ 200 หน่วยที่ราคา 1.1050 และคำสั่งขาย 150 หน่วยที่ราคา 1.1052 ตลาดก็มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในช่วงราคานี้ไปจนกว่าจะมีคำสั่งใหม่เข้ามา
ราคาของสินทรัพย์ทางการเงินไม่ได้เคลื่อนไหวแบบสุ่ม แต่เกิดจาก “ความไม่สมดุล” ระหว่างฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย เมื่อคำสั่งซื้อมีมากกว่าคำสั่งขาย ราคาก็จะมีแนวโน้มปรับขึ้น และในทางกลับกัน หากคำสั่งขายมีมากกว่า ราคาก็มักจะลดลง
ข้อมูลจาก DOM ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็น “แรงดึงดูดของตลาด” ผ่านจุดที่มีกลุ่มคำสั่งขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งมักกลายเป็น “เขตสภาพคล่อง (Liquidity Zones)” ที่ส่งผลต่อความสามารถของราคาในการเคลื่อนไหว
หน้าจอ DOM มาตรฐานมักประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก:
Price Levels: แสดงราคาในแนวตั้ง โดยราคาสูงอยู่ด้านบน ราคาต่ำอยู่ด้านล่าง
Bid Volume: จำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมดในแต่ละระดับราคา
Ask Volume: จำนวนคำสั่งขายทั้งหมดในแต่ละระดับราคา
หากมีคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ในฝั่ง Bid แสดงถึง “อุปสงค์ที่แข็งแกร่ง” ที่ระดับนั้น ในทางกลับกัน คำสั่งขายจำนวนมากในฝั่ง Ask อาจบ่งชี้ถึง “แนวต้าน” ที่อาจทำให้ราคาขึ้นต่อได้ยาก
สมมติว่า EUR/USD เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับ 1.1000 บนหน้าจอ DOM คุณเห็นคำสั่งซื้อจำนวนมากระหว่าง 1.0990–1.0992 รวมมูลค่า 10 ล้านยูโร ขณะที่มีคำสั่งขายเพียง 2 ล้านยูโรเหนือระดับ 1.1010 ความไม่สมดุลนี้แสดงถึง “แรงซื้อที่แข็งแกร่ง” ด้านล่างราคา หากราคาลดลงมาที่บริเวณ 1.0990 ฝั่งผู้ซื้ออาจดูดซับแรงขายไว้และผลักดันราคาให้ดีดกลับขึ้น
ในทางกลับกัน หากมีคำสั่งขายขนาดใหญ่ปรากฏที่ระดับ 1.1020 ก็อาจทำให้ราคาถูก “กดไว้” จนกว่าคำสั่งขายนั้นจะถูกจับคู่หมด เทรดเดอร์สามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อคาดการณ์จุดกลับตัว (Reversal) หรือการทะลุแนวต้าน (Breakout) ได้
“สภาพคล่อง” หมายถึงความง่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมาก DOM ช่วยให้เราเห็นภาพสภาพคล่องในตลาดได้อย่างชัดเจน:
สภาพคล่องลึก (Deep Liquidity): มีคำสั่งจำนวนมากในหลายระดับราคา ส่งผลให้ราคาขยับอย่างราบรื่น
สภาพคล่องตื้น (Shallow Liquidity): มีคำสั่งน้อย ทำให้การซื้อขายเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ราคาผันผวนได้มาก
ในคู่เงินหลักอย่าง EUR/USD ความลึกของตลาดมักจะสูง มีคำสั่งนับพันในแต่ละระดับราคา แต่ในคู่เงินรองหรือคู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) DOM จะบางกว่า ส่งผลให้สเปรดกว้างและราคากระโดดแรงมากกว่า
เทรดเดอร์สายสั้นมักใช้ DOM เพื่อสังเกตว่าบริษัทสถาบันใหญ่กำลังวางคำสั่งซื้อหรือขายที่ใด ตัวอย่างเช่น หากมีคำสั่งซื้อจำนวนมากปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เทรดเดอร์แบบ Scalper อาจเข้าเทรดตามกระแสนั้นเพื่อเก็งกำไรในระยะเวลาอันสั้น
DOM ช่วยให้มองเห็นจุดที่อาจเป็น “จุดกลับตัวของราคา” ได้อย่างชัดเจน หากมีคำสั่งซื้อหนาแน่นซ้ำ ๆ ที่ระดับ 1.1000 ระดับนั้นมักกลายเป็น “แนวรับ” ทั้งในเชิงจิตวิทยาและเชิงเทคนิค
การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องช่วยกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้า–ออกจากสถานะ ตัวอย่างเช่น หากพบว่าสภาพคล่องบางลงก่อนการประกาศข่าวสำคัญ อาจต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะราคาสามารถพุ่งขึ้นหรือลงอย่างรุนแรงโดยไม่คาดคิด
เทรดเดอร์บางรายอาจวางคำสั่งซื้อหรือขายขนาดใหญ่โดยไม่มีเจตนาที่จะดำเนินการจริง เพื่อสร้างภาพลวงให้ตลาดเข้าใจผิด การเฝ้าดูว่า “คำสั่งใหญ่” เหล่านี้ปรากฏและหายไปอย่างไรใน DOM สามารถช่วยเปิดโปงกลยุทธ์หลอกลวงเช่นนี้ได้
ในปี 2010 ตลาดหุ้นสหรัฐเกิดเหตุการณ์ “Flash Crash” ราคาดัชนีร่วงลงเกือบ 9% ภายในไม่กี่นาที หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ “คำสั่งซื้อ” ที่หายไปจาก DOM อย่างกะทันหัน เมื่อสภาพคล่องหายไป ไม่มีผู้ซื้อเพียงพอ ราคาจึงดิ่งลงอย่างรุนแรง เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าความลึกของตลาดมีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพของตลาดเพียงใด เพราะเมื่อสภาพคล่องบางลง แม้คำสั่งขนาดเล็กก็สามารถทำให้ราคาผันผวนอย่างหนักได้
แพลตฟอร์มเทรดระดับมืออาชีพส่วนใหญ่ เช่น MetaTrader 5, NinjaTrader, หรือ TradingView มีหน้าต่าง DOM ให้ใช้งานโดยตรง สำหรับเทรดเดอร์ในตลาดฟิวเจอร์ส (Futures) มักใช้ข้อมูล DOM ที่ส่งตรงจากตลาดกลาง เช่น CME หรือ Eurex
ส่วนเทรดเดอร์ในตลาด CFD และ Forex โบรกเกอร์จะรวบรวมข้อมูลคำสั่งจากผู้ให้บริการสภาพคล่องหลายรายมาประมวลผล เพื่อแสดง “ความลึกของตลาดโดยประมาณ” แม้จะไม่เหมือนข้อมูลจากตลาดกลางแบบ 100% แต่ก็ยังช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจพฤติกรรมราคาและแรงกดดันของคำสั่งซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ DOM จะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรรู้ไว้ ได้แก่:
ไม่ใช่ทุกคำสั่งจะถูกแสดงออกมา — มีคำสั่งซ่อน (Hidden Orders) หรือ “Iceberg Orders” ที่เผยให้เห็นเพียงบางส่วนเท่านั้น
สถาบันการเงินขนาดใหญ่มักใช้ระบบอัลกอริทึมในการแบ่งคำสั่งใหญ่ให้เป็นคำสั่งย่อย ๆ เพื่อลดการสังเกตจากตลาด
DOM ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่าสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น มากกว่านักลงทุนระยะยาว
ตลาด Forex: แสดงสภาพคล่องที่รวบรวมจากผู้ให้บริการหลายราย ช่วยให้เทรดเดอร์ตรวจจับภาวะ “สภาพคล่องบาง” ก่อนการประกาศข่าวเศรษฐกิจใหญ่ได้
ตลาดฟิวเจอร์ส: สะท้อนข้อมูลจากสมุดคำสั่งซื้อขายของตลาดกลางโดยตรง ให้ความโปร่งใสสูง เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ปริมาณ (Volume Analysis)
ตลาดหุ้น: สมุดคำสั่งซื้อขายแตกต่างกันไปตามตลาดหลักทรัพย์ แต่ละตลาดแสดงคำสั่งซื้อ–ขายพร้อมปริมาณและลำดับเวลาของคำสั่ง
ไม่ทั้งหมด ข้อมูลนี้มีใช้ทั่วไปในตลาด Forex ฟิวเจอร์ส และหุ้น แต่ไม่ค่อยโปร่งใสสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ซื้อขายแบบ Over-the-Counter (OTC)
อัปเดตอย่างต่อเนื่อง แพลตฟอร์มส่วนใหญ่มักรีเฟรชข้อมูลหลายครั้งต่อวินาที เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องแบบเรียลไทม์
DOM ให้ “สัญญาณบ่งชี้” แต่ไม่ใช่ “คำทำนายที่แน่นอน” มันแสดงให้เห็นโซนของอุปสงค์และอุปทาน แต่ผู้เล่นรายใหญ่สามารถปรับเปลี่ยนคำสั่งได้ในทันที ทำให้การคาดเดาทิศทางตลาดยังคงซับซ้อน
ความลึกของตลาด (Depth of Market: DOM) ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง “กราฟราคา” กับ “สภาพคล่องจริงในตลาด” ในขณะที่กราฟราคาบอกเราว่าราคา “เคยไปถึงไหนมาแล้ว” ข้อมูลจาก DOM จะเผยให้เห็นว่าราคา “อาจกำลังจะไปทางไหนต่อ” ผ่านการแสดงกิจกรรมของคำสั่งซื้อขายแบบเรียลไทม์
สำหรับเทรดเดอร์ การเข้าใจ DOM อย่างลึกซึ้งหมายถึงการมองเห็นไม่เพียงแค่สิ่งที่ตลาด “ทำไปแล้ว” แต่ยังรวมถึงสิ่งที่ตลาด “กำลังจะทำต่อไป” ด้วย เมื่อใช้ควบคู่กับการวิเคราะห์พฤติกรรมราคา (Price Action) และปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) ข้อมูล DOM จะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยปรับจังหวะการเข้า–ออก และประเมินแรงโมเมนตัมของตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น
Bid: ราคาที่ผู้ซื้อยินดีจะจ่าย
Ask: ราคาที่ผู้ขายยินดีจะรับ
สเปรด: ส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask
สภาพคล่อง: ความง่ายในการซื้อขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมาก
Order Book: บันทึกดิจิทัลของคำสั่งซื้อและขายที่กำลังรอการดำเนินการอยู่ในตลาด
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ