เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-13
ตลาดมีจังหวะการหายใจอยู่ 4 จังหวะ ได้แก่ เปิด, สูงสุด, ต่ำสุด และปิด แต่ละจุดล้วนบอกเล่าเรื่องราวส่วนหนึ่งที่เทรดเดอร์ทั่วโลกอ่านมาตลอดเวลากว่าศตวรรษ และแม้ในยุคที่อัลกอริทึมสามารถส่งคำสั่งซื้อขายนับพันครั้งในเสี้ยววินาที ทุกการเคลื่อนไหวยังคงอ้างอิงอยู่บนข้อมูลทั้งสี่จุดนี้ เพื่อบอกเราว่าตลาดเกิดอะไรขึ้น
กราฟ OHLC คือเครื่องมือที่ช่วยย่อความวุ่นวายของตลาดให้กลายเป็นโครงสร้างที่เข้าใจได้ (OHLC ย่อมาจาก Open, High, Low, Close — ราคา 4 จุดหลักที่สรุปการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละช่วงเวลา) ไม่ว่าจะเป็นการประกาศนโยบายจากธนาคารกลาง รายงานผลประกอบการของบริษัท หรือเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ วันหนึ่ง ๆ มักจบลงด้วยแท่งเดียวที่สรุปศึกระหว่างแรงซื้อกับแรงขายทั้งหมด
จากรายงานสำรวจของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) เมื่อเดือนเมษายน 2025 พบว่าตลาด Forex มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันราว 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก และแทบทั้งหมดนั้นถูกแสดงออกผ่านกราฟ OHLC
การอ่านกราฟเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ ความเหนื่อยล้า ความมั่นใจ และการควบคุม การเรียนรู้ที่จะตีความมันได้อย่างลึกซึ้ง คือสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างคนที่แค่ดูราคา กับคนที่เข้าใจพฤติกรรมของราคาอย่างแท้จริง
OHLC ย่อมาจาก Open, High, Low และ Close ซึ่งเป็นราคาสำคัญ 4 ประการที่กำหนดการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละช่วงเวลาเทรด
Open (ราคาเปิด): ราคาที่ตลาดเริ่มต้นซื้อขายในช่วงเวลานั้น
High (ราคาสูงสุด): ราคาที่ขึ้นไปแตะระดับสูงสุด
Low (ราคาต่ำสุด): ราคาที่ลงไปแตะระดับต่ำสุด
Close (ราคาปิด): ราคาสุดท้ายเมื่อช่วงเวลาการซื้อขายสิ้นสุด
ทุกกราฟ ไม่ว่าจะเป็นกราฟรายนาทีหรือกราฟรายเดือน ต่างสร้างขึ้นจากพื้นฐานเดียวกันนี้ จุดทั้ง 4 บันทึกว่าตลาดเคลื่อนไหวแค่ไหน ความผันผวนสูงเพียงใด และฝ่ายใดระหว่างผู้ซื้อหรือผู้ขายที่ควบคุมผลลัพธ์ได้
ตัวอย่างเช่น กราฟรายวันของคู่เงิน EUR/USD วันที่ 12 กันยายน 2025 เปิดที่ 1.1058, ขึ้นไปสูงสุดที่ 1.1104, ลงต่ำสุดที่ 1.1010, และปิดที่ 1.1089 แม้ช่วงราคาจะไม่กว้างมาก แต่ไส้แท่งล่างยาวแสดงถึงแรงซื้อที่ดูดซับแรงขายระหว่างวัน ส่งสัญญาณต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น
กราฟ OHLC คือการย่อข้อมูลการซื้อขายนับพันรายการให้เหลือเพียง 4 จุดข้อมูลที่มีความหมาย เพื่อให้เทรดเดอร์มองเห็นโครงสร้างและวิเคราะห์พฤติกรรมตลาดได้อย่างมีระบบ นี่คือพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจบทบาทเฉพาะของแต่ละองค์ประกอบในกราฟ OHLC
ราคาเปิดคือจุดเริ่มต้นของการซื้อขาย มักได้รับอิทธิพลจาก “อารมณ์ค้างคืน” ของตลาด หากช่องว่างระหว่างราคาปิดของวันก่อนกับราคาเปิดของวันใหม่กว้าง แปลว่าข่าวสารใหม่ได้เปลี่ยนความคาดหวังของนักลงทุนแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อดัชนี Nikkei 225 เปิดตลาดวันที่ 1 เมษายน 2025 ลดลง 1.3% สาเหตุมาจากรายงานกำไรของบริษัทชิปในสหรัฐฯ ที่ออกหลังตลาดโตเกียวปิด สร้างแรงกดดันให้เทรดเดอร์ต้องปรับพอร์ตทันทีที่ตลาดเปิด
ราคาเปิดจึงเป็นตัว “ตั้งโทน” ของวัน ช่องว่างเปิดขึ้น (gap up) บ่งบอกถึงความเชื่อมั่น ขณะที่ช่องว่างเปิดลง (gap down) สะท้อนความกลัวหรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
ราคาสูงสุดคือจุดที่ “แรงซื้อสุดขีด” ปะทะกับ “แรงขายทำกำไร” เมื่อราคาทองคำ (XAU/USD) แตะระดับ 2,487 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2025 หลังข้อมูลการจ้างงานสหรัฐออกมาอ่อนแอ นักลงทุนแห่เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย แต่แรงขายทำกำไรตามมาทันที ดึงราคาลงกว่า 40 ดอลลาร์
ราคาสูงสุดจึงบอกเราว่าตลาดเริ่มเจอ “อุปทาน” หรือแรงขายจากฝั่งผู้ถือกำไร เมื่อหลายแท่งติดต่อกันไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ นั่นคือการยืนยันแนวต้าน
ราคาต่ำสุดคือจุดที่ “ความสิ้นหวัง” ถึงขีดสุด ในเดือนกรกฎาคม 2025 คู่เงิน GBP/USD ลงไปแตะ 1.2445 หลังจากธนาคารกลางอังกฤษส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ตลาดกลับเห็นแรงซื้อชัดเจน ทำให้ราคาดีดกลับขึ้น — บ่งบอกว่าสถาบันกำลังสะสม ไม่ได้ขายทิ้ง
สำหรับนักเทรดเทคนิค การเปรียบเทียบ “จุดต่ำ” ปัจจุบันกับจุดก่อนหน้าเป็นสิ่งสำคัญ หากจุดต่ำใหม่สูงขึ้น (higher low) หมายถึงแนวโน้มแข็งแรง แต่ถ้าต่ำลง (lower low) มักบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของราคา
ราคาปิดคือจุดที่ “เงินทุนสถาบัน” แสดงท่าทีชัดเจน ใช้เป็นฐานในการคำนวณมูลค่าพอร์ต ตัวชี้วัดความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน
เมื่อดัชนี NASDAQ 100 ปิดเหนือระดับ 19,000 ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2025 ถือเป็นการยืนยันสัญญาณ “ขาขึ้น” อย่างเป็นทางการหลังจากสะสมแรงมาหลายสัปดาห์ การปิดแท่งใกล้ระดับสูงสุดสะท้อน “ความมั่นใจ” ของผู้ซื้อ
การปิดใกล้จุดสูงสุดบ่งชี้ว่าฝั่งซื้อควบคุมตลาด ขณะที่การปิดใกล้จุดต่ำสุดมักหมายถึงแรงขายยังคงกดดันอยู่
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงมากมาย เช่น Heikin-Ashi, Renko, หรือ Tick Chart แต่กราฟ OHLC ยังคงเป็น “โครงสร้างหลัก” ของการค้นหาราคาที่แท้จริงในตลาดทั่วโลก
จากผลสำรวจของ Refinitiv ปี 2025 พบว่า 82% ของอัลกอริทึมเทรดของสถาบันการเงินทั่วโลก ยังคงใช้ตัวชี้วัดที่อ้างอิงจาก OHLC เช่น Range Expansions, Moving Averages, และ Volatility Clusters แม้แต่โมเดล Machine Learning สำหรับการเทรดความถี่สูง (HFT) ก็ยังต้องใช้ค่าจาก OHLC เพื่อสร้าง “โครงสร้างแท่งราคา”
ด้านกฎระเบียบก็เช่นกัน โดยหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง FCA และ ASIC กำหนดให้โบรกเกอร์ (เช่น EBC) ต้องเผยแพร่ข้อมูล OHLC ที่มีการประทับเวลาอย่างชัดเจน เพื่อให้เทรดเดอร์ทั่วโลกอ้างอิงราคาชุดเดียวกันอย่างโปร่งใส
ยกตัวอย่างเช่น ในวันที่ 13 มิถุนายน 2025 ระหว่างการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ คู่เงิน EUR/USD มีช่วงการเคลื่อนไหวขยายกว้างขึ้นกว่า 220% จากค่าเฉลี่ย 20 วันก่อนหน้า ซึ่งถูกบันทึกไว้อย่างแม่นยำผ่านกราฟ OHLC ผู้ที่จับสัญญาณนี้ได้ก่อน ใช้ประโยชน์ในการเข้าเทรดตาม “การเบรกเอาท์” ก่อนที่อินดิเคเตอร์อื่นจะตอบสนอง
การอ่านกราฟ OHLC เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยแต่ละแท่งคือภาพย่อของพฤติกรรมผู้ซื้อขายในช่วงเวลานั้น
ขั้นตอนการวิเคราะห์:
เปรียบเทียบราคาเปิดและปิด: การปิดเหนือราคาเปิดแสดงถึงแรงซื้อ ส่วนการปิดต่ำกว่าหมายถึงแรงขาย
ช่วงการประเมิน: แท่งยาว = ความผันผวนสูงและแรงเทรดที่มีความมั่นใจ
สังเกตการเรียงตัวของแท่ง: หากมีแท่งที่ปิดสูงขึ้นต่อเนื่อง 3 แท่ง มักยืนยันแนวโน้มขาขึ้น
รวมบริบท: จับคู่จุดสูง–ต่ำกับแนวรับแนวต้านเดิม เพื่อยืนยันโครงสร้างราคา
ตัวอย่าง: ระหว่างวันที่ 10–14 มีนาคม 2025 คู่เงิน EUR/USD ปิดสูงขึ้นต่อเนื่อง 3 วัน จาก 1.0840 → 1.0940 ก่อนจะเบรกทะลุแนว 1.10 ซึ่งยืนยันพลังของลำดับแท่ง OHLC ได้อย่างแม่นยำ
แม้ทั้งสองจะแสดงข้อมูลชุดเดียวกัน แต่ความแตกต่างอยู่ที่ “การอ่านค่า”
Candlestick (แท่งเทียน) เติมสีระหว่างราคาเปิดและปิด เพื่อบ่งบอกทิศทาง (เขียว = ขึ้น, แดง = ลง) ในขณะที่ OHLC ใช้ขีดซ้าย–ขวาแทนราคาเปิดและปิด ให้มุมมองเชิงปริมาณที่ชัดและเรียบกว่า
การสำรวจของ CME Group ปี 2025 พบว่า 70% ของทีม Quant มืออาชีพ เลือกใช้รูปแบบ OHLC ในการ Backtest เพราะลดอคติจากการตีความสี อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์สายมนุษย์มักใช้ร่วมกัน Candlestick เพื่อความเข้าใจง่าย และ OHLC เพื่อความแม่นยำสูง
เทรดเดอร์มืออาชีพมักคำนวณค่า “Bar Strength Ratio” เพื่อวัดแรงควบคุมของตลาด:
(Close - Ope)÷(High - Low)\text{(Close - Open)} ÷ \text{(High - Low)}(Close - Open)÷(High - Low)
อัตราส่วนที่สูงกว่า +0.6 แสดงถึงการซื้อที่แข็งแกร่ง ส่วนอัตราส่วนที่ต่ำกว่า −0.6 แสดงถึงการขายที่รุนแรง
ในระหว่างการประชุม Fed วันที่ 18 กันยายน 2025, คู่เงิน USD/JPY มีค่า Ratio = −0.82, สะท้อนแรงขายดอลลาร์ที่เข้มข้น จนราคาลดลงกว่า 250 pips ภายในสองวัน
นอกจากนี้ แท่ง OHLC ยังเผยสัญญาณละเอียดอื่น ๆ เช่น ไส้เทียนบนที่ยาวแสดงถึงการดีดขึ้นล้มเหลว (แรงขายกดกลับ) ไส้เทียนล่างที่ยาวแสดงถึงการเทขายล้มเหลว (แรงซื้อดันกลับ) ส่วนแท่งเทียนแคบๆ หลังจากราคาวิ่งผันผวนมักส่งสัญญาณถึงความเหนื่อยล้าหรือความสมดุล
ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ก็เป็นปัจจัยยืนยันสำคัญ เช่น ในเดือนมิถุนายน 2025 สัญญาน้ำมันดิบเกิด OHLC แท่งกว้างหลายแท่งพร้อมปริมาณเทรดหนาแน่น ก่อนการตัดสินใจของ OPEC ที่คงระดับการผลิตไว้ สะท้อนว่าความเคลื่อนไหวมาจาก “แรงทุนจริง” ไม่ใช่แค่ความผันผวนสุ่ม
หลักการของ OHLC ใช้ได้กับทุกกรอบเวลา — โดยเฉพาะในตลาดฟอเร็กซ์ช่วงที่เซสชันยุโรปกับสหรัฐฯ ทับกัน
ตัวอย่างเช่น ช่วง London–New York overlap (13:00–16:00 GMT) มักสร้างช่วงราคา (Range) ที่กว้างที่สุดของวัน จากข้อมูล EBC Trading Dataset ปี 2025 พบว่า กว่า 60% ของการขยายช่วงราคา intraday ใน EUR/USD เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นจุดที่ “สภาพคล่องระดับสถาบัน” กระจุกตัวมากที่สุด
เทรดเดอร์ระยะสั้นใช้ OHLC ของแท่งแรกรายชั่วโมงเพื่อประเมินทิศทาง หากแท่งถัดไปทะลุจุดสูงสุดนั้นได้ แนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น และต่ำกว่าจุดต่ำสุด แนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาลง วิธีการนี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในช่วงที่มีข่าวที่มีผลกระทบสูง เช่น การประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC)
เมื่อแท่งราคา OHLC มีความกว้างเกินค่าเฉลี่ย แสดงว่าความผันผวนกำลังเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างในเดือนเมษายน 2025 NASDAQ Futures ขยายช่วงการเคลื่อนไหวรายวันขึ้นกว่า 40% ก่อนทะลุแนวต้านที่ 18,600 เทรดเดอร์ที่เฝ้าดูการขยายของช่วงราคา สามารถคาดการณ์แรงพุ่งขึ้นได้ก่อนข่าวออกจริง
หากกราฟในหลายกรอบเวลาสอดคล้องกัน จะเพิ่มความมั่นใจในการเข้าเทรด
เช่น ในเดือนพฤษภาคม 2025 ราคาทองคำแสดงแท่ง OHLC รายวันแบบขาขึ้น พร้อมกับ จุดต่ำสุดสูงขึ้นในกราฟ 4 ชั่วโมง ให้ผลลัพธ์การเทรดด้วยอัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยง (R:R) 2.5:1 โดยราคาทองเพิ่มขึ้น 80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในหนึ่งสัปดาห์
เมื่อแท่ง OHLC แคบลงติดต่อกัน แสดงถึงการสะสมพลังของตลาด จากสถิติของ CME ปี 2025 พบว่า การบีบตัวต่อเนื่อง 3 วัน มีแนวโน้มทำให้เกิดการเคลื่อนไหวรุนแรงภายใน 5 วันถัดมา ถึง 63% ของกรณีทั้งหมด
หากราคาปิด (Close) อยู่เหนือเส้น EMA 20 วัน ในขณะที่ค่า RSI อยู่ใกล้ระดับ 60 นั่นบ่งบอกถึงแนวโน้มที่ยังคงแข็งแรง วิธีผสมผสานนี้ช่วยเปลี่ยนข้อมูล OHLC ที่นิ่งเป็น “สัญญาณโมเมนตัมที่ใช้งานได้จริง”
ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน 2025 คู่เงิน EUR/USD ปรับขึ้นจาก 1.0830 → 1.0950 โดยมีแท่ง OHLC ขาขึ้น 3 แท่งต่อเนื่อง แต่ละแท่งปิดสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งก่อนหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้การเบรกทะลุเหนือระดับ 1.10 — และเกิดขึ้นจริงไม่นานหลังจากนั้น
ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2024 ราคาทองเคลื่อนไหวต่ำกว่า 2,350 ดอลลาร์ โดยมีช่วง OHLC แคบลงเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่เดือนกันยายน กราฟสร้างแท่ง OHLC ขนาดกว้างพร้อมปิดสูงเด่นชัด ส่งผลให้ราคาทองทะยานขึ้นกว่า 120 ดอลลาร์ภายใน 10 วัน
ในเดือนกรกฎาคม 2025 ช่วงราคา OHLC ของ SMH ETF ขยายจาก 4% เป็น 6% ก่อนการประกาศผลประกอบการของ Nvidia ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ถึง “แรงสะสม” ของนักลงทุนสถาบัน และหลังจาก Nvidia รายงานผลกำไรสูงกว่าคาดถึง 8% ส่งผลให้ SMH ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
กราฟของ Brent แสดงแท่ง OHLC ที่มี จุดสูงสุดลดลงต่อเนื่อง 3 แท่ง และปิดต่ำกว่า 64 ดอลลาร์ หลังจาก OPEC คาดการณ์ปริมาณสำรองเพิ่มขึ้น การปิดต่ำต่อเนื่องนี้เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าแนวโน้มขาขึ้นใกล้หมดแรง ซึ่งเกิดขึ้นจริงเมื่อราคาลดลงสู่ 59 ดอลลาร์ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ถัดมา
มองแท่งเดี่ยว ๆ โดยไม่วิเคราะห์กลุ่มของแท่ง (Clusters)
ไม่สนใจช่วงเวลาการซื้อขาย (Session Timing) ที่มีสภาพคล่องต่างกัน
จดจ่อเกินไปกับกรอบเวลาสั้นโดยไม่ดูภาพรวมระยะยาว
เข้าใจผิดว่า “การกระตุกของอัลกอริทึม” คือปริมาณการเทรดจริง
ละเลยการตั้ง Stop-Loss แม้สัญญาณจะดูสมบูรณ์
กราฟ OHLC คือภาพสะท้อน “จิตวิทยาฝูงชน” Open แทนความคาดหวัง High แทนอารมณ์ตื่นเต้น Low แทนความกลัว Close แทนการตัดสินใจร่วมของตลาด
เมื่อเทรดเดอร์เรียนรู้ที่จะอ่านการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ พวกเขาจะมองตลาดต่างออกไป แท่งแคบหลังจากแนวโน้มขาขึ้นยาว มักแปลว่าความมั่นใจเริ่มลดลง ในทางกลับกัน การปิดแท่งต่อเนื่องใกล้จุดสูงสุด บ่งชี้ถึง “แรงเชื่อมั่น” ที่ยังแข็งแรง
จากการศึกษาด้าน พฤติกรรมการเงิน (Behavioural Finance) ของ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ปี 2025 พบว่า เทรดเดอร์ที่ใช้การวิเคราะห์กราฟ OHLC แบบมีโครงสร้าง มี ผลตอบแทนปรับตามความเสี่ยงสูงขึ้น 23% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่พึ่งพาเพียงค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่า “การเข้าใจรูปแบบราคา” คือกุญแจสู่ วินัยทางอารมณ์และความสำเร็จในการเทรด อย่างแท้จริง
ในปี 2025 ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประมวลผลข้อมูลแท่งราคา OHLC กว่า 50 ล้านแท่งต่อวัน เพื่อค้นหาสัญญาณเทรดที่มีความน่าจะเป็นสูง โมเดล Machine Learning สามารถตรวจจับรูปแบบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น เช่น “Triple Inside Bars” หรือ “Fractal Expansions”
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของมนุษย์ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น ในเดือนกรกฎาคม 2025 อัลกอริทึมได้ให้สัญญาณซื้อคู่เงิน USD/CHF จากรูปแบบการบีบตัวของ OHLC แต่เทรดเดอร์มนุษย์ปฏิเสธสัญญาณนั้น หลังจากมีข่าวลือเกี่ยวกับการแทรกแซงตลาดของ ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ผลลัพธ์คือ ตลาดกลับทิศทางจริง ซึ่งพิสูจน์ว่าการใช้ “ดุลยพินิจของมนุษย์” ยังคงเหนือกว่า “การทำงานอัตโนมัติ”
การผสมผสานระหว่าง ความแม่นยำของอัลกอริทึม กับ วิจารณญาณของมนุษย์ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเทรดแบบ OHLC ในปี 2026 และต่อจากนั้น
OHLC ย่อมาจาก Open, High, Low และ Close ซึ่งเป็นราคา 4 ราคาที่กำหนดช่วงเวลาการซื้อขายแต่ละช่วง ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ทุกกราฟล้วนสร้างจากค่าทั้งสี่นี้
เพราะ OHLC ช่วย “ย่อ” การซื้อขายนับพันครั้งให้กลายเป็นภาพที่ชัดเจนของการควบคุมตลาด
มันแสดงให้เห็นว่าในแต่ละช่วงเวลา “ใครคือผู้ครอบงำตลาด” ความผันผวนแผ่ขยายแค่ไหน และโมเมนตัมเปลี่ยนเมื่อใด
คำตอบคือ ได้ผลแน่นอน แม้แต่ระบบเทรดขั้นสูงที่สุดก็ยังต้องอาศัยข้อมูล OHLC ในการสร้างสัญญาณ เพราะรูปแบบนี้มีจุดแข็งคือ เรียบง่าย แม่นยำ และใช้ได้กับทุกตลาด
การอ่านกราฟ OHLC เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยแต่ละแท่งราคาเผยให้เห็นว่า “สงครามในตลาด” เริ่มต้นที่ใด เคลื่อนไปไกลแค่ไหน ตกต่ำเพียงใด และจบลงตรงไหน ผู้ที่เข้าใจจังหวะเหล่านี้จะได้เปรียบอย่างยั่งยืนในสนามเทรด
แม้ในยุคของการซื้อขายแบบอัลกอริทึม OHLC ยังคงเป็นภาษาสากลของการเคลื่อนไหวของราคา (Price Action) ไม่ว่าคุณจะวิเคราะห์ Forex หุ้น หรือทองคำ จุดทั้ง 4 นี้ Open, High, Low และ Close ยังคงเป็น “จังหวะหัวใจของโครงสร้างตลาด” ควรเรียนรู้ที่จะอ่านมัน แล้วคุณจะไม่เพียงแค่มองตลาด แต่จะ “เข้าใจ” ตลาดอย่างแท้จริง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ