เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-27
ภาวะเงินเฟ้อก็เหมือนกับลมที่รั่วช้า ๆ จากยางรถ คุณอาจไม่รู้สึกในทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาวะนี้ส่งผลต่อระยะทางที่คุณไปได้ด้วยเงินเท่าเดิม เรื่องเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับเงินออมและการลงทุน เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น อำนาจซื้อก็ลดลง และมูลค่าทรัพย์สินค่อย ๆ สึกหรอไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อรักษาความมั่งคั่งให้ทันกับภาวะเงินเฟ้อ นักลงทุนจึงมองหาวิธี “การป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ” ที่ช่วยให้ทรัพย์สินเติบโตตามราคาสินค้า
การป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อไม่ใช่เพียงคำศัพท์ทางการเงินที่ฟังดูเท่ แต่เป็น “กลยุทธ์จริง” ที่ใช้ในตลาดทั่วโลก เพื่อรักษามูลค่าทุนเมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น ในปี 2025 หลังจากช่วงของการปรับขึ้นดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์ นักลงทุนและเทรดเดอร์เริ่มหันกลับมาพิจารณาแนวคิดเก่านี้อีกครั้ง เพราะความเข้าใจในวิธีการทำงานของการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อในตลาดจริง คือสิ่งที่อาจสร้างความแตกต่างระหว่าง “การรักษามูลค่า” กับ “การปล่อยให้มูลค่าลดลงไปอย่างเงียบๆ”

การป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) คือสินทรัพย์หรือกลยุทธ์การลงทุนที่ช่วยป้องกันไม่ให้มูลค่าเงินลดลงจากผลของราคาสินค้าที่สูงขึ้น กล่าวคือ เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น มูลค่าเงินจะลดลง การป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ “เท่าทัน” หรือ “สูงกว่า” อัตราเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนยังคงรักษาความมั่งคั่งที่แท้จริงไว้ได้
ตัวอย่างที่พบได้บ่อย ได้แก่ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ พันธบัตรที่เชื่อมโยงกับเงินเฟ้อ (Inflation-linked Bonds) และหุ้นในภาคธุรกิจที่สามารถผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ หลักการมีอยู่ว่า หากเงินเฟ้ออยู่ที่ 4% แต่การลงทุนของคุณเติบโตเพียง 3% คุณกำลังสูญเสียอำนาจซื้อ ดังนั้นการป้องกันความเสี่ยงที่ดีควรสร้างผลตอบแทนที่เท่าหรือมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อคือการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของระดับราคาสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมักวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปัจจัยที่มีผลได้แก่ อุปสงค์และอุปทาน ราคาพลังงาน และนโยบายของธนาคารกลาง เงินเฟ้อในระดับปานกลางถือว่า “ดีต่อเศรษฐกิจ” เพราะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและการลงทุน แต่หากเงินเฟ้อสูงเกินไป จะกัดกินเงินออมและลดผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน
ในปี 2025 อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ราว 3.1% แม้จะลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2022 แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางส่วนใหญ่ที่ 2% ซึ่งหมายความว่า เงินสดที่ฝากไว้ในบัญชีอัตราดอกเบี้ยต่ำ กำลัง “สูญเสียมูลค่า” ทุกปี ดังนั้น การเข้าใจพลวัตของเงินเฟ้อจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน เพราะมันมีผลต่ออัตราดอกเบี้ย ผลตอบแทนพันธบัตร และความแข็งแกร่งของสกุลเงิน
การป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อทำงานโดยเคลื่อนไหว “สวนทาง” กับผลกระทบของเงินเฟ้อ กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น มูลค่าของสินทรัพย์บางประเภทก็จะเพิ่มขึ้นตาม เพราะมันเชื่อมโยงกับต้นทุนของสินค้า วัตถุดิบ หรือความต้องการจริงในเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม: นักลงทุนจะติดตามตัวชี้วัดเงินเฟ้อ เช่น CPI การเติบโตของค่าจ้าง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์
การเลือกสินทรัพย์: สินทรัพย์อย่างทองคำ น้ำมัน หรือพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับเงินเฟ้อ มักให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่เงินเฟ้อสูง
การปรับสมดุลพอร์ต: เมื่อแรงกดดันจากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น นักลงทุนมักปรับพอร์ตจากสินทรัพย์ตราสารหนี้ ไปสู่สินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการขึ้นราคาสินค้า
การติดตามผลตอบแทนจริง: เป้าหมายหลักคือ “ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ” ไม่ใช่เพียงกำไรในตัวเลข
การป้องกันความเสี่ยงที่ประสบความสำเร็จจึงต้องปรับเปลี่ยนตามสภาวะตลาดอยู่เสมอ มันไม่ใช่การลงทุนครั้งเดียวแล้วจบ แต่คือการรักษาสมดุลระหว่าง “โอกาสในการเติบโต” และ “การบริหารความเสี่ยง” อย่างต่อเนื่อง
ทองคำถูกมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อแบบคลาสสิกมานานหลายทศวรรษ ในช่วงทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นยุคที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ราคาทองคำเพิ่มขึ้นกว่า 700% และในปี 2025 ทองคำยังคงซื้อขายเหนือระดับ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อของธนาคารกลางและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่เงินและแพลทินัมก็มักได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนสามารถกระจายพอร์ตได้ในกลุ่มโลหะมีค่า
อสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อโดยธรรมชาติ เพราะค่าเช่าและต้นทุนก่อสร้างมักเพิ่มขึ้นตามระดับราคาสินค้า การลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงภาคอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ต้องถือครองทรัพย์สินจริง ในระยะยาว มูลค่าอสังหาริมทรัพย์มักเคลื่อนไหวสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ หรือเติบโตเหนือกว่า โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง
สินค้าโภคภัณฑ์ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของต้นทุนการผลิต เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ราคาพลังงาน โลหะ และสินค้าเกษตรก็มักขยับขึ้นตาม ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ Bloomberg Commodity Index เพิ่มขึ้นเกือบ 15% ตั้งแต่กลางปี 2023 สะท้อนความสนใจของนักลงทุนที่กลับมามองว่าวัตถุดิบเป็นแหล่งเก็บมูลค่าอีกครั้ง
พันธบัตรที่ป้องกันเงินเฟ้อ เช่น Treasury Inflation-Protected Securities (TIPS) ของสหรัฐฯ และพันธบัตรประเภทเดียวกันในประเทศอื่นๆ จะปรับ “มูลค่าต้นทุนและดอกเบี้ย” ตามอัตราเงินเฟ้อโดยตรง ทำให้สามารถรักษาผลตอบแทนที่แท้จริงได้ แม้ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง
บริษัทในภาคสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน สาธารณูปโภค และสาธารณสุข มักสามารถผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ จึงรักษาอัตรากำไรให้มั่นคงได้ หุ้นของบริษัทเหล่านี้สามารถทำหน้าที่เป็น “เครื่องป้องกันความเสี่ยงแบบอ่อน” (Soft Hedge) เพราะรายได้ของพวกเขาเติบโตตามระดับราคา
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ พุ่งเกิน 10% นักลงทุนที่ถือทองคำ น้ำมัน หรืออสังหาริมทรัพย์สามารถรักษาอำนาจซื้อไว้ได้ ในขณะที่ผู้ที่ถือเงินสดหรือพันธบัตรระยะยาวต้องเผชิญกับการสูญเสียมูลค่าจริงอย่างรุนแรง
เมื่อเศรษฐกิจทั่วโลกกลับมาเปิดอีกครั้งหลังการล็อกดาวน์ อุปทานที่จำกัดผลักดันให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองแดงและน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรง ขณะที่มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศพุ่งสูง นักลงทุนที่กระจายพอร์ตเข้าสู่สินทรัพย์จริงจึงได้ผลตอบแทนดีกว่าผู้ที่ลงทุนเฉพาะในพันธบัตร
เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลง ราคาทองคำเข้าสู่ภาวะทรงตัว แต่กองทุนที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานยังคงให้ผลตอบแทนดี นักลงทุนที่มองการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อเป็น “องค์ประกอบระยะยาวของพอร์ตที่หลากหลาย” มักทำผลงานได้ดีกว่าผู้ที่พยายามจับจังหวะตลาดระยะสั้น
แม้สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อจะมีประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ “ปลอดภัยสมบูรณ์แบบ” เสมอไป
ความผันผวน: สินค้าโภคภัณฑ์และโลหะมีค่ามักมีราคาขึ้นลงรุนแรง บางครั้งอาจปรับตัวลดลงแม้ในช่วงที่เงินเฟ้อยังสูง
ผลกระทบจากความล่าช้า: ตลาดอสังหาริมทรัพย์มักตอบสนองต่อเงินเฟ้อช้ากว่าสินทรัพย์อื่น และอาจให้ผลตอบแทนต่ำในช่วงเริ่มต้นของวัฏจักรเงินเฟ้อ
ต้นทุนค่าเสียโอกาส: พันธบัตรที่เชื่อมโยงกับเงินเฟ้อมักให้ผลตอบแทนตามตัวเลข (Nominal Yield) ต่ำกว่าในช่วงเศรษฐกิจนิ่ง
สัญญาณผิดพลาด (False Signals): ตลาดอาจประเมินเงินเฟ้อเกินจริง ทำให้นักลงทุนรีบปรับพอร์ตการลงทุนก่อนเวลาอันควร
การจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ต้องอาศัยการกระจายการลงทุน (Diversification) ความอดทน และการเข้าใจว่า “วัฏจักรเงินเฟ้อไม่ได้เคลื่อนไปในเส้นตรงเสมอไป”
เทรดเดอร์มักผสมผสานสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงหลายประเภทเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาส พอร์ตการลงทุนที่หลากหลายอาจประกอบด้วยสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อการป้องกันความเสี่ยงระยะสั้น ทองคำเพื่อความมั่นคงระยะยาว และหุ้นเพื่อศักยภาพในการเติบโต
เทรดเดอร์บางรายใช้ CFD (Contract for Difference) ในการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์หรือ ETF (Exchange-Traded Fund) เพื่อเข้าถึงตลาดได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เงินทุนก้อนใหญ่ ขณะที่บางคนเลือก ป้องกันความเสี่ยงทางอ้อม ด้วยการเปิดสถานะขาย (Short) พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ซึ่งมักจะมีราคาลดลงเมื่อความคาดหวังเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
ในปัจจุบัน แพลตฟอร์มการเทรดสมัยใหม่ ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยสามารถสร้างกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม กลยุทธ์ที่ครั้งหนึ่งเคยสงวนไว้เฉพาะสำหรับสถาบันการเงินขนาดใหญ่เท่านั้น

ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการป้องกันเงินเฟ้อ แต่ประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทองคำมักให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงที่เงินเฟ้อสูงและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ
สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) มักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อเพราะมีจำนวนจำกัด อย่างไรก็ตาม ความผันผวนสูงและความสัมพันธ์กับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ทำให้มันไม่ใช่เครื่องมือป้องกันที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่เสมอไป บางสินทรัพย์อาจตอบสนองล่าช้าเนื่องจากจังหวะตลาด นโยบายการเงิน หรือการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม การป้องกันเงินเฟ้อมีเป้าหมายเพื่อ “ลดความเสี่ยง” ไม่ใช่ “กำจัดความเสี่ยง”
การป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อคือ “การเตรียมพร้อม” มากกว่าการ “คาดเดา” ทุกยุคสมัยต่างเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อในรูปแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การขาดแคลนทรัพยากร หรือการเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจ เป้าหมายสำคัญคือ การรักษามูลค่าที่แท้จริงของเงินและการลงทุน ผ่านวัฏจักรเหล่านั้น
ในยุคที่ตลาดทั่วโลกเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง การเข้าใจกลไกของการป้องกันเงินเฟ้อ หมายถึงการตระหนักว่า “การรักษามูลค่า” สำคัญไม่แพ้ “การเติบโต” เทรดเดอร์ที่ชาญฉลาดไม่ใช่ผู้ที่ไล่ตามทุกการปรับขึ้นของตลาด แต่คือผู้ที่รู้จัก “ปกป้องพอร์ตลงทุนของตน” จากแรงกัดกร่อนอันเงียบงันของเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อ (Inflation): การเพิ่มขึ้นโดยทั่วไปของราคาสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้มูลค่าเงินจริงลดลง
ผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Return): กำไรจากการลงทุนหลังหักผลกระทบของเงินเฟ้อ
พันธบัตรที่เชื่อมโยงกับเงินเฟ้อ (Inflation-Linked Bond): พันธบัตรที่มูลค่าต้นทุนและดอกเบี้ยปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพื่อรักษามูลค่าที่แท้จริงของเงินลงทุน
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): วัตถุดิบพื้นฐาน เช่น น้ำมัน ทองคำ และข้าวสาลี ที่มีการซื้อขายในตลาดโลก
อำนาจซื้อ (Purchasing Power): ความสามารถของเงินในการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งจะลดลงเมื่อเกิดเงินเฟ้อ
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ