เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-07 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-14
แนวต้านมักอ่อนแรงลงเมื่อถูกทดสอบซ้ำหลายครั้ง ทุกครั้งที่ราคาขึ้นไปแตะระดับแนวต้าน แรงขายจะค่อยๆ ถูกดูดซับไปทีละน้อย จนทำให้พลังในการป้องกันเริ่มลดลง ส่งผลให้โอกาสเกิดการ “ทะลุแนวต้าน” มีมากขึ้นหลังจากการทดสอบหลายรอบ
ยิ่งราคาสัมผัสแนวต้านซ้ำโดยไม่สามารถทะลุได้มากเท่าใด เทรดเดอร์ก็ยิ่งจับตามองจุดนั้นมากขึ้นเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน แรงขายที่เคยหนุนให้แนวต้านแข็งแกร่งก็จะค่อยๆ หมดไป
แนวต้าน (Resistance Level) คือระดับราคาหรือช่วงราคาที่แรงขายเริ่มเกิดขึ้น ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาหยุดชะงักหรือกลับตัวลง
อย่างไรก็ตาม แนวต้านไม่ได้ “คงอยู่ตลอดไป” หลังจากถูกทดสอบหลายครั้ง ทุกครั้งที่ราคาขึ้นมาแตะระดับแนวต้าน ผู้ขายจะเริ่มเปิดสถานะขาย ส่งผลให้แรงขายคงเหลือลดลงเรื่อยๆ เมื่อถึงการทดสอบครั้งที่สามหรือสี่ แนวต้านมักจะถูกทะลุ เพราะแรงซื้อที่ต่อเนื่องได้ดูดซับแรงขายส่วนใหญ่ไปแล้ว ทำให้โอกาสเกิดการ “ทะลุกรอบราคา (Breakout)” มีมากกว่าการถูกปฏิเสธซ้ำอีกครั้ง
แนวต้านจึงเป็นพื้นที่ที่ในอดีต “อุปทานมากกว่าอุปสงค์” แต่เมื่อราคาขึ้นมาทดสอบซ้ำ แรงขายที่รออยู่บริเวณนั้นจะค่อยๆ หมดไป จนความสมดุลเริ่มเปลี่ยนเป็น “แรงซื้อมีอิทธิพลมากกว่า”
แนวต้านช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดกลับตัวของราคา (Reversal Point) วางเป้าหมายทำกำไร (Take Profit) และวางแผนจุดเข้าเทรดสำหรับการทะลุแนวต้าน (Breakout Entry) ได้อย่างมีระบบ
นอกจากนี้ แนวต้านยังช่วยในการจัดการความเสี่ยง เช่น การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) สำหรับสถานะขาย และจุดทำกำไร (Take Profit) สำหรับสถานะซื้อ
การเข้าใจพฤติกรรมของแนวต้านหลังถูกทดสอบหลายครั้ง ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อใดที่การทะลุแนวต้านมีแนวโน้มเกิดขึ้น และปรับขนาดการลงทุน (Position Sizing) ได้อย่างเหมาะสม
เชื่อมจุดราคาที่ถูกปฏิเสธ (Price Rejection) อย่างน้อยสองครั้งในระดับใกล้เคียงกัน เพื่อกำหนดโซนแนวต้าน
ใช้ “ช่วงราคา (Zone)” แทนเส้นเดี่ยว เนื่องจากแนวต้านมักมีความกว้างราว $0.50 – $2 ตามระดับราคาของสินทรัพย์
ให้ความสำคัญกับแนวต้านล่าสุดมากกว่าแนวต้านเก่า ระดับราคาภายในช่วง 3–6 เดือนที่ผ่านมา มักมีน้ำหนักมากกว่า
สังเกตตัวเลขกลม ๆ ที่มีความหมายทางจิตวิทยา เช่น $50, $100, $500 เพราะมักมีคำสั่งซื้อขายหนาแน่น
ลากแนวต้านเพียง 2–4 เส้นสำคัญ เพื่อให้กราฟชัดเจนและอ่านง่าย
ทุกครั้งที่ราคาขึ้นไปใกล้แนวต้าน ผู้ขายที่รออยู่จะเปิดสถานะขาย ทำให้แรงขายคงเหลือลดลง เมื่อแรงซื้อยังคงกลับมาเรื่อย ๆ และราคายังไม่ร่วงแรงหลังแต่ละครั้ง นั่นแสดงถึง อุปสงค์ที่แข็งแรงและอุปทานที่เริ่มหมดลง
เมื่อถึงการทดสอบครั้งที่สามหรือสี่ แนวต้านนั้นอาจไม่เหลือแรงขายมากพอที่จะต้านไว้ได้ ทำให้การ “ทะลุแนวต้าน” มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากกว่าการกลับตัวลงอีกครั้ง
หลังการทะลุ แนวต้านเดิมมักจะเปลี่ยนบทบาทเป็นแนวรับใหม่ (New Support) เนื่องจากเทรดเดอร์ที่พลาดจังหวะเข้าซื้อจะรอเข้าที่จุดย่อตัวกลับมาทดสอบระดับเดิมนั้นอีกครั้ง
หุ้นตัวหนึ่งเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง $45 ถึง $50 เป็นเวลาหลายสัปดาห์
ในการทดสอบครั้งที่สาม ราคาขึ้นแตะ $50 และทรงตัวอยู่สองวัน ทำให้เกิดการดูดซับแรงขายมากขึ้น เทรดเดอร์รายหนึ่งจึงตัดสินใจซื้อหุ้นมูลค่า $5,000 ที่ราคา $49.80 พร้อมตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ที่ $48.50 โดยคาดว่าราคาจะทะลุแนวต้านได้
ในการทดสอบครั้งที่สาม ราคาขึ้นแตะ $50 และทรงตัวอยู่สองวัน ทำให้เกิดการดูดซับแรงขายมากขึ้น เทรดเดอร์รายหนึ่งจึงตัดสินใจซื้อหุ้นมูลค่า $5,000 ที่ราคา $49.80 พร้อมตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ที่ $48.50 โดยคาดว่าราคาจะทะลุแนวต้านได้
ไม่นาน ราคาทะลุระดับ $50.00 พร้อมปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น (Volume พุ่งสูง) และพุ่งต่อถึง $52.50 เทรดเดอร์ทำกำไรที่ราคา $52 ได้ส่วนต่าง $2.20 ต่อหุ้น จากจำนวน 102 หุ้น หรือประมาณ $224 ก่อนหักค่าธรรมเนียม
ต่อมา เมื่อราคาย่อตัวกลับลงมาแตะระดับ $50 อีกครั้ง ระดับนี้กลับกลายเป็นแนวรับใหม่ ซึ่งยืนยันปรากฏการณ์ “สลับบทบาท” ของแนวต้าน
หลังจากแนวต้านถูกทะลุด้วยปริมาณการซื้อขายที่แข็งแกร่ง ระดับราคานั้นมักจะกลายเป็นแนวรับใหม่ในการย่อตัวครั้งต่อไป ซึ่งเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์เข้าเทรดรอบที่สองด้วยความเสี่ยงที่ชัดเจน
เทรดเดอร์ที่พลาดจังหวะการทะลุ จะตั้งคำสั่งซื้อ (Buy Limit) ที่ระดับแนวต้านเดิม ผู้ขายชอร์ต (Short Sellers) ที่ปิดสถานะเมื่อราคาทะลุ จะกลับมาเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาย่อตัว ตัวเลขราคาที่เป็นจิตวิทยา เช่น $50 มักยังคงมีอิทธิพลดึงดูดคำสั่งซื้อ แม้จะถูกทะลุไปแล้ว
รอให้ราคาทะลุแนวต้านอย่างชัดเจน ประมาณ 2–3% พร้อมยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น ตั้งการแจ้งเตือน (Alert) เมื่อราคาย่อตัวกลับมาที่แนวต้านเดิมซึ่งกลายเป็นแนวรับ เข้าซื้อ (Long) เมื่อราคาทดสอบระดับนั้นและยังยืนได้ พร้อมตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าโซนแนวนั้นเล็กน้อย กลยุทธ์นี้ช่วยจำกัดความเสี่ยงได้ดีกว่าการไล่ราคาตอนเกิด Breakout
แนวต้านแข็งแรง | แนวต้านอ่อนแอ |
---|---|
ปริมาณการซื้อขายสูงในช่วงที่ราคาถูกปฏิเสธ | ปริมาณการซื้อขายต่ำในช่วงที่ราคาถูกปฏิเสธ |
ราคากลับตัวแรงทันทีหลังแตะระดับแนวต้าน | ราคาย่อตัวช้า เคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่อง |
เกิดช่องว่างราคากว้าง (Gap) หลังถูกปฏิเสธ | การเคลื่อนไหวของราคาหลังแตะระดับมีระยะสั้น |
เว้นช่วงนานหลายสัปดาห์หรือเดือนกว่าจะถูกทดสอบอีกครั้ง | ถูกทดสอบซ้ำหลายครั้งภายในไม่กี่วัน |
เกิดหลังจากการปรับขึ้นแรง (Steep Rally) | เกิดหลังจากการปรับขึ้นช้า (Slow Grind) |
มีปัจจัยเสริม เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) หรือระดับ Fibonacci | เป็นแนวเดี่ยว ไม่มีปัจจัยเสริมสนับสนุน |
ปริมาณสูงขณะถูกปฏิเสธราคา: บ่งชี้ถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง เพิ่มโอกาสที่แนวต้านจะยังคงอยู่ในรอบถัดไป
ปริมาณลดลงในแต่ละครั้งที่ทดสอบ: แสดงว่าแรงขายเริ่มหมด และมีแนวโน้มจะเกิดการทะลุกรอบราคา
ปริมาณพุ่งสูงในช่วงทะลุแนวต้าน: ยืนยันถึงความสนใจที่แท้จริงและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการทะลุ หากปริมาณต่ำ การทะลุมักล้มเหลว
เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย 20 วัน: การทดสอบแนวต้านที่มีปริมาณต่ำกว่าค่าเฉลี่ย มักบ่งบอกถึงแนวต้านที่อ่อนแอ
ทำ Higher Lows ทุกครั้งที่เข้าใกล้แนวต้าน: การดีดตัวลงน้อยลงเรื่อย ๆ บ่งบอกว่าแรงซื้อเริ่มครอบงำตลาด
ราคาค้างอยู่ใกล้แนวต้านเป็นเวลานาน: ใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันบริเวณแนวต้านโดยไม่ถูกปฏิเสธแรง แสดงถึงการสะสมพลัง
ขนาดการปฏิเสธลดลง: ครั้งแรกอาจร่วง $5 ครั้งที่สองร่วง $2 ครั้งที่สามแทบไม่ย่อเลย — บ่งบอกแรงขายอ่อนลง
ราคาสะสมตัวในกรอบแคบใกล้แนวต้าน: เป็นสัญญาณของแรงพลังที่กำลังรอการปลดปล่อย
เกิดแท่งเทียนโมเมนตัมแรงหรือ Gap ทะลุแนวต้านพร้อมปริมาณสูง: ยืนยันการ Breakout อย่างชัดเจน
ความผิดพลาด | ผลกระทบ | แนวทางแก้ไข |
---|---|---|
คิดว่าแนวต้านจะถืออยู่เสมอ | พลาดโอกาสทำกำไรจากการทะลุแนวต้าน | สังเกตสัญญาณอ่อนแรง เช่น การทำ Higher Lows และแรงปฏิเสธที่ลดลง |
เปิดสถานะขายที่แนวต้านโดยไม่มีสัญญาณยืนยัน | ขาดทุนเมื่อเกิดการทะลุขึ้นจริง | รอแท่งเทียนปฏิเสธ (Rejection Candle) หรือปริมาณพุ่งก่อนเข้าเทรด |
มองข้ามปริมาณการซื้อขายแต่ละครั้ง | ประเมินโอกาสการทะลุผิดพลาด | เปรียบเทียบปริมาณการซื้อขายในแต่ละการทดสอบ หากลดลงแสดงว่าแรงขายหมด |
ปฏิบัติต่อแนวต้านทุกระดับเท่ากัน | สัญญาณหลอกและจังหวะเทรดผิดพลาด | แยกแยะระดับสำคัญ (Major) กับระดับย่อย (Minor) ด้วย Timeframe และประวัติราคา |
ไม่ปรับแผนหลังแนวต้านถูกทะลุ | ไล่ราคาเกินจังหวะหรือพลาดโอกาสเข้าซื้อเมื่อย่อ | วางแผนล่วงหน้าให้แนวต้านเดิมกลายเป็นแนวรับใหม่ และตั้งการแจ้งเตือนไว้ตรงจุดนั้น |
เทรดเดอร์มืออาชีพมักใช้การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multiple Timeframes) เพื่อระบุแนวต้านที่มีจุดร่วมกัน (Resistance Confluence) เช่น ระดับราคาที่สอดคล้องกันในกราฟรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ซึ่งมักจะเป็นแนวที่แข็งแกร่งและถืออยู่ได้นานกว่า
พวกเขายังใช้ข้อมูลกระแสคำสั่งซื้อขาย (Order Flow) และ โปรไฟล์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Profile) เพื่อดูว่าคำสั่งขายขนาดใหญ่สะสมอยู่ที่ระดับราคาใด จากนั้นจะสังเกตว่าคำสั่งเหล่านั้นถูกดูดซับ (Filled) หรือถูกเติมใหม่ (Refreshed) หลังจากการทดสอบแต่ละครั้งหรือไม่
ก่อนที่แนวต้านจะถูกทะลุ เทรดเดอร์มืออาชีพจะมองหาสัญญาณ “ความกว้างของตลาด (Breadth)” เช่น ปริมาณซื้อที่เพิ่มขึ้นในวันที่ราคาปรับขึ้น และปริมาณขายที่ลดลงในวันที่ราคาปรับลง ซึ่งเป็นสัญญาณของการสะสมแรงซื้อ (Accumulation)
หลังการทะลุแนวต้าน หากปริมาณการซื้อขายไม่สูงมาก พวกเขามักจะ รอจังหวะราคาย่อตัว (Pullback) กลับมาแตะระดับแนวต้านเดิมที่กลายเป็นแนวรับ แล้วจึงเข้าซื้อในจุดนั้น ซึ่งเป็นจังหวะที่ให้ ความเสี่ยงต่ำ (Low-Risk Entry) พร้อมตั้ง Stop Loss ได้ใกล้จุดเข้าเทรด
แนวรับ (Support Level): ระดับราคาที่แรงซื้อเริ่มปรากฏขึ้นและหยุดการปรับตัวลง มักเป็นภาพสะท้อนในทางตรงข้ามของแนวต้าน
การทะลุกรอบราคา (Breakout): การเคลื่อนไหวของราคาทะลุเหนือแนวต้านหรือหลุดต่ำกว่าแนวรับ ซึ่งบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแนวโน้มหรือการต่อเนื่องของเทรนด์
โปรไฟล์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Profile): เครื่องมือแสดงปริมาณการซื้อขายในแต่ละระดับราคา เพื่อช่วยระบุโซนแนวต้านและแนวรับที่แข็งแกร่ง
การสลับบทบาท (Role Reversal): รูปแบบที่แนวต้านเดิมกลายเป็นแนวรับใหม่หลังจากเกิดการทะลุ และในทางกลับกัน แนวรับเดิมอาจกลายเป็นแนวต้านใหม่
แนวต้านไม่ได้แข็งแรงตลอดไป ทุกครั้งที่ราคาทดสอบระดับแนวต้าน แรงขายจะถูกดูดซับไปทีละน้อย ทำให้แรงต้านลดลงและเพิ่มโอกาสในการเกิดการทะลุแนวต้าน (Breakout)
จับตาดูสัญญาณสำคัญ เช่น การปฏิเสธราคาที่สั้นลง (Declining Rejection Size), จุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows) และพฤติกรรมของปริมาณการซื้อขาย เพื่อคาดการณ์ว่าการทะลุอาจเกิดขึ้นแทนที่จะกลับตัวลงอีกครั้ง
เมื่อแนวต้านถูกทะลุแล้ว ระดับนั้นมักจะกลายเป็นแนวรับใหม่ ซึ่งมอบ “โอกาสเข้าซื้อรอบที่สอง” พร้อมระดับความเสี่ยงที่ชัดเจนสำหรับการเทรดอย่างมืออาชีพ
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ