เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-24
สภาพคล่องคือสิ่งที่ทำให้ตลาดมีชีวิต มันคือกระแสที่มองไม่เห็นที่ช่วยให้การซื้อขายดำเนินไปอย่างราบรื่น ดั่งสายน้ำที่หล่อเลี้ยงแม่น้ำให้ไหลอยู่เสมอ แต่เมื่อกระแสน้ำนั้นเหือดแห้งไป ผิวน้ำของตลาดอาจดูสงบ ทว่าภายใต้ความเงียบนั้นกลับซ่อนความตื่นตระหนกไว้ การส่งคำสั่งซื้อขายเริ่มล้มเหลว ราคาขยับแบบไม่คาดคิด และความผันผวนก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่แหละคือความจริงของ “การขาดสภาพคล่อง” พลังเงียบที่สามารถเปลี่ยนโอกาสให้กลายเป็นความโกลาหลได้ภายในไม่กี่วินาที
การขาดสภาพคล่องเกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อและผู้ขายหายไปจากตลาด ทำให้การซื้อขายที่ราคาคงที่เป็นไปได้ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ และมันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในตลาดเล็กหรือสินทรัพย์ที่ไม่เป็นที่รู้จักเท่านั้น แม้แต่สินทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกก็สามารถหยุดนิ่งได้เมื่อความกลัวหรือความไม่แน่นอนเข้าครอบงำ เพื่อเข้าใจว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องมองให้ลึกถึงกระบวนการสร้างสภาพคล่อง เหตุที่มันหายไป และบทเรียนที่ประวัติศาสตร์ได้สอนนักเทรดให้รู้จักเอาตัวรอดในช่วงเวลาเช่นนี้

การขาดสภาพคล่อง (Illiquidity) หมายถึง การที่ไม่มีผู้เข้าร่วมตลาดเพียงพอที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาปัจจุบันหรือใกล้เคียงกับราคานั้น กล่าวอย่างง่ายคือ ไม่มีผู้ซื้อหรือผู้ขายมากพอ ทำให้การทำธุรกรรมใช้เวลานานขึ้น หรือราคาขยับแรงกว่าปกติ
ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงคือ ตลาดที่สามารถซื้อหรือขายได้รวดเร็วโดยราคาขยับเพียงเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ตามรายงานของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ตรงกันข้าม ตลาดที่ขาดสภาพคล่องอาจมีการซื้อขายเพียงไม่กี่ครั้งต่อวัน เช่น พันธบัตรเอกชนขนาดเล็ก หุ้นบริษัทขนาดเล็ก (Small-cap) หรือสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทในช่วงเวลานอกตลาด
การขาดสภาพคล่องเพิ่มต้นทุนในการซื้อขาย เนื่องจากส่วนต่างราคา (Spread) กว้างขึ้น การลื่นไถลของราคา (Slippage) สูงขึ้น และการดำเนินคำสั่งช้าลง นอกจากนี้ยังบิดเบือนรูปแบบทางเทคนิค ทำให้เกิดสัญญาณราคาที่ผิดพลาด ซึ่งอาจทำให้นักเทรดที่อ้างอิงกราฟวิเคราะห์เข้าใจผิดได้
สำหรับนักเทรด การขาดสภาพคล่องไม่ใช่แค่ความเสี่ยงด้านราคาเท่านั้น แต่ยังหมายถึง ความเสี่ยงในการดำเนินคำสั่ง (Execution Risk) แม้ทิศทางของตลาดจะถูกต้อง แต่หากไม่สามารถเข้าออกตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจเปลี่ยนดีลที่มีกำไรให้กลายเป็นขาดทุนได้
ในช่วงเวลาที่ตลาดบางหรือมีข่าวสำคัญออกมา หากผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity Providers) ถอนตัวออก ราคาสามารถเหวี่ยงแรงได้ทันที ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือ การติดอยู่ในสถานะ (Trapped Position) เพราะไม่มีคู่เทรดมารับคำสั่ง ในการเทรดแบบมีเลเวอเรจ ความล่าช้านี้อาจทำให้เกิดการถูกเรียกมาร์จิน (Margin Call) หรือถูกปิดสถานะอัตโนมัติ (Forced Liquidation) และในบางกรณี คำสั่ง Stop-Loss ก็อาจถูกกระตุ้นที่ระดับราคาที่แย่กว่าที่ตั้งไว้มาก เนื่องจากสเปรดขยายตัวอย่างรุนแรง
ในช่วงเหตุการณ์รุนแรง สเปรดอาจกว้างขึ้นถึง 5–10 เท่าของค่าปกติ เช่น ในเหตุการณ์ Flash Crash ที่ระบบซื้อขายอัตโนมัติถอนคำสั่งพร้อมกัน สภาพคล่องสามารถหายไปในไม่กี่วินาที ทำให้นักเทรดแม้แต่ระดับมืออาชีพไม่สามารถทำอะไรได้เลย
วิกฤตการเงินโลกปี 2008 ถือเป็นตัวอย่างที่รุนแรงที่สุดของ “การขาดสภาพคล่องเชิงระบบ” (Systemic Illiquidity) เมื่อมูลค่าหลักทรัพย์จำนอง (Mortgage-Backed Securities) ดิ่งลง นักลงทุนหยุดซื้อขายสินทรัพย์เหล่านี้โดยสิ้นเชิง ธนาคารไม่สามารถขายหรือประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่ถืออยู่ได้ เพราะไม่มีผู้ซื้อที่ยอมรับราคา ส่งผลให้ระบบสินเชื่อทั้งระบบหยุดชะงัก
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าสินทรัพย์เหล่านี้ “ไร้ค่า” แต่ไม่มีใครเชื่อถือมูลค่าที่แท้จริงของมันอีกต่อไป “การขาดสภาพคล่อง” จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แทน “ความกลัว” รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกต้องอัดฉีดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น เหตุการณ์นี้เผยให้เห็นความจริงสำคัญว่า สภาพคล่องไม่ได้รับประกันจากคุณภาพของสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในกลไกของตลาดด้วย
เดือนเมษายน ปี 2020 ตลาดน้ำมันดิบสหรัฐฯ (WTI Futures) เกิดเหตุการณ์ “เหนือความคาดหมาย” ราคาติดลบถึง -37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นักเทรดที่ถือสัญญาซื้อล่วงหน้าก่อนวันหมดอายุพยายามขายออก เพราะไม่สามารถรับมอบน้ำมันจริงได้
แต่ผู้ซื้อหลักอย่างโรงกลั่นและผู้ประกอบการคลังเก็บไม่มีพื้นที่เหลือ เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกลดฮวบในช่วงโควิด-19 ส่งผลให้สภาพคล่องหายไป ผู้ซื้อที่เหลืออยู่จำนวนน้อยกลับเรียกร้องให้นักเทรด “จ่ายเงิน” ให้พวกเขารับสัญญาแทน เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความผิดปกติของราคา แต่เป็นกรณีศึกษาอย่างชัดเจนว่า การขาดสภาพคล่องสามารถขยายผลของวิกฤตได้อย่างรุนแรง เมื่อโลจิสติกส์ เลเวอเรจ และความตื่นตระหนกมาบรรจบกัน
อีกเหตุการณ์ที่น่าจดจำคือ “การแข็งตัวของตลาดพันธบัตร” ในเดือนมีนาคม 2020 เมื่อนักลงทุนทั่วโลกแห่ขายสินทรัพย์เพื่อถือเงินสดในช่วงช็อกจากโควิด-19 แม้แต่พันธบัตรเอกชนเกรดลงทุน (Investment Grade) ยังหยุดการซื้อขาย
กองทุน ETF ขนาดใหญ่ เช่น iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF (LQD) ซื้อขายกันต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินจริงถึง 5% ปัญหาคือ พันธบัตรจริงในพอร์ตขาดสภาพคล่อง ขณะที่หน่วย ETF ยังเทรดได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิด “การแยกตัวของราคา” ระหว่างสินทรัพย์จริงกับตราสารที่อ้างอิงมัน จนกระทั่งธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เข้ามาอัดฉีดสภาพคล่องผ่านโครงการซื้อพันธบัตร ตลาดจึงกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้สภาพคล่องหายไป และบ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกันในลักษณะที่อันตรายต่อระบบตลาด:
เมื่อมีคำสั่งซื้อขายอยู่ในฝั่งซื้อหรือฝั่งขายน้อยมาก แม้แต่การเทรดเพียงขนาดเล็กก็สามารถทำให้ราคาขยับแรงได้อย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers) ถอนตัวออกจากตลาด ช่องว่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายจะกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้น นักลงทุนและสถาบันต่าง ๆ จะถอนคำสั่งซื้อขายของตนออก ซึ่งยิ่งทำให้สภาพคล่องลดลงไปอีก
กองทุนที่ใช้เลเวอเรจสูงมักถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์เพื่อชำระหนี้ ซึ่งทำให้วงจรการขาดสภาพคล่องเลวร้ายลง
เมื่อผู้เข้าร่วมตลาดหมดความเชื่อมั่นในความถูกต้องของราคา พวกเขาจะหยุดทำการซื้อขายโดยสิ้นเชิง
การสังเกตสัญญาณเตือนล่วงหน้าช่วยให้นักเทรดป้องกันพอร์ตและลดความเสียหายก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายขึ้น ตัวชี้วัดที่ควรจับตาได้แก่:
ส่วนต่าง Bid-Ask ขยายตัวอย่างรวดเร็วในหลายสินทรัพย์หลัก
ปริมาณการซื้อขายลดลงในช่วงเวลาที่ปกติจะคึกคัก
เกิดช่องว่างของราคา (Price Gaps) หรือการลื่นไถล (Slippage) ผิดปกติเมื่อส่งคำสั่งซื้อขาย
การดำเนินคำสั่งล่าช้า หรือมีเพียงบางส่วนที่ถูกจับคู่ (Partial Fill)
ดัชนีความผันผวน เช่น VIX หรือ MOVE ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในการกำหนดราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
เมื่อเห็นสัญญาณเหล่านี้ นักเทรดควรปรับกลยุทธ์ ลดเลเวอเรจ หรือเปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงกว่า
แม้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขาดสภาพคล่องได้ทั้งหมด แต่เราสามารถบริหารผลกระทบได้ด้วยการเตรียมตัวและวินัยในการเทรด:
ใช้คำสั่ง Limit Order: หลีกเลี่ยงคำสั่ง Market Order ในช่วงตลาดบาง เพื่อควบคุมราคาที่เข้าซื้อหรือขาย
กระจายพอร์ตการลงทุน: ลงทุนในสินทรัพย์และตลาดที่หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงรวม
ลดการใช้เลเวอเรจ: การเปิดสถานะขนาดเล็กช่วยลดโอกาสถูกบังคับขายเมื่อสเปรดกว้าง
ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด: เหตุการณ์สำคัญทางนโยบาย ข้อมูลเศรษฐกิจ หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์สามารถดูดสภาพคล่องได้ทันที
ถือมาร์จิเนสำรองให้เพียงพอ: เพื่อรับมือกับความผันผวนระยะสั้นโดยไม่ถูกปิดสถานะ
แม้แต่สถาบันการเงินรายใหญ่ก็ยึดหลักการเหล่านี้ โดยใช้แบบจำลองความเสี่ยงด้านสภาพคล่องเพื่อจำลองสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น
ในปี 2025 ตลาดการเงินยังคงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เชื่อมโยงกันทั่วโลก และขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยจาก “ช็อกด้านสภาพคล่อง” ผู้ให้บริการสภาพคล่องรายใหญ่ เช่น เทรดเดอร์ความถี่สูง (High-Frequency Traders) เป็นแหล่งสภาพคล่องหลักในแต่ละวัน ทว่าพวกเขาก็มักถอนตัวออกพร้อมกันเมื่อเกิดภาวะตึงเครียดในตลาด
หน่วยงานกำกับดูแลได้เพิ่ม “ตัวตัดวงจร (Circuit Breakers)” และระบบเคลียร์ริ่งภาคบังคับเพื่อลดการแพร่กระจายของความเสี่ยง แต่เหตุการณ์ Flash Crash ก็ยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ รายงานของ IMF ล่าสุดระบุว่า ส่วนต่าง Bid-Ask ในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วโดยเฉลี่ยแคบลงกว่าเดิม 35% เมื่อเทียบกับก่อนปี 2010 แต่การปรับปรุงนี้สามารถกลับด้านได้ทันทีหากตลาดตื่นตระหนก
ในโลกของคริปโตและการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ปัญหาการขาดสภาพคล่องก็รุนแรงไม่แพ้กัน บ่อสภาพคล่อง (Liquidity Pools) ที่มีขนาดเล็กและระบบผู้ดูแลสภาพคล่องอัตโนมัติ (AMM) มักขยายความเสียหายจากการเทขาย สะท้อนให้เห็นจากเหตุการณ์การล่มของเหรียญทางเลือก (Altcoins) หลายตัวในปี 2024 เป็นบทเรียนว่าตลาดดิจิทัลก็มีจุดอ่อนด้านสภาพคล่องไม่ต่างจากตลาดการเงินดั้งเดิม เพียงแต่มันเกิดขึ้น เร็วกว่าและรุนแรงกว่า

ได้แน่นอน แม้แต่ตลาดขนาดใหญ่อย่างน้ำมัน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือหุ้นทั่วโลกก็สามารถ “หยุดนิ่งชั่วคราว” ได้ เมื่อความผันผวนหรือความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
หุ้นขนาดเล็ก (Small-cap Stocks) พันธบัตรเอกชน อสังหาริมทรัพย์ และสินค้าโภคภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม (Niche Commodities) มักมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมตลาดน้อย
ควรเฝ้าดูส่วนต่างราคา (Spread) ให้ใกล้ชิด เลือกเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีปริมาณการซื้อขายสูง และใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับปิดสถานะเมื่อสภาพคล่องหายไป
“การขาดสภาพคล่อง” คือศัตรูเงียบของนักเทรดทุกคน มันซ่อนตัวอยู่ในตลาดที่ดูสงบ และปรากฏตัวในยามที่ตลาดตึงเครียด เพื่อเปิดเผยจุดอ่อนในการดำเนินคำสั่ง กลยุทธ์ และความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาด ทุกวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ล้วนเกี่ยวข้องกับ “การหายไปของสภาพคล่องอย่างฉับพลัน”
นักเทรดที่เข้าใจความเสี่ยงนี้จะรู้ว่าสภาพคล่องไม่ใช่สิ่งถาวร มันต้องอาศัย “การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ความโปร่งใส และความไว้วางใจ” เพื่อคงอยู่ ในโลกที่มนุษย์และอัลกอริทึมเทรดเคียงข้างกัน ความสามารถในการสังเกตว่า “ชีพจรของตลาดเริ่มช้าลงเมื่อใด” คือหนึ่งในทักษะที่มีค่าที่สุดของนักเทรดมืออาชีพ
สภาพคล่อง: ความสามารถในการซื้อขายสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมาก
การขาดสภาพคล่อง: สภาวะที่การซื้อขายทำได้ยากหรือช้า เนื่องจากไม่มีผู้ซื้อหรือผู้ขายเพียงพอ
ส่วนต่างราคาระหว่างซื้อ–ขาย: ช่องว่างระหว่างราคาที่ผู้ซื้อต้องการซื้อกับราคาที่ผู้ขายต้องการขาย
ความลึกของตลาด: จำนวนคำสั่งซื้อและขายที่มีอยู่ในแต่ละระดับราคา
สลิปเพจ (Slippage): ความแตกต่างระหว่างราคาที่คาดว่าจะซื้อขายกับราคาที่ทำธุรกรรมได้จริง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ