2025-09-23
การลงทุนทองคำถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความไม่แน่นอน เช่น ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ การปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED หรือแรงกดดันจากเงินเฟ้อ บทความนี้จึงพาคุจะเจาะลึกถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ บทบาทของทองคำในฐานะ Safe Haven รวมถึงการวิเคราะห์ว่าการลงทุนทองคำในปี 2025 ยังคุ้มค่าอยู่หรือไม่
การลงทุนทองคำน่าสนใจเพราะทองมีความโดดเด่นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) ทำให้มักมีความต้องการสูงในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินมีความผันผวนหรือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) รวมถึงนักลงทุนยังนิยม ลงทุนทองคำ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากทองคำมักมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่ออำนาจซื้อของเงินสกุลหลักลดลง
นอกจากนี้ การที่ทองคำมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้นและพันธบัตรค่อนข้างต่ำ ทำให้การ ลงทุนทองคำ ช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังมีความสามารถในการเปลี่ยนมือเป็นเงินสดได้ง่าย (High Liquidity) และได้รับการยอมรับทั่วโลก ทำให้สามารถนำไปแลกเปลี่ยนได้ในเกือบทุกประเทศ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงและออกจากตลาดได้อย่างสะดวก
นโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ Fed – หากดอกเบี้ยปรับลดลง ทองคำมักปรับตัวสูงขึ้นเพราะต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำลดลง
อัตราเงินเฟ้อ – เงินเฟ้อที่สูงทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนเลือกใช้เพื่อรักษามูลค่าของเงิน
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) – ราคาทองคำมักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองคำจะมีแนวโน้มสูงขึ้น
สถานการณ์เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ – วิกฤตเศรษฐกิจ การเมือง หรือสงคราม สามารถกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือทองคำมากขึ้น
อุปสงค์และอุปทาน – ความต้องการทองคำในภาคอุตสาหกรรม เครื่องประดับ รวมถึงการซื้อขายโดยธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลโดยตรงต่อราคา
ปัจจุบันการลงทุนทองคำไม่ได้มีเพียงการซื้อทองแท่งหรือทองรูปพรรณเพียงอย่างเดียว เพราะตอนนี้นักลงทุนสามารถสามารถเข้าถึงทองคำได้หลายช่องทางมากขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ถูกออกแบบให้เหมาะกับความต้องการและระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้
กองทุนรวมทองคำเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ไม่ต้องการถือทองคำจริงสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับราคาทองคำได้ โดยกองทุนเหล่านี้มักลงทุนในทองคำแท่ง ทองคำในตลาดต่างประเทศ หรือแม้แต่หุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเหมืองทองคำ ข้อดีคือความสะดวกในการลงทุน สามารถซื้อขายได้ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) โดยใช้เงินลงทุนไม่สูง
ในเชิงโครงสร้าง กองทุนรวมทองคำมักถูกบริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่ทำหน้าที่ติดตามราคาทองคำและปรับพอร์ตการลงทุนตามภาวะตลาด นักลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องคอยจับตาราคาทองคำด้วยตัวเองทุกวัน แต่ต้องคำนึงถึงค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน และความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่ตรงกับราคาทองคำ 100% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายแฝง
ทองคำฟิวเจอร์สเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และยอมรับความเสี่ยงสูง เนื่องจากสามารถใช้ Leverage ในการลงทุนได้ ทำให้ใช้เงินลงทุนจริงน้อยแต่สามารถควบคุมปริมาณสัญญาที่มีมูลค่ามากได้ ผลกำไรหรือขาดทุนจึงขยายตัวสูงตามไปด้วย การซื้อขายทองคำฟิวเจอร์สมักใช้ในตลาดอนุพันธ์ เช่น TFEX ของประเทศไทย หรือ COMEX ในสหรัฐอเมริกา
ข้อดีของการลงทุนลักษณะนี้คือสภาพคล่องสูง สามารถเก็งกำไรได้ทั้งฝั่งซื้อ (Long) และขาย (Short) แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวน นักลงทุนจึงจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดฟิวเจอร์ส กฎการวาง Margin และการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ หากขาดประสบการณ์อาจสูญเสียเงินลงทุนได้รวดเร็ว
ทองคำ ETFs เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมในระดับโลก โดยมีลักษณะคล้ายการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่ราคาจะอ้างอิงกับราคาทองคำจริง เช่น SPDR Gold Shares (GLD) ที่เป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ข้อดีคือมีสภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย และสามารถเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนไม่สูงมาก
นอกจากนั้น ทองคำ ETFs ยังมีข้อได้เปรียบเรื่องค่าใช้จ่ายในการถือครองที่ต่ำกว่าการถือทองคำแท่งจริง และไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงที่ผลตอบแทนของ ETFs อาจไม่เท่ากับราคาทองคำ 100% เพราะอาจมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการกองทุน รวมถึงปัจจัยของอัตราแลกเปลี่ยน หากซื้อขายในสกุลเงินต่างประเทศ
สุดท้ายการซื้อทองคำแท่งก็ยังคงเป็นการงทุนที่ที่จับต้องได้และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายที่สุด เพราะนักลงทุนสามารถถือครองทองคำจริงในรูปแบบที่เป็นสินทรัพย์ มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทันทีเมื่อต้องการ และยังถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่ซับซ้อน ข้อดีสำคัญคือไม่มีความเสี่ยงด้านสัญญาหรือการผิดนัดชำระจากคู่สัญญาเหมือนการลงทุนในตราสารทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม การถือทองคำแท่งหรือเหรียญทองคำก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณา เช่น ค่าเก็บรักษา ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และส่วนต่างราคาซื้อขาย (Spread) ที่อาจทำให้ต้นทุนสูงกว่าการลงทุนผ่านตลาดทุนได้เช่นกัน
ปลายปี 2025 ราคาทองคำอยู่ในจุดที่ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและการเมืองระหว่างประเทศที่สอดประสานกัน เริ่มตั้งแต่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนตัว — ดัชนี PPI (Producer Price Index) ลดลงอย่างไม่คาดคิด และตลาดแรงงานแสดงสัญญาณชะลอตัว ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยเสริมความคาดหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) อาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย (rate cut) ในไม่ช้า
อีกประเด็นสำคัญคือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ ซึ่งทำให้ทองคำที่ตั้งราคากับดอลลาร์มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น ๆ รวมถึงนักลงทุนทั่วโลก การอ่อนค่าของดอลลาร์มีส่วนผสมกับอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลดลง — ทั้งสองอย่างร่วมกันลดต้นทุนของโอกาส (opportunity cost) ในการถือทองคำ ซึ่งทองคำไม่ให้ผลตอบแทนคงที่เหมือนพันธบัตรหรือเงินฝากดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical risk) และแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก (central bank demand) ยังเป็นอีกแรงสนับสนุนสำคัญ ตัวอย่างเช่น ประเทศจีนและอินเดียที่ยังคงเพิ่มสำรองทองคำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนักลงทุนสถาบันที่เข้ามาลงทุนในกองทุน ETF ที่ถือทองคำซึ่งมีการไหลของเงินลงทุนที่สูง
หลายสถาบันบริการทางการเงินคาดว่าราคาทองคำ ณ สิ้นปี 2025 จะอยู่ในช่วงประมาณ US$3,700–US$3,800 ต่อออนซ์ ภายใต้สมมติฐานว่า Fed จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อบางส่วนน่าจะยังคง “เหนียว” อยู่แต่ไม่สูงจนเกินไป
ในกรณีที่เศรษฐกิจโลกแย่ลง หรือมีความตึงเครียดทางการเมือง/ภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้น (เช่น ความขัดแย้งทางการค้า, ความไม่แน่นอนในนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ฯลฯ) ราคาทองคำอาจได้แรงหนุนเพิ่มเติมและอาจเพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 10-15% จากราคาปัจจุบัน
แต่ถ้ารัฐบาลและธนาคารกลางสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ดี ค่าเงินดอลลาร์กลับแข็งแรง และ Fed เลื่อนลดดอกเบี้ยออกไป ราคาทองคำอาจเผชิญแรงกดดันและอาจ “ยอมคืน” ส่วนหนึ่งของกำไรในปีนี้ — บางการวิเคราะห์ระบุว่าหากเกิดสถานการณ์ที่เป็นบวกมากๆ ราคาทองอาจลดลงได้ 10-17% จากระดับสูงสุดของปีนี้
A: ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้ กองทุนรวมทองคำและ ETF เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกและสภาพคล่องสูง ฟิวเจอร์สเหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และรับความเสี่ยงสูง ส่วนทองแท่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการถือสินทรัพย์จริงและควบคุมเอง
A: ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ Safe Haven ซึ่งมักมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเงินสกุลหลักอ่อนค่าหรือเกิดเงินเฟ้อ จึงช่วยรักษากำลังซื้อและกระจายความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอได้
A: ราคาทองคำปลายปี 2025 มีแนวโน้มอยู่ระหว่าง US$3,700–US$3,800 ต่อออนซ์ โดยขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย Fed, ค่าเงินดอลลาร์, เงินเฟ้อ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ หากเกิดเหตุไม่แน่นอน ราคาทองอาจปรับขึ้นอีก 10–15%
การลงทุนทองคำยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในยุคเศรษฐกิจผันผวน ด้วยบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) นักลงทุนสามารถใช้ทองคำในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตและปกป้องมูลค่าการลงทุนจากเงินเฟ้อหรือความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์
ทองคำยังมีความน่าสนใจจากสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ง่าย และมีหลายช่องทางให้ลงทุน ทั้งทองคำแท่ง กองทุนรวมทองคำ ETFs หรือฟิวเจอร์ส ซึ่งแต่ละช่องทางมีข้อดี-ข้อจำกัดแตกต่างกัน การเลือกวิธีลงทุนจึงควรสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงและไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนแต่ละคน
สำหรับแนวโน้มปลายปี 2025 ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค การปรับดอกเบี้ยของ Fed ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก ทำให้ทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น แม้จะมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนที่เข้าใจปัจจัยเหล่านี้และวางกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ยังคงสามารถใช้ทองคำเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคงและโอกาสทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใด ๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใด ๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ