เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-24
ดัชนี Hang Seng คือหนึ่งในมาตรวัดสำคัญที่สุดของตลาดทุนเอเชีย ซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของจีนและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ บทความนี้จะวิเคราะห์อย่างรอบด้านถึงสถานะของดัชนีที่เปรียบเสมือนภาพสะท้อนเศรษฐกิจจีนแห่งนี้ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน การเปรียบเทียบกับดัชนี S&P 500 ไปจนถึงแนวโน้มและปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อทิศทางตลาดในอนาคต
ดัชนี Hang Seng (Hang Seng Index: HSI) คือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่สะท้อนภาพรวมของหุ้นขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงสุด 82 ตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX) ทำให้ดัชนีนี้ไม่ได้เป็นเพียงมาตรวัดผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทน (Proxy) ที่สำคัญของเศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย เนื่องจากบริษัทจีนขนาดมหึมาจำนวนมากเลือกที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดฮ่องกงเพื่อระดมทุนจากนักลงทุนทั่วโลก
วิธีการคำนวณดัชนี HSI ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วยสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free-float Adjusted Market Capitalization) ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงและมีสัดส่วนการถือครองโดยนักลงทุนทั่วไปมาก จะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่าหุ้นขนาดเล็ก การทบทวนรายชื่อหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีจะเกิดขึ้นเป็นรายไตรมาส เพื่อให้แน่ใจว่าดัชนียังคงสะท้อนภาพรวมของบริษัทชั้นนำที่เป็นแกนหลักของตลาดได้อย่างแท้จริง
การเงิน (Finance)
สาธารณูปโภคและโทรคมนาคม (Utilities & Telecommunications)
อสังหาริมทรัพย์ (Properties)
พาณิชย์และอุตสาหกรรม (Commerce & Industry
นอกจากนี้ การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของดัชนี Hang Seng มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการผนวกรวมบริษัทจดทะเบียนที่มีภูมิลำเนาในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งจำแนกได้เป็น 2 ประเภทสินทรัพย์ที่สำคัญ ได้แก่ "H-Shares" และ "Red Chips" H-Shares คือกลุ่มบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งในจีนแผ่นดินใหญ่และนำหุ้นมาซื้อขายในตลาดฮ่องกง ในขณะที่ Red Chips เป็นนิยามของบริษัทที่ควบคุมโดยองค์กรของรัฐบาลจีนแต่จดทะเบียนจัดตั้งนอกแผ่นดินใหญ่
ซึ่งการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวได้ปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของดัชนีอย่างมีนัยสำคัญ จากการเป็นเพียงมาตรวัดเศรษฐกิจภายในของฮ่องกง สู่การเป็นดัชนีอ้างอิงหลักที่สะท้อนพลวัตทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนในสายตานักลงทุนทั่วโลก

เมื่อพูดถึงการเปรียบเทียบตลาดหุ้นระดับโลก ดัชนี Hang Seng มักถูกนำมาเทียบกับ S&P 500 ของสหรัฐฯ เพราะทั้งสองต่างสะท้อนเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในทิศทางตรงข้ามอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างหลักของทั้งสองดัชนีอยู่ที่ “โครงสร้างเศรษฐกิจ” และ “ธรรมชาติของตลาดทุน”
S&P 500 เน้นบริษัทเทคโนโลยีและบริการภาคเอกชนที่มีสภาพคล่องสูงและมีฐานรายได้ทั่วโลก เช่น Apple, Microsoft, และ Amazon ในขณะที่ Hang Seng ยังพึ่งพาบริษัทในภาคการเงินและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก สะท้อนลักษณะเศรษฐกิจจีนที่รัฐยังมีบทบาทสำคัญในระบบการผลิตและตลาดทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโครงสร้างทางการเงินที่เปิดเสรีและยืดหยุ่นกว่า ในขณะที่ตลาดฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ยังได้รับอิทธิพลจากนโยบายรัฐบาลมากกว่า เช่น มาตรการควบคุมอสังหาริมทรัพย์ หรือกฎระเบียบต่อบริษัทเทคโนโลยี ทำให้ดัชนี Hang Seng มีความผันผวนสูงกว่าดัชนี S&P 500 ในหลายช่วงเวลา
หากย้อนดูข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละกว่า 9% ในขณะที่ Hang Seng มีผลตอบแทนต่ำกว่า 3% ต่อปี ปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่า Hang Seng มีโอกาสฟื้นตัวได้ในระยะกลางหากนโยบายภาครัฐจีนเริ่มผ่อนคลายและเปิดเศรษฐกิจมากขึ้น
ดัชนี Hang Seng ในช่วงปัจจุบันสะท้อนถึงสภาพตลาดที่กำลังฟื้นตัวแต่ยังเปราะบาง นักลงทุนเริ่มเห็นความหวังจากการฟื้นตัวของภาคเทคโนโลยีและการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเชิงโครงสร้างยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญ เช่น ความเปราะบางของภาคอสังหาริมทรัพย์ ความไม่แน่นอนจากนโยบายภาครัฐ และแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง
ในมุมมองเชิงองค์รวม การฟื้นตัวของดัชนี Hang Seng ยังไม่สามารถถือว่าแน่นอน เนื่องจากตลาดหุ้นฮ่องกงยังได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การเคลื่อนไหวของดัชนียังคงมีความผันผวนสูง การปรับฐานในบางช่วงเวลาจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม สัญญาณเชิงบวกยังคงปรากฏอยู่ เช่น ภาคเทคโนโลยีเริ่มฟื้นตัว การบริโภคภายในประเทศกลับมามีบทบาทสำคัญ และการผ่อนคลายนโยบายของรัฐบาลจีนช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน การวิเคราะห์องค์รวมจึงสะท้อนว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังคงต้องติดตามความเสี่ยงและปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง

A: ดัชนี Hang Seng คำนวณจากมูลค่าตลาดของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Capitalization Weighted Index) ซึ่งหมายความว่าหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงจะส่งผลต่อดัชนีมากกว่า
A: ปัจจุบันมีหุ้นประมาณ 82 บริษัท อยู่ในดัชนี โดยแบ่งออกเป็น 4 หมวดหลัก ได้แก่ การเงิน (Finance), อสังหาริมทรัพย์ (Property), สาธารณูปโภค (Utilities), และการพาณิชย์และอุตสาหกรรม (Commerce & Industry)
A: CSI 300 เป็นดัชนีที่สะท้อนตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (Shanghai และ Shenzhen) ส่วน Hang Seng สะท้อนตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งมีนักลงทุนต่างชาติเป็นสัดส่วนมากกว่าและเปิดเสรีทางการเงินมากกว่า
ดัชนี Hang Seng เป็นตัวชี้วัดหลักของตลาดหุ้นฮ่องกงและเศรษฐกิจจีน การเคลื่อนไหวของดัชนีสะท้อนภาพรวมของภาคการเงิน เทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ และภาคบริการในจีนและฮ่องกง นักลงทุนทั่วโลกใช้ดัชนีนี้เป็นตัวอ้างอิงเพื่อประเมินความเชื่อมั่นและทิศทางเศรษฐกิจเอเชีย
ดัชนี Hang Seng ยังเป็นเกณฑ์อ้างอิงสำคัญสำหรับกองทุน ETF และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ ทำให้มีบทบาทเชื่อมโยงทุนต่างชาติเข้าสู่ตลาดจีน หากดัชนีฟื้นตัวหรือปรับตัวลง จะส่งผลต่อการไหลของเงินทุนและแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคโดยตรง
แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายภาครัฐจีน ดัชนี Hang Seng ยังคงสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียได้อย่างชัดเจน เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ติดตามตลาดและนักวิเคราะห์ในการเข้าใจสภาพเศรษฐกิจจริง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งตัวเลขสถิติเพียงอย่างเดียว
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ