简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขาย (Bid Ask Spread) คืออะไร?

เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-03

บทนำ

ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขาย (Bid-Ask Spread) เป็นแนวคิดสำคัญในโลกของการเทรดและการลงทุน ซึ่งหมายถึงความแตกต่างระหว่างราคาที่ผู้ซื้อยื่นเสนอ (Bid) และราคาที่ผู้ขายต้องการ (Ask) ส่วนต่างนี้มีความสำคัญเพราะสะท้อนทั้งสภาพคล่องของตลาดและต้นทุนในการทำธุรกรรม


การทำความเข้าใจส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขาย (Bid-Ask Spread) ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุสภาพคล่องของตลาด ควบคุมต้นทุนการซื้อขาย และตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


คำนิยาม


ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขาย (Bid-Ask Spread) คืออะไร?

ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขาย (Bid-Ask Spread) คือช่องว่างเชิงตัวเลขระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) ของตราสารทางการเงิน ซึ่งสะท้อนต้นทุนในการทำธุรกรรมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย


หากส่วนต่างแคบ แสดงถึงสภาพคล่องสูงในตลาด ในขณะที่ส่วนต่างกว้างบ่งบอกว่ามีกิจกรรมการซื้อขายต่ำหรือมีความไม่แน่นอนสูงในตลาด


หลักการทำงานของ Bid-Ask Spread


ทุกตลาดประกอบด้วยสองฝั่ง คือ ฝั่งผู้ซื้อที่เสนอราคา (Bid) และฝั่งผู้ขายที่ตั้งราคาเสนอขาย (Ask) ส่วนต่างระหว่างสองราคานี้คือ Bid-Ask Spread ซึ่งถือเป็นต้นทุนธุรกรรมของผู้เข้าร่วมตลาด


ลองนึกถึงตลาดนัดที่ผู้ซื้อและผู้ขายต่อรองราคา: ผู้ขายต้องการราคาสูงที่สุด จึงตั้งราคา “เสนอขาย” ในขณะที่ผู้ต้องการซื้อเสนอราคาต่ำกว่าเป็น “เสนอซื้อ” การต่อรองดำเนินต่อไปจนทั้งสองฝ่ายตกลงราคากันได้ จึงจะเกิดการซื้อขาย


ในตลาดการเงิน หลักการนี้ยังคงเหมือนเดิม แต่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขายจึงสะท้อนถึงประสิทธิภาพการทำงานของตลาด โดยหากส่วนต่างแคบ แสดงว่าตลาดมีสภาพคล่องสูงและมีกิจกรรมการซื้อขายมาก ขณะที่ส่วนต่างกว้างหมายถึงสภาพคล่องต่ำหรือมีความผันผวนสูง


ตัวอย่างเช่น หากสัญญาออปชันมีราคาเสนอซื้อ/เสนอขายที่ $0.50 / $0.60


ส่วนต่างคือ $0.10 และค่ากลางที่ $0.55 มักถูกใช้เป็นค่าประเมินที่เหมาะสมของมูลค่าตลาดจริงของออปชันนั้น และเป็นจุดสมดุลระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย


ตัวอย่าง

พิจารณาหุ้นของบริษัท Apple Inc. (AAPL) ที่ทำการซื้อขายในตลาด NASDAQ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ข้อมูลราคาในตลาดอาจแสดงเป็น $180.00 / $180.05 (เสนอซื้อ / เสนอขาย)


ขั้นตอนที่ 1: ราคาเสนอซื้อ $180.00 คือราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อต้องการจ่ายในขณะนั้นสำหรับหุ้นของ Apple

ขั้นตอนที่ 2: ราคาเสนอขาย $180.05 คือราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยอมรับได้

ขั้นตอนที่ 3: ส่วนต่างระหว่างราคาทั้งสองคือ $0.05 ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขาย (Bid-Ask Spread)


หากเทรดเดอร์ซื้อหุ้น Apple จำนวน 200 หุ้นทันทีที่ราคาตลาด จะต้องจ่าย $180.05 × 200 = $36,010


หากขายหุ้นทันทีในราคาเสนอซื้อ จะได้รับ $180.00 × 200 = $36,000


ซึ่งหมายความว่า เทรดเดอร์จะขาดทุนทันที $10 ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงจากการข้ามส่วนต่างของราคาเสนอซื้อขาย ($0.05 × 200 = $10)


การตีความ

เงิน $10 นี้ถือเป็น “ต้นทุนของสภาพคล่อง”เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้การซื้อขายเกิดขึ้นทันที โดยสำหรับหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงอย่าง Apple ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขายมักจะแคบ เพียงไม่กี่เซนต์ แต่สำหรับหุ้นที่มีการซื้อขายน้อยหรือบริษัทขนาดเล็ก ส่วนต่างอาจกว้างขึ้น ทำให้ต้นทุนในการซื้อหรือขายเพิ่มสูงขึ้น


คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

  • ราคาเสนอซื้อ (Bid Price): ราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อต้องการจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์

  • ราคาเสนอขาย (Ask Price): ราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยอมรับเพื่อขายสินทรัพย์

  • สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity): ความง่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงมากนัก


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)


1. อะไรทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขายกว้างขึ้น?

ส่วนต่างจะกว้างขึ้นเมื่อความผันผวนของตลาดสูง สภาพคล่องต่ำ หรือมีผู้เข้าร่วมตลาดน้อยลง เนื่องจากผู้ขายต้องการค่าตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยง


2. ทำไมส่วนต่างแคบจึงเป็นผลดีต่อเทรดเดอร์?

เพราะช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมและทำให้สามารถเปิดหรือปิดสถานะการเทรดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น


3. ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขายสามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างวันได้หรือไม่?

ได้ ส่วนต่างนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขาย ความเชื่อมั่นของตลาด และข่าวเศรษฐกิจที่มีผลต่ออุปสงค์และอุปทาน


สรุป

ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อขาย (Bid-Ask Spread) คือช่องว่างระหว่างราคาที่ผู้ซื้อต้องการจ่ายกับราคาที่ผู้ขายต้องการรับ ซึ่งสะท้อนระดับกิจกรรมและสภาพคล่องของตลาด โดยส่วนต่างที่แคบกว่ามักหมายถึงตลาดที่ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากกว่า


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ