เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-13
ทุกการตัดสินใจของนักเทรดตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานเพียงข้อเดียว นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด นี่คือสมการที่มองไม่เห็นแต่ซ่อนอยู่เบื้องหลังทุกกราฟ ทุกสถานะ และทุกผลกำไรที่เกิดขึ้น ยิ่งคุณยอมรับความเสี่ยงมากเท่าหร่ ศักยภาพในการทำกำไรก็ยิ่งสูงขึ้น แต่โอกาสขาดทุนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ความสมดุลนี้ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในปี 2025 เมื่อโลกการเทรดเต็มไปด้วยสภาพคล่องที่ตึงตัว อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และกระแสข้อมูลที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว ตั้งแต่ Forex หุ้น ไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ ความผันผวนสามารถขยายหรือหดตัวได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดรับมือกับความไม่แน่นอน ปกป้องเงินทุน และคว้าโอกาสเมื่อความน่าจะเป็นอยู่ในฝั่งของตน
“ความเสี่ยง” คือการวัดระดับความไม่แน่นอนของการลงทุนหรือการเทรด ซึ่งอาจเกิดจากความผันผวนของราคา การใช้เลเวอเรจ ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค หรือแม้แต่การตัดสินใจผิดพลาดทางจิตวิทยา ส่วน “ผลตอบแทน” คือค่าตอบแทนที่ได้รับจากการยอมรับความเสี่ยงนั้น
พูดให้เข้าใจง่าย ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด หมายถึง หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น คุณต้องยอมรับความไม่แน่นอนที่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลอาจให้ผลตอบแทน 4% ในปี 2025 พร้อมความเสี่ยงต่ำมาก ขณะที่การเทรดสกุลเงินแบบใช้เลเวอเรจสามารถให้กำไรหรือขาดทุนได้ถึง 20% ภายในไม่กี่วัน
นักเทรดมืออาชีพเข้าใจดีว่า การประเมินผลตอบแทนต้องทำควบคู่กับความเสี่ยงอยู่เสมอ ตัวชี้วัดที่แท้จริงของประสิทธิภาพไม่ใช่ว่าคุณทำกำไรได้มากแค่ไหน แต่คือความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องโดยไม่ทำลายเงินทุนหลักของคุณ
ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรดสามารถอธิบายได้ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ โดยผลตอบแทนคาดหวัง (Expected Return) ของกลยุทธ์ใด ๆ จะขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็นของกำไรและขาดทุนตามขนาดของแต่ละด้าน:
ผลตอบแทนที่คาดหวัง = (อัตราการชนะ × อัตราการชนะเฉลี่ย) – (อัตราการแพ้ × อัตราการแพ้เฉลี่ย)
หากผลลัพธ์เป็นบวกและสามารถรักษาได้อย่างยั่งยืน แสดงว่ากลยุทธ์นั้นมี “ขอบความได้เปรียบ” (Edge)
เพื่อประเมินความได้เปรียบนั้น นักเทรดมักใช้ตัวชี้วัดสำคัญ เช่น:
Sharpe Ratio: วัดผลตอบแทนต่อหน่วยความผันผวน ค่าเกิน 1 แสดงถึงประสิทธิภาพที่ดี
Sortino Ratio: คล้าย Sharpe แต่ให้ความสำคัญกับความผันผวนด้านขาลงมากกว่า
Maximum Drawdown: การขาดทุนสูงสุดจากจุดสูงสุดถึงจุดต่ำสุด แสดงถึงระดับความเสี่ยงของเงินทุน
Reward-to-Risk Ratio: อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ควรอยู่เหนือ 2:1
ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้นักเทรดเข้าใจเชิงปริมาณของความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน และสามารถเปรียบเทียบกลยุทธ์หรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุผล
ตลาดการเงินทั่วโลกในปี 2025 สะท้อนหลักการนี้ได้อย่างชัดเจน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตประมาณ 3.3% ทั้งปีนี้และปีหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวในระดับปานกลาง เงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วลดลงจากระดับสูงสุด แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง ทำให้นโยบายการเงินยังคงเข้มงวด
หุ้น: ดัชนี Nasdaq 100 เพิ่มขึ้นราว 14% ตั้งแต่ต้นปี โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการด้าน AI แต่ยังมีการปรับฐานกว่า 5% หลายครั้ง
Forex: คู่ USD/JPY เคลื่อนไหวผันผวนกว่า 600 จุดภายในวัน หลังการปรับนโยบายพันธบัตรของญี่ปุ่น
สินค้าโภคภัณฑ์: ราคาทองคำซื้อขายใกล้ 2,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้การป้องกันเงินเฟ้อพร้อมความผันผวนที่ต่ำลง
พลังงาน: ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 60–65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดความเสี่ยงให้กับสกุลเงินที่ผูกกับพลังงาน เช่น CAD และ NOK
แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรดอย่างชัดเจน สินทรัพย์ที่มั่นคงให้ผลตอบแทนต่ำแต่เสถียร ในขณะที่สินทรัพย์เก็งกำไรให้กำไรและความเจ็บปวดในระดับเดียวกัน
หัวใจของความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด คือ “การแลกเปลี่ยน” (Trade-off) นักลงทุนทุกคนต้องเลือกระหว่างความปลอดภัยพร้อมผลตอบแทนจำกัด หรือความไม่แน่นอนที่อาจให้กำไรสูงกว่า
แนวคิด Efficient Frontier จากทฤษฎีพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่ แสดงให้เห็นพอร์ตที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดสำหรับแต่ละระดับความเสี่ยง นักเทรดพยายามอยู่บนหรือเหนือเส้นนี้ ด้วยการปรับขนาดสถานะ การกระจายความเสี่ยง และการควบคุมเลเวอเรจ
ตัวอย่างเช่น นักเทรดที่เสี่ยงเพียง 1% ของเงินทุนต่อการเทรด และตั้งเป้าผลตอบแทนเฉลี่ย 2% สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงแม้มีอัตราชนะเพียง 40% ในทางกลับกัน ผู้ที่เสี่ยงเกิน 5% ต่อการเทรดมักเผชิญความล้มเหลวอย่างรวดเร็ว พิสูจน์ว่าการอยู่รอดต้องมาก่อนความสำเร็จเสมอ
จิตวิทยาของมนุษย์มักบิดเบือนวิธีที่เรารับรู้ “ความเสี่ยงและผลตอบแทน” การศึกษาทางการเงินเชิงพฤติกรรม (Behavioural Finance) แสดงให้เห็นว่า นักเทรดมักรู้สึก “เจ็บปวดจากการขาดทุน” มากกว่าความพึงพอใจจากกำไรในระดับเท่ากัน ความกลัวการขาดทุนนี้ทำให้หลายคนรีบปิดออเดอร์ที่กำลังมีกำไร และลังเลที่จะตัดขาดทุนเมื่อราคาผิดทาง
ในกระแสหุ้น AI ปี 2025 นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเข้าซื้อใกล้จุดสูงสุด ด้วยความคาดหวังว่าราคาจะขึ้นต่อไม่สิ้นสุด แต่เมื่อมูลค่าหุ้นปรับฐานลงกว่า 30% อารมณ์กลับเข้ามาแทนที่การวางแผน เหตุการณ์นี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด โอกาสตอบแทนเฉพาะผู้ที่เตรียมพร้อม ไม่ใช่ผู้ที่ทำตามอารมณ์
ในทางกลับกัน นักเทรดที่มีวินัย ค่อย ๆ ปรับลดสถานะทำกำไร และตั้งจุดตัดขาดทุนอย่างเหมาะสม ยังคงสามารถรักษาผลการเทรดที่สม่ำเสมอได้ แม้ท่ามกลางกระแสความโลภและความกลัวของตลาด
ความเสี่ยงมีอยู่ทุกที่ หากเรารู้วิธีวัดอย่างถูกต้อง นักเทรดมักใช้การวิเคราะห์ดังนี้:
ความผันผวน: ใช้เครื่องมืออย่าง Average True Range (ATR) เพื่อปรับขนาดสถานะให้เหมาะสม
มูลค่าที่เสี่ยง (VaR): ประเมินความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระดับความเชื่อมั่นที่กำหนด
ความสัมพันธ์: ตรวจสอบว่าสินทรัพย์หรือออเดอร์ต่าง ๆ มีปัจจัยขับเคลื่อนเดียวกันหรือไม่
ในปี 2025 ความผันผวนเฉลี่ย 30 วันของคู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD และ GBP/USD อยู่ที่ประมาณ 7% เทียบกับ 5% ในปี 2019 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้นทุนของ “ผลตอบแทน” สูงขึ้นเพราะ “เสียงรบกวนในตลาด” เพิ่มขึ้น
การเข้าใจและวัดตัวแปรเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรดคืออะไร การแปลง “ความไม่แน่นอน” ให้กลายเป็น “กลยุทธ์ที่วัดได้”
ต้นปี 2025 เงินเยนอ่อนค่าทะลุระดับ 155 ก่อนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเข้าแทรกแซง ส่งผลให้ราคากลับตัวกว่า 600 จุดภายในไม่กี่ชั่วโมง นักเทรดที่ใช้เลเวอเรจ 50 เท่าโดยไม่ตั้ง Stop Loss สูญเสียพอร์ตทั้งหมด ในขณะที่ผู้ที่จำกัดความเสี่ยงเพียง 1% ของเงินทุน ยังคงอยู่รอดและสามารถเทรดรอบรีบาวด์ได้
ราคาทองคำที่ค่อย ๆ ขยับขึ้นแตะระดับ 2,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำก็สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับความเสี่ยงได้เช่นกัน การเพิ่มขึ้น 13% ต่อปี พร้อมความผันผวนเพียงครึ่งหนึ่งของหุ้น แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ “ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง”
หุ้น Nvidia ที่พุ่งขึ้นกว่า 45% ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ดัชนี SOX พุ่งแรง แต่ก็มีการปรับฐานลง 10% หลายครั้ง นักเทรดที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมสามารถรักษาความสม่ำเสมอได้ดีกว่าผู้ที่เทรดแบบกระจุกตัวเกินไป
กรณีเหล่านี้ยืนยันว่า เส้นทางสู่กำไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “โอกาส” เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “การควบคุมความเสี่ยง” ด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด ยังขึ้นอยู่กับ “กรอบเวลา” (Timeframe) ที่ใช้:
Scalpers: เทรดภายในไม่กี่วินาที หวังผลตอบแทนเล็ก ๆ แต่ต้องรับมือกับสัญญาณรบกวนจำนวนมาก
Swing Traders: จับแนวโน้มหลายวัน เน้นสมดุลระหว่างความผันผวนและความชัดเจนของสัญญาณ
Position Traders: ลงทุนระยะยาวตามปัจจัยพื้นฐาน แต่ต้องยอมรับการขาดทุนชั่วคราวที่ลึกกว่า
ในปี 2025 ที่การแข่งขันจากระบบอัลกอริทึมรุนแรงขึ้น มนุษย์มักหาความได้เปรียบได้ดีที่สุดในโครงสร้างการเทรดระยะกลาง (Swing Trading) ซึ่งความผันผวนสามารถคาดการณ์และจัดการได้ง่ายกว่า กรอบเวลาที่เลือกจึงเป็นตัวกำหนดทั้ง “วิธีสะสมผลตอบแทน” และ “วิธีสะสมความเสี่ยง” ไปพร้อมกัน
AI และระบบอัตโนมัติได้เปลี่ยนโฉมวิธีที่นักเทรดเข้าใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด” อัลกอริทึมสามารถคำนวณขนาดการเทรดที่เหมาะสม ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความผันผวน และปรับจุด Stop Loss ได้แบบอัตโนมัติ
รายงานเชิงปริมาณจากโบรกเกอร์ชั้นนำในปี 2025 ระบุว่า นักเทรดที่ใช้โมดูลบริหารความเสี่ยงด้วย AI มีค่า Drawdown ต่ำกว่าระบบแมนนวลถึง 20% เทคโนโลยีไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงหายไป แต่ช่วย “บังคับให้มีวินัย” ในระดับระบบ
ระบบอัตโนมัติจึงช่วยลดข้อผิดพลาดจากอารมณ์ และทำให้พารามิเตอร์ความเสี่ยงยังคงเสถียรแม้ในช่วงตลาดผันผวนที่สุด
การใช้เลเวอเรจเกินตัว: บัญชีขนาดเล็กที่ใช้เลเวอเรจสูงเกินไป อาจทำให้ความผันผวนเล็กน้อยกลายเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่
มองข้ามความสัมพันธ์ของสินทรัพย์ (Correlation): การถือหลายออเดอร์ที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเดียวกัน ทำให้พอร์ตสูญเสียการกระจายความเสี่ยง
เทรดในช่วงประกาศข่าวสำคัญ: การเข้าออเดอร์ก่อนผล CPI หรือ NFP ออก ทำให้เผชิญกับความเสี่ยงจาก Slippage
เพิ่มขนาดออเดอร์หลังจากชนะ: การเพิ่มความเสี่ยงเพราะกำไรที่ผ่านมา ถือเป็นการละเมิดวินัยทางสถิติ
ข้อผิดพลาดเหล่านี้ล้วนเกิดจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด” ความสม่ำเสมอใน “ขนาด”, “วิธีการ” และ “จิตใจ” สำคัญกว่าความตื่นเต้นระหว่างการเทรดเสมอ
การหยุดขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (เดือนมีนาคม): ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนที่เปิดสถานะล่วงหน้าได้รับผลตอบแทนดี แต่ผู้ถือสถานะชอร์ตที่ใช้เลเวอเรจสูงถูกบีบขาดทุน
การปรับตัวลงของน้ำมัน (เดือนสิงหาคม): ราคาน้ำมันร่วงต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แสดงให้เห็นว่าความมั่นใจเกินไปอาจนำมาซึ่งต้นทุนมหาศาล
การแทรกแซงค่าเงินเยนของ BOJ: เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่า “ความเสี่ยงมหภาค” สามารถลบล้างสัญญาณทางเทคนิคได้ในพริบตา
เหตุการณ์เหล่านี้สอนว่านักเทรดที่เข้าใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด” คือผู้ที่รู้จัก “ให้เกียรติสิ่งที่คาดไม่ถึง”
การเทรดคือ “การทดสอบความอดทนทางอารมณ์” ภายใต้ฉากหน้าของการวิเคราะห์ ผู้ที่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนจะมอง “การขาดทุน” เป็นเพียง “ต้นทุนในการดำเนินการ” ไม่ใช่ “ความล้มเหลวส่วนตัว”
ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอเกิดจาก “ความเป็นกลางทางอารมณ์” ความสามารถในการใช้กฎเดียวกันทั้งหลังจากกำไรหรือขาดทุน นักเทรดมืออาชีพจะฝึกจำลองสถานการณ์ความเสี่ยงซ้ำ ๆ จนการตอบสนองเป็นไปโดยอัตโนมัติ เพื่อรักษาความสงบเมื่อความผันผวนพุ่งสูง
การกระจายพอร์ตคือกุญแจสำคัญที่ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง “ความเสี่ยงและผลตอบแทน” ราบรื่นขึ้น การถือสินทรัพย์ที่มีปัจจัยขับเคลื่อนต่างกัน เช่น หุ้น พันธบัตร Forex และสินค้าโภคภัณฑ์ ช่วยทำให้ผลการลงทุนมีเสถียรภาพมากขึ้น
ในปี 2025 พอร์ตการลงทุนที่มีสัดส่วน หุ้น 40% พันธบัตร 40% และสินค้าโภคภัณฑ์ 20% ให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดีกว่ากลยุทธ์ที่เน้นสินทรัพย์เดียวอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด” จะดีขึ้นเมื่อการเปิดรับความเสี่ยงถูกกระจายออกไป มากกว่าการรวมไว้ในที่เดียว
กำไรที่ยั่งยืนเกิดจาก “ความสามารถในการทำซ้ำได้” กลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบเล็ก ๆ อย่างสม่ำเสมอ จะสร้างการเติบโตแบบทบต้นได้เร็วกว่าการไล่ตามโอกาสครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
กองทุนมืออาชีพในปี 2025 ที่ตั้งเป้าผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 12–15% มักรักษาระดับ Maximum Drawdown ไม่เกิน 8% ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง ต้องอาศัยการควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มงวด นักเทรดระยะยาวรู้ดีว่า “การรักษาเงินทุน” คือก้าวแรกของ “การเติบโตของเงินทุน”
การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด หมายถึงการให้ความสำคัญกับ “การอยู่รอด” มากกว่าความเร็วในการทำกำไร
เมื่อมองไปสู่ปี 2026 หลายปัจจัยจะเข้ามากำหนดรูปแบบใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน ได้แก่:
การผสานเทคโนโลยี AI: อัลกอริทึมจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการจัดการความผันผวนของตลาด
สินทรัพย์รูปแบบใหม่: เช่น เครดิตคาร์บอน (Carbon Credits) และสินทรัพย์ที่ถูกโทเค็น (Tokenised Assets) ซึ่งจะมาพร้อมกับลักษณะความเสี่ยงเฉพาะตัว
การกลับสู่ภาวะปกติทางเศรษฐกิจมหภาค: เมื่อเงินเฟ้อเริ่มทรงตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์อาจลดลง ทำให้พอร์ตการลงทุนมีพฤติกรรมแตกต่างจากเดิม
นักเทรดที่ปรับตัวได้รวดเร็วจะเป็นผู้กำหนดนิยามใหม่ของ “ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด” สำหรับยุคใหม่ของตลาดในอนาคต
คือความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่าง “ความไม่แน่นอน” และ “โอกาสในการทำกำไร” นักเทรดยอมรับความเสี่ยงเพื่อแลกกับผลตอบแทน และการควบคุมความเสี่ยงนั้นเองคือสิ่งที่กำหนดความสำเร็จในระยะยาว
โดยการรักษาขนาดออเดอร์ให้คงที่ ใช้จุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) อย่างมีวินัย และตั้งอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Reward-to-Risk Ratio) ที่เหมาะสม การควบคุมความเสี่ยงคือหนทางสู่โอกาสที่ยั่งยืน
เพราะ “กำไรที่ไม่ได้รับการปกป้อง ไม่มีความหมาย” การจัดการความเสี่ยงทำให้นักเทรดยังคงอยู่ในเกมได้ยาวนานพอที่จะใช้ประโยชน์จาก “ความได้เปรียบทางสถิติ” ที่ตนเองสร้างขึ้น
การเข้าใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด” คือรากฐานของความสำเร็จในระดับมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นตลาดไหน กรอบเวลาใด หรือสินทรัพย์แบบใด กฎข้อนี้ล้วนใช้ได้เสมอ ผลกำไรเป็นของผู้ที่ “เคารพในความน่าจะเป็น” “วัดระดับความเสี่ยง” และ “ยอมรับว่าความเสี่ยงคือราคาของการมีส่วนร่วมในตลาด”
สุดยอดนักเทรดในปี 2025 ไม่ใช่คนที่ทำกำไรสูงสุด แต่คือผู้ที่ “บริหารการขาดทุนเล็ก ๆ ได้ดีที่สุด” พวกเขารู้ดีว่า การเติบโตเกิดจากสมดุล จากการปล่อยให้ “คณิตศาสตร์” ไม่ใช่ “อารมณ์” เป็นตัวกำหนดทุกการตัดสินใจ
เมื่อใดที่นักเทรดเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า “ความเสี่ยงและผลตอบแทนในการเทรด” เชื่อมโยงกันอย่างไร เมื่อนั้นพวกเขาจะสามารถเปลี่ยน “ความผันผวน” ให้กลายเป็น “โอกาส” และเปลี่ยน “ความไม่แน่นอน” ให้กลายเป็น “กลยุทธ์” ได้อย่างแท้จริง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ