เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-28 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-29
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังขับรถด้วยความเร็วบนถนนที่คดเคี้ยว ความตื่นเต้นนั้นมีอยู่จริง แต่ความเสี่ยงก็มีเช่นกัน หากคุณสูญเสียการควบคุมรถ การเทรดด้วยมาร์จิ้นก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน มันเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมสถานะขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนเพียงส่วนหนึ่ง แต่เลเวอเรจเดียวกันนี้ก็สามารถย้อนกลับมาทำร้ายคุณได้อย่างรวดเร็ว เมื่อทิศทางของตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดไว้
มาร์จิ้นคอล (Margin Call) คือสัญญาณเตือนสีแดงที่กำลังกะพริบในระบบ เป็นวิธีที่โบรกเกอร์แจ้งว่าคุณได้ใช้พื้นที่ปลอดภัยหมดแล้ว เมื่อมูลค่าหลักประกันในบัญชีลดต่ำกว่าระดับที่กำหนด โบรกเกอร์จะเรียกร้องให้คุณเติมเงินเพิ่มหรือปิดบางสถานะเพื่อรักษาสมดุล หากไม่ดำเนินการตามนั้น ระบบอาจทำการปิดสถานะโดยอัตโนมัติเพื่อจำกัดความเสี่ยงทันที

มาร์จิ้นคอลเกิดขึ้นเมื่อ มูลค่าหลักประกันสุทธิ (Equity) ซึ่งคำนวณจากยอดเงินในบัญชีบวกหรือลบกำไร/ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงลดต่ำกว่าระดับ มาร์จิ้นที่ต้องคงไว้ (Maintenance Margin) หมายความว่าเงินทุนในบัญชีของคุณไม่เพียงพอที่จะรักษาสถานะการเทรดที่เปิดอยู่ต่อไป
ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์กำหนดให้คงมาร์จิ้นไว้ที่ 50% และมูลค่าหลักประกันของคุณลดลงเหลือเพียง 45% จากการขาดทุนของตลาด ระบบจะส่งสัญญาณ มาร์จิ้นคอล เพื่อแจ้งเตือนให้คุณเติมเงินเข้าบัญชีหรือปิดบางสถานะเพื่อลดความเสี่ยง
เพื่อเข้าใจ มาร์จิ้นคอล ได้อย่างถ่องแท้ ต้องเริ่มจากการเข้าใจ “เลเวอเรจ (Leverage)” ก่อน เลเวอเรจช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะที่มีมูลค่ามากกว่ายอดเงินในบัญชีจริง ตัวอย่างเช่น หากใช้เลเวอเรจ 100:1 เทรดเดอร์สามารถควบคุมสถานะมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ได้ด้วยเงินมาร์จิ้นเพียง 1,000 ดอลลาร์
คำศัพท์สำคัญ 3 คำที่ควรจดจำ:
Used Margin: เงินที่ถูกล็อกไว้เพื่อรักษาสถานะที่เปิดอยู่
Free Margin: เงินที่เหลือสามารถใช้เปิดสถานะใหม่หรือรับแรงขาดทุนได้
Margin Level: อัตราส่วนระหว่างมูลค่าหลักประกัน (Equity) ต่อมาร์จิ้นที่ใช้ (Used Margin) แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์
เมื่อระดับมาร์จิ้นของคุณลดลงต่ำเกินไป ระบบของโบรกเกอร์จะเข้ามาแทรกแซงโดยอัตโนมัติ
มีหลายปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดมาร์จิ้นคอล ได้ ซึ่งมักเกิดร่วมกันหลายสาเหตุ ดังนี้
เลเวอเรจที่สูงเกินไปจะขยายทั้งกำไรและขาดทุน การเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่เป็นใจเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้มาร์จิ้นในบัญชีหายไปอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่าง: หากใช้เลเวอเรจ 200:1 การเคลื่อนไหวของราคาลดลงเพียง 0.5% ก็สามารถล้างมาร์จิ้นที่ใช้ได้ในทันที
การเปิดออเดอร์ที่มีขนาดใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับยอดเงินในบัญชีจะเพิ่มความเสี่ยง แม้การแกว่งตัวของราคาที่น้อยนิดก็อาจทำให้บัญชีต่ำกว่าข้อกำหนดมาร์จิ้น
เหตุการณ์สำคัญ เช่น การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ การตัดสินใจของธนาคารกลาง หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ มักทำให้ราคาผันผวนรุนแรง การเคลื่อนไหวฉับพลันอาจกระตุ้นให้ระบบปิดสถานะอัตโนมัติก่อนที่เทรดเดอร์จะทันตั้งตัว
เมื่อเปิดตลาดหลังวันหยุดสุดสัปดาห์หรือหลังเหตุการณ์ใหญ่ ราคามักกระโดดข้ามระดับ Stop-loss ที่ตั้งไว้ ส่งผลให้เกิดการขาดทุนเกินคาดและกินมาร์จิ้นที่เหลืออยู่จนหมดทันที
เทรดเดอร์ที่ไม่ตั้ง Stop-loss หรือใช้มาร์จิ้นจนหมดในการเปิดออเดอร์ใหม่ จะไม่มีพื้นที่กันชน (Buffer) สำหรับการเคลื่อนไหวของตลาด ทำให้เสี่ยงต่อการถูกมาร์จิ้นคอลได้ง่าย
ในเดือนเมษายน ปี 2020 สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐฯ ร่วงลงต่ำกว่าระดับศูนย์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เทรดเดอร์รายย่อยจำนวนมากที่ถือสัญญา CFD หรือฟิวเจอร์สฝั่งซื้ออยู่ในตำแหน่งที่ผิดพลาด ราคาดิ่งลงเร็วกว่าที่ระดับมาร์จิ้นจะปรับตัวทัน ส่งผลให้เกิด มาร์จิ้นคอล (Margin Call) และการปิดสถานะบังคับ (Forced Liquidation) ทั่วโลก
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า ความผันผวนรุนแรงเมื่อรวมกับเลเวอเรจสามารถล้างพอร์ตได้ภายในไม่กี่นาที หลังเหตุการณ์นั้น โบรกเกอร์และหน่วยงานกำกับดูแลได้ปรับเพิ่มข้อกำหนดมาร์จิ้นสำหรับการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต
แม้แต่ละโบรกเกอร์จะมีนโยบายต่างกัน แต่กระบวนการโดยทั่วไปมักประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก:
ระดับเตือนภัย (Margin Call): เมื่อระดับมาร์จิ้นของคุณลดต่ำกว่าค่าที่กำหนด (โดยทั่วไปประมาณ 100%) โบรกเกอร์จะส่งการแจ้งเตือนให้เติมเงินเพิ่มหรือปิดบางสถานะ
ระดับตัดขาดทุนอัตโนมัติ (Stop-Out Level): หากระดับมาร์จิ้นลดต่ำลงกว่านั้น (มักอยู่ราว 50%) ระบบจะเริ่มปิดสถานะที่ขาดทุนมากที่สุดก่อน เพื่อปกป้องเงินทุนที่เหลืออยู่
การปิดสถานะทั้งหมด (Account Liquidation): หากสถานการณ์ยังคงแย่ลง ระบบจะทำการปิดสถานะทั้งหมดเพื่อป้องกันยอดคงเหลือติดลบ
ตัวอย่างเช่น หากบัญชีคุณมีมูลค่าหลักประกัน (Equity) $2,000 และใช้มาร์จิ้น $1,800 ระดับมาร์จิ้นจะเท่ากับ 111% แต่หากขาดทุนจากตลาดทำให้ Equity ลดลงเหลือ $1,000 ระดับมาร์จิ้นจะเหลือเพียง 55% ซึ่งอาจกระตุ้นให้ระบบเริ่มปิดสถานะโดยอัตโนมัติ
ใช้เลเวอเรจอย่างพอเหมาะ: เลือกเลเวอเรจให้สอดคล้องกับประสบการณ์และความสามารถในการรับความเสี่ยง แม้โบรกเกอร์จะเสนอสูงถึง 200:1 หรือ 500:1 แต่การใช้ระดับต่ำกว่า เช่น 20:1 หรือ 50:1 จะช่วยสร้าง “กันชนความปลอดภัย” ให้พอร์ตมากขึ้น
ตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-Loss): เป็นเครื่องมือจำกัดความเสี่ยงอัตโนมัติ ช่วยควบคุมการขาดทุนและรักษา Free Margin ในช่วงตลาดผันผวน
กระจายความเสี่ยงในการลงทุน: หลีกเลี่ยงการเทรดในสินทรัพย์เดียวหรือทิศทางเดียวมากเกินไป การกระจายความเสี่ยงช่วยรักษาเสถียรภาพของ Equity
ตรวจสอบระดับมาร์จิ้นเป็นประจำ: เฝ้าดูเปอร์เซ็นต์มาร์จิ้นและ Free Margin อยู่เสมอ แพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจก่อนได้รับมาร์จิ้นคอล
วางแผนรับมือกับความผันผวน: ช่วงที่มีข่าวใหญ่ เช่น การประกาศ CPI หรือการประชุมธนาคารกลาง ควรลดขนาดสถานะหรือปิดบางออเดอร์ชั่วคราวเพื่อควบคุมความเสี่ยง
หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องต่ำ: ตลาดบางช่วง เช่น หลังเวลาทำการหรือวันหยุด มักมีสภาพคล่องน้อยและเกิด Slippage ได้ง่าย ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ระดับมาร์จิ้นจะลดลงอย่างฉับพลัน
ระหว่างวิกฤตคริปโตในปี 2022 เทรดเดอร์ที่ใช้เลเวอเรจสูงในการเทรด Bitcoin CFD ต้องเผชิญกับ มาร์จิ้นคอลเป็นวงกว้าง ราคาบิตคอยน์ร่วงลงกว่า 20% ภายในวันเดียว ส่งผลให้เกิดการปิดสถานะจำนวนมาก
เทรดเดอร์ที่ใช้เลเวอเรจต่ำกว่า 10:1 หรือมีการตั้ง Stop-loss สามารถรอดพ้นจากวิกฤตได้ ขณะที่ผู้ที่ใช้เลเวอเรจสูงกว่า 50:1 สูญเสียเงินทุนทั้งหมด เหตุการณ์นี้ย้ำให้เห็นว่า เลเวอเรจคือดาบสองคม ที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังและมีวินัยเสมอ

ข้อเท็จจริง: แม้แต่เทรดเดอร์มืออาชีพก็อาจเผชิญ มาร์จิ้นคอล ได้ หากเปิดสถานะมากเกินไปในช่วงตลาดผันผวน
ข้อเท็จจริง: การที่โบรกเกอร์ปิดสถานะไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อทำกำไร แต่เพื่อป้องกันความเสียหายให้กับทั้งลูกค้าและตัวโบรกเกอร์เอง
ข้อเท็จจริง: การเติมเงินอาจช่วยชะลอการถูกปิดสถานะ แต่ถ้าไม่ปรับกลยุทธ์หรือบริหารความเสี่ยงให้ดี สถานการณ์เดิมก็อาจเกิดซ้ำได้อีก
ส่วนใหญ่โบรกเกอร์จะส่งการแจ้งเตือนอัตโนมัติผ่านอีเมลหรือแพลตฟอร์มเทรด เมื่อระดับมาร์จิ้นของคุณเข้าใกล้จุดที่กำหนดไว้ ระยะเวลาการเตือนจะขึ้นอยู่กับความเร็วของการเคลื่อนไหวในตลาด
สามารถเปิดออเดอร์ใหม่ได้ก็ต่อเมื่อคุณยังมี Free Margin เพียงพอ มิฉะนั้นควรโฟกัสที่การเติมเงินหรือปิดสถานะบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงก่อน
ในบางกรณีสามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อมีช่องว่างของราคาหรือ Gap รุนแรง ทำให้ขาดทุนเกินกว่าทุนที่ฝากไว้ อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีระบบ Negative Balance Protection เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าติดหนี้เกินยอดเงินในบัญชี
มาร์จิ้นคอล (Margin Call) ไม่ใช่บทลงโทษ แต่เป็นกลไกควบคุมความเสี่ยงที่ช่วยให้ระบบการเทรดยังคงมีเสถียรภาพ มันทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เทรดเดอร์ขาดทุนหนักเกินไป และช่วยให้โบรกเกอร์สามารถจัดการความเสี่ยงโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง มาร์จิ้น (Margin), มูลค่าหลักประกัน (Equity) และ เลเวอเรจ (Leverage) จะช่วยเปลี่ยน “มาร์จิ้นคอล” จากเหตุการณ์ที่น่าตกใจให้กลายเป็นสิ่งที่สามารถบริหารจัดการได้ เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมองมาร์จิ้นคอลเป็น “สัญญาณเตือนให้มีวินัยและจัดการความเสี่ยงให้ดีขึ้น” มากกว่าจะมองว่าเป็น “หายนะ”
มาร์จิ้น (Margin): จำนวนเงินที่ต้องใช้ในการเปิดสถานะเทรดที่มีเลเวอเรจ
มูลค่าหลักประกัน (Equity): ยอดเงินคงเหลือในบัญชี บวกหรือลบกับกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
เลเวอเรจ (Leverage): ความสามารถในการควบคุมสถานะที่มีมูลค่ามากกว่าทุนจริง
มาร์จิ้นฟรี (Free Margin): เงินที่เหลือในบัญชีซึ่งสามารถใช้เปิดสถานะใหม่หรือรองรับการขาดทุนได้
ระดับหยุดขาดทุนอัตโนมัติ (Stop-Out Level): จุดที่โบรกเกอร์จะปิดสถานะโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ