เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-09
คำสั่งตลาด (Market Order) คือหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สุดของการเทรดแบบแอคทีฟ เป็นคำสั่งที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อซื้อหรือขายสินทรัพย์ทันที ตามราคาที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น
ในเอกสารวิชาชีพด้านการเทรด มักอธิบายคำสั่งตลาดว่าเป็นคำสั่งแบบ “ให้ความสำคัญกับการจัดการคำสั่งก่อน” (execution-first) ซึ่งหมายความว่า เทรดเดอร์ให้ความสำคัญกับการเข้าออกออเดอร์โดยไม่ต้องรอราคา แม้ว่าจะไม่สามารถรับประกันราคาที่ได้แบบเป๊ะ ๆ ได้ก็ตาม
เนื่องจากคำสั่งตลาดอ้างอิงกับราคาที่ผู้เข้าร่วมตลาดรายอื่นได้ตั้งไว้ในสมุดคำสั่ง (order book) คำสั่งประเภทนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการทำงานของตลาดซื้อขายแบบต่อเนื่องอย่างมาก

คำสั่งตลาด (Market Order) คือคำสั่งที่สั่งให้โบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มเทรดดำเนินการซื้อหรือขายทันทีตามราคาที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในฝั่งตรงข้ามของตลาดในขณะนั้น เทรดเดอร์ไม่ได้พยายามล็อก “ราคาที่ต้องการ” แต่ให้ความสำคัญกับความรวดเร็วและความแน่นอนของการถูกส่งคำสั่ง ณ ช่วงเวลาที่คำสั่งเข้าสู่ตลาด
คำสั่งประเภทนี้ไม่รอให้ราคาไปถึงระดับใดระดับหนึ่ง แต่จะเข้าไปใช้สภาพคล่องที่มีอยู่ในตลาดทันที
ด้วยเหตุนี้ Market Order จึงเป็นหนึ่งในคำสั่งที่ง่ายที่สุดและเร็วที่สุดในการดำเนินการ มันถูกใช้อย่างแพร่หลายในกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับความแม่นยำด้านจังหวะ เวลา โมเมนตัม หรือการควบคุมความเสี่ยง มากกว่าการได้ราคาที่เฉพาะเจาะจงในการเข้าออกออเดอร์
Market Order เหมาะที่สุดเมื่อใช้ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง (Deep Liquidity) เช่น หุ้นที่มีการซื้อขายหนาแน่น คู่เงินหลัก (Major Currency Pairs) หรือสัญญาฟิวเจอร์สยอดนิยม ซึ่งมักมีราคาถูกเสนออย่างต่อเนื่องและมีสเปรดแคบ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ คำสั่ง Market Order มักจะถูกเติมเต็ม (Fill) ใกล้เคียงกับราคาที่เห็นก่อนส่งคำสั่ง
อย่างไรก็ตาม หากใช้กับสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายบางเบา (Thinly Traded) หรือในช่วงที่มีความผันผวนสูง ราคาที่ถูกเติมจริงอาจแตกต่างจากราคาที่เห็นก่อนส่งคำสั่ง ส่วนต่างนี้เรียกว่า สลิพเพจ (Slippage) ยิ่งสมุดคำสั่ง (Order Book) เคลื่อนไหวเร็วและไม่สม่ำเสมอมากเท่าไหร่ เทรดเดอร์ก็ยิ่งมีโอกาสเจอ Slippage มากขึ้นเท่านั้น
ถึงแม้จะมีข้อจำกัดดังกล่าว Market Order ก็ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในโครงสร้างตลาด เพราะมันดึงสภาพคล่องออกจากสมุดคำสั่ง (Remove Liquidity) สร้างการจับคู่ซื้อขายใหม่ที่อัปเดตราคาซื้อขายล่าสุด และช่วยให้ตลาดไหลลื่นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเทรดคึกคัก จึงถือเป็นคำสั่งพื้นฐานที่ช่วยให้ตลาดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกวัน
เมื่อเทรดเดอร์ส่งคำสั่ง Market Order ระบบจะค้นหาราคาฝั่งตรงข้ามที่ดีที่สุดในขณะนั้นเพื่อจับคู่คำสั่งทันที:
Market Buy จะจับคู่กับราคาขายที่ต่ำที่สุด (Best Ask)
Market Sell จะจับคู่กับราคาซื้อที่สูงที่สุด (Best Bid)
หากขนาดคำสั่งของเทรดเดอร์มีปริมาณมากกว่าใบสั่งในระดับราคานั้น ระบบจะไล่จับคู่ขึ้นหรือลงไปตามลำดับราคาใน Order Book เพื่อเติมเต็มปริมาณที่เหลือจึงทำให้คำสั่ง Market Order หนึ่งครั้งอาจถูก Fill หลายราคา โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวเร็วหรือมีสภาพคล่องบาง
โดยส่วนใหญ่กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแทบจะทันที แต่ในสถานการณ์ที่ราคาขยับรวดเร็ว เช่น ช่วงออกข่าวใหญ่ ระดับราคาอาจเปลี่ยนไปในขณะที่ระบบกำลังดำเนินคำสั่ง
คุณควรระมัดระวังว่าคำสั่งซื้อ (Buy) อาจถูก Fill ในราคาที่สูงกว่าที่คาด หรือคำสั่งขาย (Sell) อาจถูก Fill ในราคาที่ต่ำกว่าที่เห็นก่อนหน้า นี่คือหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญของการใช้ Market Order ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง

1. การดำเนินการที่รวดเร็ว
Market Order จะถูกส่งและจับคู่ทันที ความรวดเร็วนี้สำคัญมากเมื่อเทรดเดอร์ต้องการเข้า–ออกตลาดโดยไม่ลังเล
เพราะคำสั่งยอมรับสภาพคล่องที่มีอยู่ในตลาด ทำให้โดยส่วนใหญ่จะถูก Fill เต็มจำนวนภายใต้สภาวะตลาดปกติ
มือใหม่มักเริ่มต้นด้วย Market Order เนื่องจากไม่ต้องระบุราคาให้ยุ่งยาก
เมื่อสินทรัพย์มีการซื้อขายหนาแน่นและมีสเปรดแคบ ต้นทุนของการใช้ Market Order จะต่ำลงอย่างมาก
ราคาที่ถูก Fill จริงอาจไม่ตรงกับราคาที่เห็นก่อนกดคำสั่ง โดยเฉพาะช่วงออกข่าวหรือในสินทรัพย์ที่มีปริมาณซื้อขายไม่เสถียร
Market Order จะยอมรับราคาซื้อ–ขายที่ตลาดเสนออยู่เสมอ ซึ่งอาจมีต้นทุนสูงในตลาดที่สเปรดกว้างหรือไม่นิ่ง
หากมีคำสั่งพักรอ (Resting Orders) น้อย ระบบอาจต้องไล่ขึ้น–ลงหลายระดับราคา ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยที่ได้แย่ลง
กลยุทธ์ที่ต้องการราคาที่แม่นยำมักหลีกเลี่ยง Market Order และเลือกใช้ Limit Order แทน
เทรดเดอร์มักใช้ Market Order เมื่อความแน่นอนในการถูกส่งคำสั่งสำคัญกว่าการควบคุมราคา โดยสถานการณ์ที่ใช้บ่อย ได้แก่:
เข้าซื้อหรือขายตามแนวโน้มที่แข็งแรงและกำลังดำเนินอยู่
ปิดสถานะเพื่อลดการขาดทุนที่กำลังเพิ่มขึ้น
ทำกำไรก่อนที่ราคาจะกลับตัว
ออกจากตลาดก่อนเหตุการณ์ที่อาจทำให้ราคาแกว่งแรง
เทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงอย่างต่อเนื่อง
หากคุณเป็น เทรดเดอร์ระยะสั้น โดยเฉพาะสาย Scalping หรือเทรดตามโมเมนตัมในกรอบเวลาเล็ก ควรใช้ Market Order บ่อยครั้ง เพราะการหน่วงเวลาเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กลยุทธ์ที่ขึ้นอยู่กับจังหวะแม่นยำเสียไปทันที
มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนหลายอย่างเกี่ยวกับ Market Order ได้แก่:
Market Order ไม่ได้การันตี ว่าจะถูก Fill ในราคาที่เห็นบนหน้าจอ แต่จะ Fill ตามราคาที่มีอยู่ในขณะนั้นจริง ๆ
Market Order หนึ่งครั้งอาจถูก Fill หลายราคา หากสภาพคล่องกระจายอยู่ตามระดับราคา
Limit Order ไม่ใช่คำสั่งที่ปลอดภัยกว่าเสมอไป เพราะอาจไม่ถูก Fill และทำให้พลาดจังหวะสำคัญ
Slippage เกิดจากสภาพตลาด ไม่ใช่เพราะประเภทคำสั่ง
ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง Market Order มักมีต้นทุนต่ำและได้ราคาที่ใกล้เคียงกับที่คาดหวังอย่างมาก
สลิปเพจ : ส่วนต่างระหว่างราคาที่คาดว่าจะถูก Fill กับราคาจริง มักเกิดในตลาดที่เร็วหรือผันผวน
Bid-Ask Spread : ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อสูงสุด (Bid) และราคาขายต่ำสุด (Ask)
สภาพคล่อง : ความสามารถในการซื้อขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาเคลื่อนไหวมากเกินไป
ภายใต้สภาวะตลาดปกติ มักจะถูกเติมเต็มเกือบตลอดเวลา แม้ว่าราคาจริงที่ได้อาจแตกต่างจากที่คาดไว้เล็กน้อยก็ตาม
เพราะใน Order Book ไม่มีปริมาณคำสั่งเพียงพอในระดับราคาเดียว ระบบจึงต้องไล่จับคู่หลายระดับราคาเพื่อเติมคำสั่งให้ครบ
โดยทั่วไปควรหลีกเลี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนรุนแรง หรือเมื่อเทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำมาก เพราะอาจเกิด Slippage สูงได้
คำสั่งซื้อตลาด (Market Order) คือคำสั่งที่สั่งให้โบรกเกอร์หรือระบบเทรดซื้อหรือขายสินทรัพย์ทันที ตามราคาที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในตลาด มันให้ความรวดเร็วและความเชื่อถือได้ในการดำเนินคำสั่ง จึงเหมาะกับการเทรดแบบแอคทีฟและตลาดที่มีสภาพคล่องสูง
แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเรื่อง Slippage และต้นทุนจาก Spread แต่ด้วยความเรียบง่ายและความรวดเร็ว ทำให้ Market Order เป็นหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับการเข้า–ออกสถานะอย่างทันท่วงที
เมื่อใช้อย่างเข้าใจสภาพตลาดและระดับสภาพคล่อง Market Order ยังถือเป็นประเภทคำสั่งที่ใช้งานได้จริงและมีความจำเป็นอย่างมากในการเทรดยุคปัจจุบัน
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ