เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-10
การอ่อนค่าของสกุลเงิน (Depreciation) คือการลดลงของมูลค่าสกุลเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามแรงกดดันของตลาด ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของภาครัฐเหมือนกับ “การลดค่าเงิน (Devaluation)” ซึ่งเป็นมาตรการที่รัฐบาลตั้งใจทำโดยตรง การอ่อนค่าเป็นผลมาจากความต้องการซื้อ–ขายสกุลเงินในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวหรือกึ่งลอยตัว
เทรดเดอร์ให้ความสำคัญกับการอ่อนค่า เพราะมันส่งผลต่อกระแสเงินทุน ความคาดหวังเงินเฟ้อ และการกำหนดราคาในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วตลาดโลก

ในโลกการเทรด การอ่อนค่าของสกุลเงินเกิดจากแรงตลาดโดยตรง ไม่ได้มาจากการประกาศหรือการแทรกแซงของภาครัฐ มูลค่าที่ลดลงสะท้อนข้อมูลเศรษฐกิจ ความคาดหวังเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย บรรยากาศความเสี่ยงในตลาด และกระแสเงินทุนไหลเข้า–ออก เทรดเดอร์จะเห็นการอ่อนค่าเกิดขึ้นจริงแบบเรียลไทม์ผ่านการเคลื่อนไหวลงของอัตราแลกเปลี่ยน
บนแพลตฟอร์มเทรด การอ่อนค่าจะปรากฏเป็นการเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงของคู่เงิน ขึ้นอยู่กับว่าสกุลเงินใดเป็นสกุลเงินพื้นฐาน และสกุลเงินใดเป็นสกุลเงินอ้างอิง ตัวอย่างเช่น หากยูโรอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์ คู่เงิน EUR/USD จะปรับตัวลง
ทั้งเทรดเดอร์ในระดับมหภาค เทรดเดอร์รายวัน และผู้ทำเฮดจ์ความเสี่ยง ต่างให้ความสำคัญกับการอ่อนค่า เพราะมันมีผลต่อจุดเข้าออกของการเทรด โครงสร้างราคา และรูปแบบที่ปรากฏบนกราฟอย่างมีนัยสำคัญ
การอ่อนค่าของสกุลเงินเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของเงินลดลงจากแรงกดดันของตลาด ไม่ว่าจะเป็นความต้องการที่ลดลงต่อสกุลเงินนั้น หรือความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อสกุลเงินอื่น โดยทั่วไปมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อกระบวนการนี้:
เมื่ออัตราดอกเบี้ยในประเทศต่ำกว่าประเทศอื่น นักลงทุนต่างชาติจะมองว่าเงินสกุลนั้นให้ผลตอบแทนน้อย ทำให้เงินทุนไหลออกไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ส่งผลให้สกุลเงินอ่อนค่า
หากระดับราคาภายในประเทศเพิ่มสูงเร็วกว่าคู่ค้าทางการค้า กำลังซื้อของสกุลเงินจะลดลง ตลาดจึงต้องปรับมูลค่าสกุลเงินให้ต่ำลงเพื่อสะท้อนการเสื่อมค่าดังกล่าว
ประเทศที่นำเข้าเยอะกว่าส่งออกต้องซื้อสกุลเงินต่างประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศที่สูงขึ้นนี้ ทำให้สกุลเงินภายในประเทศอ่อนค่าลงในระยะยาว
เมื่อ GDP โตช้า ประสิทธิภาพลดลง หรือความเชื่อมั่นธุรกิจแย่ลง นักลงทุนจะลดการลงทุน ทำให้เงินทุนไหลออก และกดดันให้สกุลเงินอ่อนค่า
หากนโยบายการคลังไม่แน่นอน การบริหารประเทศไม่น่าเชื่อถือ หรือมีความไม่ชัดเจนด้านกฎระเบียบ นักลงทุนจะหลีกเลี่ยงการถือสกุลเงินของประเทศนั้น ทำให้เกิดการไหลออกของเงินทุน (capital flight)
หากเทรดเดอร์คาดว่าสกุลเงินจะอ่อนค่าจากสัญญาณทางเศรษฐกิจ การขายล่วงหน้าเพียงอย่างเดียวอาจเร่งการอ่อนค่า และโมเมนตัมของตลาดอาจยิ่งทวีคูณเมื่อระดับราคาสำคัญทางเทคนิคถูกทะลุ
สมมติว่า EUR/USD ซื้อขายอยู่ที่ 1.10 ต่อมาในช่วงหลายวัน ข้อมูลเศรษฐกิจของยูโรโซนอ่อนแอลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ทำให้ยูโรอ่อนค่า คู่เงินจึงค่อย ๆ ขยับลงมาที่ 1.07
เทรดเดอร์ที่ถือสถานะขาย (short) ขนาด 1 ดอลลาร์ต่อ pip จะได้กำไรเมื่อค่าสกุลเงินปรับลง การเคลื่อนจาก 1.10 ลงสู่ 1.07 คือ 300 pips ซึ่งมีมูลค่า 300 ดอลลาร์ สำหรับสถานะดังกล่าว การเคลื่อนตัวเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะการอ่อนค่ามักเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ในทางกลับกัน หากเทรดเดอร์ถือสถานะซื้อ (long) การเคลื่อนไหวเดียวกันนี้จะทำให้ขาดทุน 300 ดอลลาร์ ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการอ่อนค่ามีผลต่อการเทรดอย่างไร โดยเกิดจากแรงตลาดตามธรรมชาติ ไม่ใช่จากการประกาศนโยบายแบบฉับพลัน
การอ่อนค่าของสกุลเงินทำให้ระดับการเข้าเทรดเปลี่ยนไป เพราะแนวโน้มของสกุลเงินที่ได้รับผลกระทบอาจเคลื่อนที่เร็วขึ้น การ “ซื้อ” ตามทิศทางที่สกุลเงินกำลังอ่อนค่าหมายถึงการเข้าที่ราคาลดลงเรื่อย ๆ ส่วนการ “ขาย” นั้นจะตามขบวนแนวโน้มใหญ่ แต่ต้องจับจังหวะให้ดีเพราะมักมีการรีบาวด์เกิดขึ้นเป็นระยะ
ระดับการออกเทรด (exit) ก็เปลี่ยนเช่นกัน เนื่องจากสกุลเงินที่อ่อนค่าอาจทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญได้ง่าย จุด stop-loss อาจต้องให้พื้นที่กว้างขึ้น และจุดทำกำไรต้องตั้งให้สมเหตุสมผล ต้นทุนการเทรดอาจเพิ่มขึ้นเมื่อสเปรดกว้างขึ้นในช่วงที่ราคาเคลื่อนแรง และมีโอกาสเกิด slippage มากขึ้นในช่วงประกาศข่าว
แนวโน้มชัดเจน โดยมีข้อมูลเศรษฐกิจสนับสนุนไปในทิศทางเดียวกัน
สเปรดปกติในช่วงเวลาเทรดที่มีสภาพคล่อง
มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับจัดการจุดเข้า–ออก
ข่าวแรงที่ออกกะทันหัน ทำให้การอ่อนค่าขยายตัวเร็วผิดปกติ
สภาพคล่องเบาบางในช่วงเวลานอกตลาด
พยายามจับจังหวะ “ราคาต่ำสุด” โดยไม่มีสัญญาณชัดเจน
การอ่อนค่าไม่จำเป็นต้องเป็น “ปัญหา” เสมอไป บางครั้งมันทำหน้าที่เหมือนวาล์วปรับแรงดันตามธรรมชาติ ช่วยให้เศรษฐกิจปรับสมดุลการค้า หรือฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การควรแก้ไขหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับขนาด ความเร็ว และสาเหตุที่อยู่เบื้องหลัง
แนวทางที่อาจใช้จัดการการอ่อนค่า ได้แก่:
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงดูดเงินทุนและพยุงความต้องการสกุลเงิน
การปรับวินัยการคลังให้ดีขึ้น เพื่อให้ตลาดเชื่อว่าหนี้และรายจ่ายอยู่ในระดับยั่งยืน
การเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกผ่านการปฏิรูปโครงสร้างมากกว่าการกดค่าเงิน
การลดเงินเฟ้อด้วยนโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพและการปรับปรุงด้านอุปทาน
เสริมสร้างความเชื่อมั่นทางการเมืองด้วยนโยบายที่โปร่งใสและคาดการณ์ได้
มาตรการเหล่านี้ช่วยเสริม “ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นวิธีที่มั่นคงที่สุดในการทำให้สกุลเงินที่กำลังอ่อนค่ากลับมามีเสถียรภาพ
การลดค่าเงิน: การลดค่าเงินที่เกิดจากการตัดสินใจของรัฐบาลภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่
การแข็งค่าของสกุลเงิน: การที่มูลค่าสกุลเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากแรงซื้อในตลาด หรือความต้องการสกุลเงินนั้นสูงขึ้นตามกลไกตลาด
อัตราเงินเฟ้อ: ภาวะที่ระดับราคาโดยรวมของสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของสกุลเงินลดลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้า
การอ่อนค่าของสกุลเงินเกิดจากแรงผลักดันของตลาด ในขณะที่การลดค่าเงินเกิดจากการประกาศหรือการดำเนินนโยบายของภาครัฐ
ไม่จำเป็นเสมอไป การอ่อนค่าอาจเกิดจากอารมณ์ตลาดชั่วคราว การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย หรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
สามารถใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (hedging) ปรับน้ำหนักการถือครองในคู่เงิน หรือใช้กลยุทธ์ตามแนวโน้ม โดยพิจารณาความผันผวนและปัจจัยพื้นฐานในช่วงนั้นประกอบ
การอ่อนค่าของสกุลเงิน คือการอ่อนค่าของสกุลเงินที่เกิดขึ้นตามแรงตลาดตามธรรมชาติ ถือเป็นแนวคิดสำคัญในโลกการเทรด เนื่องจากมีผลต่อราคาของสกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น และตราสารหนี้ ซึ่งสามารถสร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงให้กับนักเทรดได้ในเวลาเดียวกัน
การเข้าใจปัจจัยเศรษฐกิจที่ทำให้สกุลเงินอ่อนค่า และการติดตามว่าปัจจัยเหล่านี้สัมพันธ์กับความเชื่อมั่นของตลาดอย่างไร จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางกลยุทธ์และปรับตัวได้ดีขึ้นท่ามกลางความผันผวน แนวโน้มที่เปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาดโลก
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ