简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

เข้าใจ “ความลึกของตลาด (Depth of Market)” พลิกมุมมองการเคลื่อนไหวราคา

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-28    อัปเดตเมื่อ: 2025-10-29

ทุกตลาดล้วนมีจังหวะการเต้นของหัวใจของตัวเอง และ “ความลึกของตลาด (Depth of Market)” ก็คือจังหวะนั้น สำหรับเทรดเดอร์ มันเปรียบเสมือนการได้มองหลังม่าน เพื่อเห็นว่ามีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนเท่าใดกำลังแข่งขันกันอยู่ในแต่ละระดับราคา ยิ่งมีคำสั่งซื้อขายหนาแน่นมากเท่าใด ตลาดนั้นก็ยิ่งมีสภาพคล่องและเสถียรมากขึ้นเท่านั้น


โดยพื้นฐานแล้ว ความลึกของตลาดแสดงให้เห็นว่าใครกำลังรอซื้อหรือขาย ที่ราคาเท่าไร และในปริมาณเท่าใด การเข้าใจแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น ระบุแนวรับแนวต้านได้แม่นยำยิ่งขึ้น และปรับจังหวะการเข้า–ออกของการเทรดให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

ความลึกของตลาด (Depth of Market: DOM)


ความลึกของตลาด (Depth of Market: DOM) คืออะไร?


ความลึกของตลาด หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า Order Book คือรายการแบบเรียลไทม์ที่แสดงคำสั่งซื้อและขายที่รอการดำเนินการทั้งหมดของสินทรัพย์ทางการเงิน โดยจะแสดงระดับราคาและปริมาณคำสั่งในทั้งสองด้านของตลาด ได้แก่


  • ฝั่ง Bid: เทรดเดอร์ที่ต้องการ “ซื้อ”

  • ฝั่ง Ask: เทรดเดอร์ที่ต้องการ “ขาย”


แต่ละแถวใน DOM แทนหนึ่งระดับราคา โดยแสดงให้เห็นว่ามีปริมาณคำสั่งซื้อหรือขายเท่าใดที่รออยู่ ตัวอย่างเช่น หากมีคำสั่งซื้อ 200 หน่วยที่ราคา 1.1050 และคำสั่งขาย 150 หน่วยที่ราคา 1.1052 ตลาดก็มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในช่วงราคานี้ไปจนกว่าจะมีคำสั่งใหม่เข้ามา


DOM มีผลต่อการกำหนดราคาอย่างไร?


ราคาของสินทรัพย์ทางการเงินไม่ได้เคลื่อนไหวแบบสุ่ม แต่เกิดจาก “ความไม่สมดุล” ระหว่างฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย เมื่อคำสั่งซื้อมีมากกว่าคำสั่งขาย ราคาก็จะมีแนวโน้มปรับขึ้น และในทางกลับกัน หากคำสั่งขายมีมากกว่า ราคาก็มักจะลดลง


ข้อมูลจาก DOM ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็น “แรงดึงดูดของตลาด” ผ่านจุดที่มีกลุ่มคำสั่งขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งมักกลายเป็น “เขตสภาพคล่อง (Liquidity Zones)” ที่ส่งผลต่อความสามารถของราคาในการเคลื่อนไหว


การอ่านหน้าจอ DOM


หน้าจอ DOM มาตรฐานมักประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก:


  1. Price Levels: แสดงราคาในแนวตั้ง โดยราคาสูงอยู่ด้านบน ราคาต่ำอยู่ด้านล่าง

  2. Bid Volume: จำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมดในแต่ละระดับราคา

  3. Ask Volume: จำนวนคำสั่งขายทั้งหมดในแต่ละระดับราคา


หากมีคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ในฝั่ง Bid แสดงถึง “อุปสงค์ที่แข็งแกร่ง” ที่ระดับนั้น ในทางกลับกัน คำสั่งขายจำนวนมากในฝั่ง Ask อาจบ่งชี้ถึง “แนวต้าน” ที่อาจทำให้ราคาขึ้นต่อได้ยาก


ตัวอย่างจริง: การไหลของคำสั่งซื้อขายส่งผลต่อราคาอย่างไร?


สมมติว่า EUR/USD เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับ 1.1000 บนหน้าจอ DOM คุณเห็นคำสั่งซื้อจำนวนมากระหว่าง 1.0990–1.0992 รวมมูลค่า 10 ล้านยูโร ขณะที่มีคำสั่งขายเพียง 2 ล้านยูโรเหนือระดับ 1.1010 ความไม่สมดุลนี้แสดงถึง “แรงซื้อที่แข็งแกร่ง” ด้านล่างราคา หากราคาลดลงมาที่บริเวณ 1.0990 ฝั่งผู้ซื้ออาจดูดซับแรงขายไว้และผลักดันราคาให้ดีดกลับขึ้น


ในทางกลับกัน หากมีคำสั่งขายขนาดใหญ่ปรากฏที่ระดับ 1.1020 ก็อาจทำให้ราคาถูก “กดไว้” จนกว่าคำสั่งขายนั้นจะถูกจับคู่หมด เทรดเดอร์สามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อคาดการณ์จุดกลับตัว (Reversal) หรือการทะลุแนวต้าน (Breakout) ได้


ความลึกของตลาดกับสภาพคล่อง (Liquidity)


“สภาพคล่อง” หมายถึงความง่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมาก DOM ช่วยให้เราเห็นภาพสภาพคล่องในตลาดได้อย่างชัดเจน:


  • สภาพคล่องลึก (Deep Liquidity): มีคำสั่งจำนวนมากในหลายระดับราคา ส่งผลให้ราคาขยับอย่างราบรื่น

  • สภาพคล่องตื้น (Shallow Liquidity): มีคำสั่งน้อย ทำให้การซื้อขายเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ราคาผันผวนได้มาก


ในคู่เงินหลักอย่าง EUR/USD ความลึกของตลาดมักจะสูง มีคำสั่งนับพันในแต่ละระดับราคา แต่ในคู่เงินรองหรือคู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) DOM จะบางกว่า ส่งผลให้สเปรดกว้างและราคากระโดดแรงมากกว่า


วิธีที่เทรดเดอร์ใช้ประโยชน์จาก DOM


การเก็งกำไรและการเทรดรายวัน


เทรดเดอร์สายสั้นมักใช้ DOM เพื่อสังเกตว่าบริษัทสถาบันใหญ่กำลังวางคำสั่งซื้อหรือขายที่ใด ตัวอย่างเช่น หากมีคำสั่งซื้อจำนวนมากปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เทรดเดอร์แบบ Scalper อาจเข้าเทรดตามกระแสนั้นเพื่อเก็งกำไรในระยะเวลาอันสั้น


การระบุแนวรับและแนวต้าน


DOM ช่วยให้มองเห็นจุดที่อาจเป็น “จุดกลับตัวของราคา” ได้อย่างชัดเจน หากมีคำสั่งซื้อหนาแน่นซ้ำ ๆ ที่ระดับ 1.1000 ระดับนั้นมักกลายเป็น “แนวรับ” ทั้งในเชิงจิตวิทยาและเชิงเทคนิค


การจับจังหวะเข้าและออกจากตลาด


การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องช่วยกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้า–ออกจากสถานะ ตัวอย่างเช่น หากพบว่าสภาพคล่องบางลงก่อนการประกาศข่าวสำคัญ อาจต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะราคาสามารถพุ่งขึ้นหรือลงอย่างรุนแรงโดยไม่คาดคิด


การจับสัญญาณคำสั่งปลอม


เทรดเดอร์บางรายอาจวางคำสั่งซื้อหรือขายขนาดใหญ่โดยไม่มีเจตนาที่จะดำเนินการจริง เพื่อสร้างภาพลวงให้ตลาดเข้าใจผิด การเฝ้าดูว่า “คำสั่งใหญ่” เหล่านี้ปรากฏและหายไปอย่างไรใน DOM สามารถช่วยเปิดโปงกลยุทธ์หลอกลวงเช่นนี้ได้


กรณีศึกษา: เหตุการณ์ Flash Crash ปี 2010


ในปี 2010 ตลาดหุ้นสหรัฐเกิดเหตุการณ์ “Flash Crash” ราคาดัชนีร่วงลงเกือบ 9% ภายในไม่กี่นาที หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ “คำสั่งซื้อ” ที่หายไปจาก DOM อย่างกะทันหัน เมื่อสภาพคล่องหายไป ไม่มีผู้ซื้อเพียงพอ ราคาจึงดิ่งลงอย่างรุนแรง เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าความลึกของตลาดมีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพของตลาดเพียงใด เพราะเมื่อสภาพคล่องบางลง แม้คำสั่งขนาดเล็กก็สามารถทำให้ราคาผันผวนอย่างหนักได้


เครื่องมือที่ใช้แสดง DOM


แพลตฟอร์มเทรดระดับมืออาชีพส่วนใหญ่ เช่น MetaTrader 5, NinjaTrader, หรือ TradingView มีหน้าต่าง DOM ให้ใช้งานโดยตรง สำหรับเทรดเดอร์ในตลาดฟิวเจอร์ส (Futures) มักใช้ข้อมูล DOM ที่ส่งตรงจากตลาดกลาง เช่น CME หรือ Eurex


ส่วนเทรดเดอร์ในตลาด CFD และ Forex โบรกเกอร์จะรวบรวมข้อมูลคำสั่งจากผู้ให้บริการสภาพคล่องหลายรายมาประมวลผล เพื่อแสดง “ความลึกของตลาดโดยประมาณ” แม้จะไม่เหมือนข้อมูลจากตลาดกลางแบบ 100% แต่ก็ยังช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจพฤติกรรมราคาและแรงกดดันของคำสั่งซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความลึกของตลาด (Depth of Market)


ข้อจำกัดสำคัญของข้อมูล DOM


แม้ DOM จะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรรู้ไว้ ได้แก่:


  • ไม่ใช่ทุกคำสั่งจะถูกแสดงออกมา — มีคำสั่งซ่อน (Hidden Orders) หรือ “Iceberg Orders” ที่เผยให้เห็นเพียงบางส่วนเท่านั้น

  • สถาบันการเงินขนาดใหญ่มักใช้ระบบอัลกอริทึมในการแบ่งคำสั่งใหญ่ให้เป็นคำสั่งย่อย ๆ เพื่อลดการสังเกตจากตลาด

  • DOM ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่าสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น มากกว่านักลงทุนระยะยาว


การตีความ DOM ในแต่ละตลาด


  • ตลาด Forex: แสดงสภาพคล่องที่รวบรวมจากผู้ให้บริการหลายราย ช่วยให้เทรดเดอร์ตรวจจับภาวะ “สภาพคล่องบาง” ก่อนการประกาศข่าวเศรษฐกิจใหญ่ได้

  • ตลาดฟิวเจอร์ส: สะท้อนข้อมูลจากสมุดคำสั่งซื้อขายของตลาดกลางโดยตรง ให้ความโปร่งใสสูง เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ปริมาณ (Volume Analysis)

  • ตลาดหุ้น: สมุดคำสั่งซื้อขายแตกต่างกันไปตามตลาดหลักทรัพย์ แต่ละตลาดแสดงคำสั่งซื้อ–ขายพร้อมปริมาณและลำดับเวลาของคำสั่ง


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ DOM


Q1. ข้อมูล DOM มีให้สำหรับทุกสินทรัพย์ทางการเงินหรือไม่?


ไม่ทั้งหมด ข้อมูลนี้มีใช้ทั่วไปในตลาด Forex ฟิวเจอร์ส และหุ้น แต่ไม่ค่อยโปร่งใสสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ซื้อขายแบบ Over-the-Counter (OTC)


Q2. ข้อมูล DOM อัปเดตบ่อยแค่ไหน?


อัปเดตอย่างต่อเนื่อง แพลตฟอร์มส่วนใหญ่มักรีเฟรชข้อมูลหลายครั้งต่อวินาที เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องแบบเรียลไทม์


Q3. DOM สามารถช่วยทำนายทิศทางตลาดได้หรือไม่?


DOM ให้ “สัญญาณบ่งชี้” แต่ไม่ใช่ “คำทำนายที่แน่นอน” มันแสดงให้เห็นโซนของอุปสงค์และอุปทาน แต่ผู้เล่นรายใหญ่สามารถปรับเปลี่ยนคำสั่งได้ในทันที ทำให้การคาดเดาทิศทางตลาดยังคงซับซ้อน


ภาพรวมสำคัญ


ความลึกของตลาด (Depth of Market: DOM) ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง “กราฟราคา” กับ “สภาพคล่องจริงในตลาด” ในขณะที่กราฟราคาบอกเราว่าราคา “เคยไปถึงไหนมาแล้ว” ข้อมูลจาก DOM จะเผยให้เห็นว่าราคา “อาจกำลังจะไปทางไหนต่อ” ผ่านการแสดงกิจกรรมของคำสั่งซื้อขายแบบเรียลไทม์


สำหรับเทรดเดอร์ การเข้าใจ DOM อย่างลึกซึ้งหมายถึงการมองเห็นไม่เพียงแค่สิ่งที่ตลาด “ทำไปแล้ว” แต่ยังรวมถึงสิ่งที่ตลาด “กำลังจะทำต่อไป” ด้วย เมื่อใช้ควบคู่กับการวิเคราะห์พฤติกรรมราคา (Price Action) และปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) ข้อมูล DOM จะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยปรับจังหวะการเข้า–ออก และประเมินแรงโมเมนตัมของตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น


คำศัพท์น่ารู้: สรุปสั้น ๆ ที่ควรจำ


  • Bid: ราคาที่ผู้ซื้อยินดีจะจ่าย

  • Ask: ราคาที่ผู้ขายยินดีจะรับ

  • สเปรด: ส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask

  • สภาพคล่อง: ความง่ายในการซื้อขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมาก

  • Order Book: บันทึกดิจิทัลของคำสั่งซื้อและขายที่กำลังรอการดำเนินการอยู่ในตลาด


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ