เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-31
 
              
              
              ในการเทรดทุกสถานะ (Position) คือการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางของตลาด การเปิดสถานะซื้อ (Long Position) หมายถึงการคาดว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การเปิดสถานะขาย (Short Position) หมายถึงการคาดว่าราคาจะปรับตัวลง สำหรับนักเทรดมือใหม่ มักเริ่มต้นจากการเปิดสถานะซื้อ เพราะแนวคิดนี้เข้าใจง่าย เหมือนกับการ “ซื้อสินทรัพย์ตอนนี้ แล้วขายเมื่อราคาสูงขึ้นเพื่อทำกำไร”
การเข้าใจความหมายของสถานะซื้อ (Long Position) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการเทรดในแทบทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็น Forex หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) เพราะการรู้ว่า “ควรเปิดสถานะซื้อเมื่อใด” และ “อย่างไร” จะช่วยให้นักเทรดตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ทั้งในด้าน จังหวะเวลา การบริหารความเสี่ยง และโอกาสในการทำกำไร

สถานะซื้อ (Long Position) หมายถึงการที่นักเทรด “ซื้อสินทรัพย์” ด้วยความคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น เป้าหมายมีเพียงอย่างเดียวคือ “ซื้อในราคาต่ำ แล้วขายในราคาสูง” แนวคิดนี้สามารถใช้ได้กับสินทรัพย์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น สกุลเงิน หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ตัวอย่างเช่น หากนักเทรดเชื่อว่ายูโรจะเเข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เขาอาจซื้อคู่เงิน EUR/USD ที่ราคา 1.0800 และเมื่อราคาขึ้นไปที่ 1.0900 ก็สามารถปิดสถานะเพื่อรับกำไรจากส่วนต่างราคาได้ หรือในกรณีของหุ้น หากนักลงทุนซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งจำนวน 100 หุ้นในราคา £10 ต่อหุ้น และขายในราคา £12 ต่อหุ้น เขาจะได้กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายรวม £200
โดยทั่วไป สถานะซื้อสะท้อนถึงมุมมองแบบกระทิง (Bullish) ซึ่งนักเทรดจะเปิดเมื่อคาดว่าราคาจะมีแนวโน้มปรับขึ้น จากปัจจัยเชิงบวก เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจดี กำไรบริษัทแข็งแกร่ง หรือสภาวะตลาดเอื้อต่อการเติบโต
เมื่อคุณเปิดสถานะซื้อ หมายถึงคุณ “ซื้อสินทรัพย์” เพื่อถือไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยมีเป้าหมายว่าจะขายในอนาคตเมื่อราคาสูงขึ้น กำไรหรือขาดทุนจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคาหลังจากจุดที่คุณเข้าซื้อ
ตัวอย่างในตลาดหุ้น:
คุณซื้อหุ้น Apple จำนวน 50 หุ้น ที่ราคา $180 ต่อหุ้น รวมเป็นเงินลงทุน $9,000 หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ราคาหุ้นปรับขึ้นเป็น $200 เมื่อขายออก คุณจะได้รับเงิน $10,000 เท่ากับได้กำไร $1,000
ตัวอย่างในตลาด Forex:
คุณเปิดสถานะซื้อคู่เงิน GBP/USD ที่ราคา 1.2600 หากราคาขึ้นไปถึง 1.2700 คุณจะได้กำไร 100 pips หรือประมาณ $1,000 สำหรับการเทรดหนึ่งล็อตมาตรฐาน
สูตรคำนวณกำไรหรือขาดทุนของสถานะซื้อคือ:
กำไร/ขาดทุน = (ราคาขาย - ราคาซื้อ) × ปริมาณ
สูตรนี้ใช้ได้กับทุกตลาด แต่ยิ่งถือสถานะนาน ปัจจัยภายนอกอย่างอัตราดอกเบี้ย ผลประกอบการบริษัท หรือข่าวเศรษฐกิจโลก ก็ยิ่งส่งผลต่อผลลัพธ์มากขึ้น
สถานะซื้อใน Forex หมายถึงการ “ซื้อสกุลเงินฐาน” และ “ขายสกุลเงินอ้างอิง” เช่น การเปิดสถานะซื้อใน USD/JPY คือคาดว่าดอลลาร์จะเเข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยน นักเทรดมักใช้เลเวอเรจ (Leverage) เพื่อขยายขนาดการลงทุน แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน
การเปิดสถานะซื้อในหุ้นหมายถึงการ “ถือหุ้น” โดยคาดว่าราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนบางรายถือหุ้นระยะยาวหลายเดือนหรือหลายปี เพื่อรับทั้งส่วนต่างราคา และเงินปันผล (Dividend)
นักเทรดจะเปิดสถานะซื้อในทองคำ น้ำมัน หรือสินค้าเกษตร เมื่อคาดว่าอุปทานจะลดลงหรือความต้องการจะเพิ่มขึ้น เช่น ผู้ที่เปิดสถานะซื้อน้ำมันในช่วงต้นปี 2025 ได้รับผลกำไรเมื่อความต้องการพลังงานโลกพุ่งสูงขึ้น และกลุ่ม OPEC+ จำกัดการผลิต
การเปิดสถานะซื้อใน CFD ช่วยให้นักเทรดสามารถเก็งกำไรจากการปรับขึ้นของราคาได้โดยไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง กำไรเกิดจากส่วนต่างของราคาเพียงอย่างเดียว และสามารถใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มมูลค่าการลงทุนได้
สถานะซื้อ (Long Position) คือสิ่งที่ตรงข้ามกับสถานะขาย (Short Position) เมื่อคุณเปิดสถานะขาย หมายถึงการ “ขายสินทรัพย์ก่อน” โดยคาดว่าราคาจะลดลง เพื่อที่จะ “ซื้อกลับในภายหลัง” ในราคาที่ต่ำกว่า ในทางตรงกันข้ามสถานะซื้อ จะทำกำไรได้เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น
ตัวอย่างเช่น:
หากคุณเปิดสถานะซื้อทองคำที่ $1,900 และขายที่ $1,950 คุณจะได้กำไร
แต่ถ้าคุณเปิดสถานะขายทองคำที่ $1,900 แล้วซื้อคืนที่ $1,850 คุณก็ได้กำไรเช่นกัน — แต่จากการที่ราคาลดลง
กลยุทธ์ทั้งสองสามารถใช้ได้ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด ในช่วงตลาดกระทิง สถานะซื้อมักได้รับความนิยมมากกว่า แต่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหรือตลาดปรับฐาน นักเทรดบางคนอาจเลือกใช้สถานะขาย เพื่อทำกำไรจากการปรับตัวลงของราคา
เมื่อนักเทรดเชื่อว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง นโยบายภาครัฐที่สนับสนุน หรือแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคที่เป็นบวก พวกเขามักเปิดสถานะซื้อเพื่อเก็บกำไรจากการปรับขึ้นของราคา
นักลงทุนจำนวนมากถือสถานะซื้อนานหลายปี เช่น ผู้ที่เปิดสถานะซื้อดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 2010 และถือไว้จนถึงปี 2020 ได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 13%
ธุรกิจหรือนักเทรดสามารถใช้สถานะซื้อเพื่อลดความเสี่ยงในส่วนอื่นได้ ตัวอย่างเช่น สายการบินอาจเปิดสถานะซื้อในสัญญาน้ำมันล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน
ในตลาดหุ้นหรือกองทุน ETF สินค้าโภคภัณฑ์ สถานะซื้ออาจให้ผลตอบแทนเพิ่มเติมจากเงินปันผลหรือดอกผล นอกเหนือจากกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น
ปลายปี 2024 ผู้ที่เปิดสถานะซื้อบิตคอยน์ที่บริเวณ $38,000 ทำกำไรอย่างมาก เมื่อราคาพุ่งทะลุ $60,000 ในปี 2025 หลังจากการอนุมัติ ETF และกระแสความสนใจจากสถาบันเพิ่มขึ้น
นักลงทุนที่เปิดสถานะซื้อทองคำในช่วงการระบาดของโควิด-19 เห็นราคาพุ่งจาก $1,500 ไปเกือบ $2,000 เนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น
นักเทรดหุ้นที่เปิดสถานะซื้อในหุ้น Nvidia ได้รับผลตอบแทนอย่างมากจากกระแส AI เมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าระหว่างกลางปี 2023 ถึงต้นปี 2025
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า หากนักลงทุนคาดการณ์แนวโน้มตลาดได้อย่างถูกต้อง สถานะซื้อสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมได้
อย่างไรก็ตาม การเปิดสถานะซื้อไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง ราคาสามารถปรับลดลงแทนที่จะขึ้น ทำให้เกิดการขาดทุนได้ ยิ่งถือสถานะนาน ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดก็ยิ่งสูง
ความเสี่ยงที่พบบ่อย ได้แก่:
การใช้เลเวอเรจมากเกินไป โดยเฉพาะในการเทรด CFD หรือ Forex
ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือการเปลี่ยนนโยบายอย่างกะทันหันของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง
การสูญเสียกำไรจากค่าธรรมเนียมการถือครอง (Swap fees) หรือค่าใช้จ่ายระยะยาวอื่น ๆ
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่เปิดสถานะซื้อในสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Currencies) ในปี 2023 ต้องเผชิญกับการขาดทุนอย่างหนัก เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง:
ใช้คำสั่ง Stop-Loss เพื่อจำกัดการขาดทุนในแต่ละดีล
หลีกเลี่ยงการเสี่ยงเกินกว่าจำนวนเงินทุนเพียงเล็กน้อยในแต่ละการเทรด
กระจายการลงทุน (Diversification) ไปยังสินทรัพย์หลายประเภท เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงในตลาดเดียว

การจัดการสถานะซื้อให้มีประสิทธิภาพต้องอาศัยทั้งวินัยและแผนการที่ชัดเจน
กำหนดจุดเข้าและออกตามการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือพื้นฐาน
ใช้คำสั่ง Take-Profit เพื่อปิดทำกำไรเมื่อราคาถึงเป้าหมาย
ติดตามตัวชี้วัดสำคัญ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), RSI, และข้อมูลเศรษฐกิจ
ปรับตำแหน่ง Stop-Loss เมื่อราคาขยับไปในทิศทางที่เป็นบวก เพื่อรักษากำไรที่ได้มา
ตัวอย่าง: นักเทรดที่เปิดสถานะซื้อคู่เงิน EUR/USD ที่ราคา 1.0850 และตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1.0950 อาจขยับ Stop-Loss มาที่ 1.0900 เมื่อราคาขึ้นถึง 1.0940 เพื่อ “ล็อกกำไรบางส่วน” ไว้ ในขณะที่ยังเปิดโอกาสให้ราคาขยับสูงขึ้นต่อ
หมายถึงการ “ซื้อสินทรัพย์” ด้วยความคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น เพื่อขายในภายหลังและทำกำไรจากส่วนต่างราคา
ได้ เลเวอเรจช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมสถานะที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนจริง แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยง ในการขาดทุนเช่นกัน
ไม่มีระยะเวลาตายตัว นักเทรดอาจถือเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน ส่วนนักลงทุนระยะยาว อาจถือสถานะซื้อนานหลายเดือนหรือหลายปี ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และเป้าหมายการลงทุน
การเปิดสถานะซื้อ (Long Position) เป็นแนวคิดพื้นฐานและเก่าแก่ที่สุดแนวหนึ่งของโลกการเทรด มันสะท้อนถึงความมั่นใจ ความอดทน และความเชื่อในการเติบโต ไม่ว่าคุณจะซื้อสกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือหุ้นบริษัท การเข้าใจกลไกของสถานะซื้อจะช่วยให้คุณเคลื่อนไหวไปพร้อมกับทิศทางของตลาด เมื่อผสานระหว่างกลยุทธ์ที่ดี การควบคุมความเสี่ยง และจังหวะเวลา นักเทรดสามารถใช้สถานะซื้อเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสและเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาว
สถานะซื้อ (Long Position): การซื้อสินทรัพย์โดยคาดว่าราคาจะปรับขึ้น
สถานะขาย (Short Position): การขายสินทรัพย์โดยคาดว่าราคาจะปรับลง
เลเวอเรจ (Leverage): เงินทุนที่ยืมมาเพื่อเพิ่มขนาดการลงทุน ซึ่งอาจขยายทั้งกำไรและขาดทุน
คำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-Loss): คำสั่งอัตโนมัติให้ปิดสถานะเมื่อขาดทุนถึงระดับที่กำหนดไว้
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ