เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-28 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-29
ลองจินตนาการดูว่าคุณสามารถ “จอง” สินทรัพย์ในราคาวันนี้ไว้ได้ เพราะเชื่อว่ามูลค่าของมันจะเพิ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ นั่นแหละคือสิ่งที่ Call Option เปิดโอกาสให้นักเทรดทำได้ มันคือสัญญาที่ให้สิทธิคุณในการ “ซื้อ” สินทรัพย์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยมีความเสี่ยงเพียงแค่เงินพรีเมียมเล็กน้อยในตอนนี้เท่านั้น
ในยุคที่ตลาดการเงินผันผวนและราคาสามารถเปลี่ยนได้เร็วกว่าพาดหัวข่าว การเข้าใจ Call Option จึงเป็นก้าวสำคัญสู่การเทรดอย่างชาญฉลาด เพราะมันสามารถใช้เพื่อ “เก็งกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น” หรือ “ป้องกันพอร์ตจากต้นทุนที่สูงขึ้น” ได้ในเวลาเดียวกัน รวมความยืดหยุ่น การควบคุม และพลังของเลเวอเรจไว้ในเครื่องมือเดียวอย่างมีกลยุทธ์

Call Option คือสัญญาที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการ “ซื้อ” สินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงิน ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (เรียกว่า ราคาที่ใช้สิทธิ หรือ Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยผู้ซื้อจะต้องจ่าย “พรีเมียม” เพื่อแลกกับสิทธินี้ ขณะที่ผู้ขาย (หรือ Writer) จะได้รับพรีเมียมเป็นค่าตอบแทนสำหรับการรับความเสี่ยงหากต้องส่งมอบสินทรัพย์ในอนาคต
หากราคาตลาดของสินทรัพย์ปรับขึ้นสูงกว่าราคาที่ใช้สิทธิก่อนวันหมดอายุ ผู้ซื้อสามารถใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่า และทำกำไรจากส่วนต่างนั้นได้ แต่หากราคาตลาดไม่สูงขึ้น ผู้ซื้อสามารถปล่อยให้สัญญาหมดอายุโดยไม่ใช้สิทธิ และจะขาดทุนเพียงแค่ค่าพรีเมียมเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น สมมติคุณซื้อ Call Option ทองคำที่ราคาที่ใช้สิทธิ = 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยจ่ายพรีเมียม 50 ดอลลาร์ หากราคาทองคำปรับขึ้นไปที่ 2,400 ดอลลาร์ คุณสามารถใช้สิทธิซื้อที่ 2,300 ดอลลาร์ และขายในราคาตลาด เพื่อทำกำไร 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset): เครื่องมือทางการเงินที่เป็นพื้นฐานของออปชั่น เช่น หุ้น ดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์
ราคาที่ใช้สิทธิ (Strike Price): ราคาคงที่ที่สามารถซื้อสินทรัพย์ได้
วันหมดอายุ (Expiry Date): วันที่สุดท้ายที่สามารถใช้สิทธิได้
พรีเมียม (Premium): ราคาที่ผู้ซื้อจ่ายให้ผู้ขายเพื่อถือสิทธิ
In-the-Money (ITM): ราคาตลาดสูงกว่าราคาที่ใช้สิทธิ
Out-of-the-Money (OTM): ราคาตลาดต่ำกว่าราคาที่ใช้สิทธิ
At-the-Money (ATM): เมื่อราคาตลาดเท่ากับราคาใช้สิทธิ์
Call Option ถูกใช้อย่างแพร่หลายทั้งในหมู่นักลงทุนสถาบันและนักเทรดรายย่อย เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น เก็งกำไร (Speculation), ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) หรือสร้างรายได้ (Income Generation)
นักเทรดซื้อ Call Option ของหุ้นเทคโนโลยีที่ราคา Strike £120 ด้วยพรีเมียม £5 หากราคาหุ้นขึ้นไป £140 ออปชั่นจะมีมูลค่า £20 กำไรสุทธิของนักเทรดคือ £15 (£20 – £5) แต่ถ้าราคาหุ้นไม่เกิน £120 ออปชั่นจะหมดอายุโดยไร้ค่า และขาดทุนเพียง £5 พรีเมียมเท่านั้น
ผู้ผลิตที่ใช้ทองแดงเป็นวัตถุดิบอาจซื้อ Call Option บนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองแดง เพื่อ “ล็อกเพดานราคา” หากราคาทองแดงปรับขึ้น กำไรจากออปชั่นจะช่วยชดเชยต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้สามารถควบคุมงบประมาณได้
ในตลาด Forex นักเทรดอาจใช้ Call Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการแข็งค่าของสกุลเงิน เช่น บริษัทที่ต้องชำระเงินให้ซัพพลายเออร์เป็นยูโร อาจซื้อ EUR/USD Call Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการที่ยูโรแข็งค่าขึ้นในอนาคต
Call Option ช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรจากการปรับขึ้นของราคาสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก เช่น แทนที่จะต้องซื้อหุ้น 100 หุ้นโดยตรง นักเทรดสามารถซื้อสัญญา Call Option เพียงหนึ่งสัญญา ซึ่งควบคุมหุ้นจำนวนเท่ากันได้ ทำให้สามารถ “ขยายอัตราผลตอบแทน” ได้มากขึ้น
นักลงทุนสามารถใช้ Call Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตที่มีอยู่ เช่น หากนักเทรดถือสถานะ Short ในดัชนีใด ๆ อาจซื้อ Call Option ไว้เป็น “ประกัน” เพื่อจำกัดการขาดทุนหากตลาดเกิดการดีดตัวขึ้น
นักลงทุนที่ถือหุ้นระยะยาวสามารถ “ขาย Call Option” บนหุ้นที่ถืออยู่ (เรียกว่า Covered Call Strategy) เพื่อรับรายได้จากพรีเมียมของออปชั่นในระหว่างถือครองหุ้น
ราคาพรีเมียมของ Call Option ถูกกำหนดจากหลายปัจจัย ได้แก่
ราคาสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Price): ยิ่งราคาสินทรัพย์สูง มูลค่าของ Call Option ก็ยิ่งมาก
ความผันผวนของตลาด (Volatility): ยิ่งตลาดผันผวน พรีเมียมจะยิ่งสูง เพราะโอกาสเคลื่อนไหวของราคามีมากขึ้น
ระยะเวลาจนหมดอายุ (Time to Expiration): ยิ่งเวลานาน พรีเมียมจะยิ่งแพง
อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates): ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอาจทำให้ราคาของ Call Option เพิ่มขึ้น เพราะต้นทุนของการถือเงินสดสูงขึ้น
เงินปันผล (Dividends): การคาดการณ์ว่าจะมีการจ่ายปันผลอาจทำให้มูลค่า Call Option ลดลงเล็กน้อย เพราะผู้ถือออปชั่นไม่ได้รับปันผล
แบบจำลองยอดนิยมที่ใช้คำนวณมูลค่าทางทฤษฎีของออปชั่นคือ Black-Scholes Model ซึ่งนำปัจจัยเหล่านี้มาคำนวณเพื่อหามูลค่าที่เหมาะสม
เลเวอเรจ: ควบคุมตำแหน่งขนาดใหญ่ด้วยทุนที่เล็กกว่า
จำกัดการขาดทุน: ขาดทุนสูงสุดเท่ากับพรีเมียมที่จ่าย
มีความยืดหยุ่น: ใช้ได้กับสินทรัพย์หลายประเภทและระยะเวลาหลากหลาย
เหมาะสำหรับเก็งกำไร: ใช้เก็งกำไรจากการปรับขึ้นของราคาระยะสั้นได้ดี
มูลค่าลดลงตามเวลา (Time Decay): ยิ่งใกล้วันหมดอายุ มูลค่าของออปชั่นจะลดลง
ซับซ้อน: ต้องมีความเข้าใจในหลักการและกลยุทธ์
โอกาสขาดทุนทั้งหมด: หากราคาสินทรัพย์ไม่ปรับขึ้นเหนือ Strike Price จะสูญเสียพรีเมียมทั้งหมด
Call Option และ Put Option เป็นสัญญาที่มีทิศทางตรงข้ามกัน โดย Call Option ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการ “ซื้อ” สินทรัพย์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ขณะที่ Put Option ให้สิทธิในการ “ขาย” สินทรัพย์ในราคานั้น นักเทรดมักเลือกซื้อ Call Option เมื่อคาดว่าราคาจะปรับขึ้น และซื้อ Put Option เมื่อคาดว่าราคาจะปรับลง นอกจากนี้ การผสมผสานทั้งสองประเภทเข้าด้วยกันยังสามารถพัฒนาเป็นกลยุทธ์ขั้นสูงได้ เช่น Straddle ซึ่งเป็นการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาไม่ว่าจะขึ้นหรือลง และ Spread ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างต้นทุนและผลตอบแทน
ในปี 2024 ปริมาณการซื้อขายออปชั่นทั่วโลกทะลุ 13 พันล้านสัญญา โดยส่วนใหญ่เป็นออปชั่นบนหุ้น (Equity Options) ตามรายงานของ Options Clearing Corporation (OCC) พบว่า Call Option คิดเป็นประมาณ 57% ของปริมาณการซื้อขายออปชั่นทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความนิยมของกลยุทธ์ฝั่ง “ขาขึ้น” ในหมู่นักเทรด
หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Nvidia, Apple และ Tesla ยังคงเป็นสินทรัพย์อ้างอิงที่มีการเทรด Call Option มากที่สุด เนื่องจากมีความผันผวนสูงและสภาพคล่องดี ในปี 2025 เมื่ออุตสาหกรรม AI และเซมิคอนดักเตอร์ เติบโตอย่างต่อเนื่อง ความต้องการ Call Option ที่เชื่อมโยงกับภาคนี้ก็ยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่อการเติบโตระยะยาว
Long Call: ซื้อ Call โดยตรง เพื่อเก็งกำไรว่าราคาจะขึ้น
Covered Call: ถือสินทรัพย์อยู่แล้วและ “ขาย Call” เพื่อสร้างรายได้จากพรีเมียม
Protective Call: ใช้ Call เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากสถานะขาย (Short Position)
Bull Call Spread: ซื้อ Call ที่ Strike ต่ำ และขาย Call ที่ Strike สูง เพื่อลดต้นทุน
แต่ละกลยุทธ์มีสมดุลของ “ความเสี่ยง” และ “ผลตอบแทน” แตกต่างกัน เช่น Long Call ให้โอกาสทำกำไรไม่จำกัด แต่ต้องใช้ต้นทุนสูงกว่า ส่วน Spread จะจำกัดทั้งกำไรและความเสี่ยง ทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมงบประมาณ
กำหนดขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้ ก่อนเข้าทำการเทรดเสมอ
หลีกเลี่ยงการซื้อออปชั่นใกล้วันหมดอายุ หากยังไม่มั่นใจในทิศทางราคา
ติดตามค่าความผันผวนโดยนัย (Implied Volatility) เพราะออปชั่นที่มีราคาสูงเกินไปอาจลดโอกาสทำกำไร
ใช้ Stop-Loss หรือกระจายพอร์ตการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด

ไม่ได้ สำหรับผู้ซื้อ Call Option ความเสี่ยงสูงสุดจะจำกัดอยู่ที่ “ค่าพรีเมียม” ที่จ่ายไปเท่านั้น แต่สำหรับ “ผู้ขาย” (หรือ Writer) โดยเฉพาะในกรณีของ Uncovered Call จะมีความเสี่ยงไม่จำกัด หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรง
เหมาะ หากเริ่มต้นด้วยขนาดการลงทุนที่เล็ก ทำความเข้าใจกลไกการทำงานของออปชั่นให้ดี และค่อย ๆ เรียนรู้ก่อนนำไปใช้กับกลยุทธ์ที่ซับซ้อน
ขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณต่อทิศทางตลาด
In-the-Money (ITM): ราคาแพงกว่า แต่มีโอกาสทำกำไรมากกว่า
Out-of-the-Money (OTM): ราคาถูกกว่า แต่มีความเสี่ยงสูงกว่า
Call Option ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับ “เก็งกำไร” เท่านั้น แต่ยังเป็น “เครื่องมือแห่งความยืดหยุ่น” ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรจากแนวโน้มราคาขาขึ้น พร้อมจำกัดการขาดทุนได้อย่างชัดเจน สำหรับนักลงทุนระยะยาว Call Option ยังสามารถใช้เพื่อ “ป้องกันพอร์ตลงทุน” หรือ “สร้างรายได้เพิ่มเติม” ผ่านกลยุทธ์ที่วางแผนอย่างรอบคอบได้อีกด้วย
เมื่อเข้าสู่ปี 2025 และอนาคตข้างหน้า การเข้าใจกลไกการทำงานของ Call Option จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเทรดอย่างชาญฉลาด สร้างสมดุลระหว่าง “ความกล้าได้” และ “ความระมัดระวัง” อย่างมืออาชีพ
ราคาที่ใช้สิทธิ (Strike Price): ราคาคงที่ที่สามารถใช้สิทธิในออปชั่นได้
พรีเมียม (Premium): จำนวนเงินที่จ่ายเพื่อซื้อตัวออปชั่น
ความผันผวน (Volatility): ระดับความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์อ้างอิง
วันหมดอายุ (Expiration Date): วันสุดท้ายที่สามารถใช้สิทธิในออปชั่นได้
In-the-Money (ITM): สถานะที่เมื่อใช้สิทธิทันทีจะเกิดกำไร
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ