Classic Divergence คืออะไร?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

Classic Divergence คืออะไร?

ผู้เขียน: Charon N.

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-11

ความแตกต่าง (Divergence) คือสัญญาณที่เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่ง แต่อินดิเคเตอร์ โดยเฉพาะอินดิเคเตอร์ด้านโมเมนตัม กลับเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม เช่น ราคาอาจทำจุดสูงใหม่ แต่ตัวชี้วัดกลับทำจุดสูงที่ต่ำลง หรือในกรณีตรงข้ามก็ได้


ความแตกต่างนี้สามารถบ่งบอกได้ว่าแนวโน้มอาจเริ่มอ่อนแรงลง หรือการเคลื่อนไหวของราคานั้นอาจไม่แข็งแรงอย่างที่เห็น สำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ความแตกต่างถือเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่มีประโยชน์ ช่วยหลีกเลี่ยงการไล่ตามจังหวะที่อ่อนแรง และเตรียมพร้อมรับการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น


เทรดเดอร์ให้ความสำคัญกับ Classic Divergence มาก เพราะมันสามารถเผยให้เห็นการสูญเสียแรงของแนวโน้มตั้งแต่ระยะต้น ก่อนที่กราฟจะมีสัญญาณกลับตัวชัดเจน ช่วยให้ผู้เทรดมีเวลาปรับความเสี่ยงหรือเตรียมตัวต่อการเปลี่ยนทิศทางของตลาดได้ทันเวลา


คำนิยาม

ในการเทรด Classic Divergence คือความไม่สอดคล้องกันระหว่างโครงสร้างของราคาและโครงสร้างของอินดิเคเตอร์


  • Bullish Classic Divergence: ราคาเกิด Lower Lows แต่ตัวชี้วัดกลับเกิด Higher Lows

  • Bearish Classic Divergence: ราคาเกิด Higher Highs แต่ตัวชี้วัดกลับเกิด Lower Highs


สัญญาณนี้บ่งชี้ว่าแนวโน้มกำลังอ่อนแรงลง และเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการกลับตัวหรือการย่อตัวลึกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม Classic Divergence ไม่ใช่สัญญาณเข้าเทรดโดยตรง แต่เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อบ่งบอกถึงการลดลงของโมเมนตัม

Classic Divergence

เทรดเดอร์จะเห็นความแตกต่างในกราฟที่ใช้เครื่องมือประเภทออสซิลเลเตอร์ (Oscillators) โดยทั่วไป Swing Traders มักตรวจจับไดเวอร์เจนซ์บริเวณระดับสำคัญเพื่อคาดการณ์การกลับตัว และ Intraday Traders ใช้มันระหว่างการเคลื่อนไหวที่ยืดตัวของราคาเพื่อจับจังหวะการพักตัวหรือ Pullback


Classic Divergence จะมีประโยชน์มากขึ้นเมื่อใช้งานร่วมกับโครงสร้างราคา (Market Structure), แนวรับ–แนวต้าน (Support & Resistance), และบริบทของปริมาณการซื้อขาย (Volume Context)


ปัจจัยที่ทำให้ Classic Divergence เปลี่ยนไปในแต่ละวัน: แรงขับเคลื่อนเบื้องหลังความไม่สอดคล้องกัน

ปัจจัยหลายประการก่อให้เกิดความแตกต่าง:

  • โมเมนตัมเริ่มหมดลง แนวโน้มพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ แต่ตัวชี้วัดไม่สามารถรักษาแรงไว้ได้

  • ความไม่แน่นอนในตลาด เมื่อเทรดเดอร์ลังเล อินดิเคเตอร์จะเริ่มแบนราบ แม้ว่าราคาจะยังคงเคลื่อนที่ต่อไป

  • สภาพคล่องต่ำ ตลาดบางช่วงมีการซื้อขายเบาบาง ทำให้ราคาถูกดันไปไกลโดยไม่มีแรงสนับสนุนจริง

  • การคาดการณ์เหตุการณ์ ก่อนประกาศข่าวใหญ่ เทรดเดอร์มักลดสถานะ ส่งผลให้แรงผลักดันของอินดิเคเตอร์อ่อนลง


เมื่อปัจจัยเหล่านี้เกิดขึ้น ราคายังอาจเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ แต่กำลังภายในจะลดลง จนเกิด Classic Divergence ขึ้น


Classic Divergence ส่งผลต่อการเทรดของคุณอย่างไร?

Classic Divergence ช่วยปรับจังหวะเข้าออกให้แม่นยำขึ้น โดยเตือนเทรดเดอร์ไม่ให้ไล่ตามจังหวะที่ยืดตัวเกินไป แต่ควรรอคอนเฟิร์ม รอ Pullback หรือรอให้โครงสร้างราคาเปลี่ยนก่อนเข้าเทรด นอกจากนี้ยังช่วยให้ตัดสินใจออกจากออเดอร์ได้ดีขึ้น เพราะโมเมนตัมที่อ่อนลงมักนำหน้าการกลับตัวแรงๆ

Classic Divergence ส่งผลต่อการเทรดของคุณอย่างไร

เทรดเดอร์จำนวนมากมักจะขยับจุดตัดขาดทุนให้แคบขึ้น หรือทยอยปิดบางส่วนของสถานะ เมื่อเห็นความแตกต่างเกิดขึ้นใกล้บริเวณระดับสำคัญ


จากมุมมองด้านความเสี่ยง การเกิดความแตกต่างบ่งชี้ถึงความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้น เพราะแนวโน้มที่สูญเสียแรงภายในสามารถกลับทิศได้อย่างกะทันหัน


  • สถานการณ์ดี: มีความแตกต่างที่ชัดเจนสอดคล้องกับระดับสำคัญ และเกิดในภาวะตลาดที่เคลื่อนไหวเป็นระเบียบ

  • สถานการณ์ที่ไม่ดี: ความแตกต่างเกิดในตลาดที่ผันผวนแกว่งตัวไร้ทิศทาง เกิดสวนแนวโน้มหลักของกรอบเวลาใหญ่ หรือเกิดในช่วงที่มีข่าวสำคัญแรงๆ


ตัวอย่าง

สมมติคู่เงิน GBP/USD อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ราคาไปทำจุดสูงใหม่ที่ 1.2850 ขณะที่ RSI แตะระดับ 68 ต่อมาราคาขยับขึ้นเล็กน้อยไปที่ 1.2860 แต่ RSI ลดลงมาเหลือ 60 จากนั้นราคาขึ้นต่อไปที่ 1.2870 แต่ RSI ลดลงอีกเป็น 56


ราคาเพิ่มขึ้น แต่ตัวชี้วัดลดลง: นี่คือ Bearish Classic Divergence แบบชัดเจน เทรดเดอร์ที่กำลังจะเปิด ฝั่งซื้อ (Long) อาจเลือกชะลอการเข้า หรือลดขนาดสัญญา เทรดเดอร์ที่ถือ Long อยู่แล้ว อาจขยับจุดตัดขาดทุนให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง


เมื่อราคาปรับลงมาที่ 1.2820 ในภายหลัง ความแตกต่างก็ได้เตือนอย่างถูกต้องว่าแรงซื้อกำลังอ่อนตัวลง


วิธีตรวจสอบก่อนกดซื้อหรือขาย

  • โหลดอินดิเคเตอร์ประเภทออสซิลเลเตอร์ เช่น RSI, MACD หรือ Stochastics

  • มองหา Swing High และ Swing Low ที่ชัดเจนบนราคาก่อน

  • เปรียบเทียบจุดสวิงของราคา กับจุดสวิงของอินดิเคเตอร์

  • ตรวจสอบว่าไดเวอร์เจนซ์เกิดใกล้แนวรับหรือแนวต้านสำคัญหรือไม่

  • ทบทวนแนวโน้มจากกรอบเวลาใหญ่ (Higher Timeframe)

  • หลีกเลี่ยงการประเมินไดเวอร์เจนซ์ระหว่างข่าวแรงหรือช่วงตลาดผันผวนหนัก

  • ตรวจสอบความแตกต่างทุกครั้งเมื่อเกิดสวิงใหม่ หรือเมื่อเริ่มต้นแต่ละเช่วงเวลาเทรด


ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย

  • การพึ่งพาความแตกต่างเพียงอย่างเดียว หากปราศจากโครงสร้าง จะทำให้เกิดสัญญาณที่ผิดพลาด

  • การสร้างรูปแบบโดยบังคับ เทรดเดอร์บางคนลากเส้นเชื่อมจุดที่ไม่ใช่สวิงจริง ทำให้เกิดสัญญาณผิดพลาด

  • ละเลยแนวโน้มที่แข็งแกร่ง แนวโน้มที่ทรงพลังมักจะเอาชนะความแตกต่างได้

  • ควรใช้กรอบเวลาสั้นๆ เท่านั้น กรอบเวลาที่สั้นเกินไปจะทำให้เกิดสัญญาณรบกวน

  • สับสนระหว่าง Classic Divergence และ Hidden Divergence แต่ละอย่างบ่งบอกถึงพฤติกรรมที่แตกต่างกัน


Classic vs Hidden Divergence: ความแตกต่างของสัญญาณ และเวลาที่เทรดเดอร์ใช้แต่ละแบบ

แม้ว่าทั้งคู่จะเปรียบเทียบสวิงของราคากับอินดิเคเตอร์เหมือนกัน แต่ Classic Divergence และ Hidden Divergence ส่งข้อความที่ตรงกันข้ามเกี่ยวกับพฤติกรรมแนวโน้ม

ประเภทของความแตกต่าง รูปแบบ Bullish รูปแบบ Bearish ความหมายหลัก กรณีที่เหมาะสมที่สุด
Classic Divergence ราคาเกิด Lower Lows แต่ตัวชี้วัดเกิด Higher Lows ราคาเกิด Higher Highs แต่ตัวชี้วัดเกิด Lower Highs โมเมนตัมของแนวโน้มอ่อนลง มีโอกาสกลับตัวหรือย่อตัวลึก จุดสูง/ต่ำสำคัญ, โซนอุปสงค์–อุปทาน, หลังการเคลื่อนตัวทิศทางเดียวเป็นเวลานาน
Hidden Divergence ราคาเกิด Higher Lows แต่ตัวชี้วัดเกิด Lower Lows ราคาเกิด Lower Highs แต่ตัวชี้วัดเกิด Higher Highs แรงย่อตัวไม่แข็งแรง แนวโน้มหลักมีโอกาสเดินหน้าต่อ ใช้ในตลาดที่กำลังเป็นเทรนด์ เพื่อจับจังหวะเข้าเทรดตามแนวโน้ม


สรุปความแตกต่าง:

Classic Divergence เตือนว่า “แนวโน้มอาจจบ” ในขณะที่ Hidden Divergence บอกว่า “การพักตัวอาจจบ และเทรนด์จะเดินหน้าต่อ” สัญญาณหนึ่งชี้ไปที่การกลับตัว อีกสัญญาณหนึ่งชี้ไปที่การต่อเนื่องของแนวโน้ม


คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

  • Hidden Divergence: สัญญาณต่อเนื่องของแนวโน้ม ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกับ Classic Divergence

  • โมเมนตัม: ค่าความแตกต่างจะวัดว่าโมเมนตัมเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาหรือไม่

  • Overbought และ Oversold: มักประเมินร่วมกับความแตกต่าง

  • แนวรับและแนวต้าน: ความแตกต่างมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อเกิดใกล้ระดับสำคัญเหล่านี้


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวเพียงพอสำหรับการเข้าเทรดไหม?

ไม่เพียงพอ เพราะความแตกต่าง (Divergence) เป็นเพียงสัญญาณเตือน ไม่ใช่สัญญาณการซื้อขายที่สมบูรณ์ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะรอการยืนยันเพิ่มเติม เช่น การทะลุแนวโน้ม การสร้างรูปแบบแท่งเทียน หรือการเคลื่อนตัวผ่านแนวรับหรือแนวต้าน ก่อนที่จะเข้าทำการซื้อขายโดยอาศัยความแตกต่างนี้


2. อินดิเคเตอร์ไหนดีที่สุดสำหรับการหาความแตกต่าง?

อินดิเคเตอร์ยอดนิยมคือ RSI, MACD และ Stochastic หลายคนเริ่มด้วย RSI เพราะอ่านง่ายและมีในทุกแพลตฟอร์ม สิ่งสำคัญคือเลือกอินดิเคเตอร์หนึ่งตัวแล้วศึกษาให้เข้าใจลึกซึ้ง ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา


3. ช่วงเวลาใดเหมาะสมที่สุดสำหรับการวิเคราะห์ความแตกต่าง?

กรอบเวลาที่สูงกว่า เช่น กราฟ 1 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง และรายวัน มักให้สัญญาณความแตกต่างที่ชัดเจนกว่า กรอบเวลาที่สั้นมากอาจแสดงความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ จำนวนมากที่ไม่นำไปสู่การเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ เทรดเดอร์มือใหม่มักเริ่มต้นด้วยกราฟ 4 ชั่วโมงหรือรายวัน จากนั้นจึงปรับจุดเข้าซื้อในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า


4. การวิเคราะห์ความแตกต่าง (Divergence) ใช้ได้เฉพาะในตลาดฟอเร็กซ์เท่านั้นหรือไม่?

ไม่เลย ความแตกต่างเกิดขึ้นในทุกตลาดที่ใช้กราฟและตัวชี้วัด รวมถึงหุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโตเคอร์เรนซี ตรรกะก็เหมือนกัน ราคาพุ่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุดใหม่ ในขณะที่โมเมนตัมไม่เป็นไปตามที่หวัง อย่างไรก็ตาม คุณควรปรับการบริหารความเสี่ยงให้เข้ากับความผันผวนของแต่ละตลาดด้วย


5. ความแตกต่างนั้น "ได้ผล" บ่อยแค่ไหน?

ไม่มีอัตราความสำเร็จที่ตายตัว ความแตกต่างอาจบ่งชี้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ แต่ก็อาจเกิดขึ้นระหว่างการปรับตัวลงตามปกติภายในแนวโน้มได้เช่นกัน คุณค่าที่แท้จริงของมันคือช่วยให้เทรดเดอร์ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างราคากับโมเมนตัม ไม่ใช่การคาดเดาจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดแบบแม่นยำ การทดสอบกฎของคุณย้อนหลังบนกราฟจริงคือวิธีดีที่สุดในการดูว่าไดเวอร์เจนซ์เหมาะกับสไตล์ของคุณหรือไม่


สรุป

Classic Divergence คือความไม่สอดคล้องกันระหว่างราคาและโมเมนตัม ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มอาจอ่อนแรงหรือกลับตัวได้ เมื่อใช้ร่วมกับโครงสร้างราคา ระดับสำคัญ และสัญญาณยืนยันอื่น ๆ มันช่วยให้ปรับจังหวะการเข้า–ออกได้ดีขึ้น และหลีกเลี่ยงการไล่ตามจังหวะที่หมดแรง


แต่ถ้าใช้เพียงอย่างเดียว หรือสวนแนวโน้มที่แข็งแรง ก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้ เมื่ออยู่ในระบบเทรดที่สมบูรณ์ ไดเวอร์เจนซ์จึงเป็นเครื่องมือเตือนล่วงหน้าที่ทรงพลังมาก


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ