เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-06 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-14
คำตอบสั้น ๆ สำหรับคำถามนี้คือ ไม่ได้ ความผันผวนโดยนัย (Implied Volatility) วัดเพียง “ขนาดของการเคลื่อนไหวของราคา” ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ไม่ได้บ่งบอก “ทิศทาง” ของราคา และสะท้อนถึงสิ่งที่นักเทรดออปชันยินดีจะจ่าย ไม่ใช่จุดที่ราคาจะเคลื่อนไปจริง ๆ
มันเป็นสัญญาณของ “ความไม่แน่นอน” และ “ช่วงความเป็นไปได้ของราคา” มากกว่าการทำนายผลลัพธ์ ดังนั้นจึงมีประโยชน์สำหรับการกำหนดราคาออปชันและการวางกลยุทธ์ แต่ไม่ใช่เครื่องมือในการคาดการณ์ทิศทางของตลาด
ความผันผวนโดยนัย (Implied Volatility: IV) คือการประเมินของตลาดว่าราคาสินทรัพย์อาจ “เคลื่อนไหวมากแค่ไหน” ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยคำนวณมาจากราคาของออปชันในปัจจุบัน และแสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปี
อย่างไรก็ตาม IV ไม่ได้ทำนายทิศทางของราคา มันเพียงแค่สะท้อน “ขนาดของความเคลื่อนไหว” ที่ตลาดคาดไว้ในทั้งสองทิศทาง จากสิ่งที่นักเทรดกำลังยินดีจะจ่ายเพื่อซื้อออปชันในตอนนี้
สรุปสั้น ๆ: ความผันผวนโดยนัยไม่ได้บอกว่าราคาจะ “ขึ้นหรือลง” แต่บอกว่า “ตลาดคาดว่าจะผันผวนมากแค่ไหน”
ความผันผวนโดยนัยมีผลโดยตรงต่อ “ค่า Premium” ของออปชัน
เมื่อ IV สูงขึ้น → ราคาของออปชันจะแพงขึ้น เพราะตลาดคาดว่าราคาจะเหวี่ยงแรง
เมื่อ IV ต่ำลง → ออปชันจะถูกลง เพราะตลาดมองว่าราคาจะนิ่งมากกว่า
เทรดเดอร์ใช้ IV เพื่อวิเคราะห์ว่าออปชัน “แพงหรือถูก” ช่วยในการจับจังหวะเข้า–ออก และประเมินอารมณ์ของตลาด เช่น ความกลัวหรือความมั่นใจของนักลงทุน
ดัชนี VIX ซึ่งติดตามความผันผวนโดยนัยของออปชัน S&P 500 จึงมักถูกเรียกว่า “เครื่องวัดความกลัวของตลาด” เพราะมักพุ่งสูงขึ้นเมื่อเกิดความไม่แน่นอนหรือวิกฤต
การคำนวณ IV ทำโดย “ย้อนกลับ” จากราคาตลาดของออปชัน โดยใช้โมเดลคณิตศาสตร์ เช่น Black-Scholes ขณะที่สมมติค่าตัวแปรอื่นคงที่
ตัวอย่างเช่น หุ้นที่ซื้อขายอยู่ที่ราคา $100 และมีความผันผวนโดยนัย 20% หมายความว่า ตลาดคาดว่าภายในหนึ่งปี ราคาจะอยู่ในช่วง $80 ถึง $120 (±20%) ด้วยความน่าจะเป็นประมาณ 68%
นั่นคือ มีโอกาส 16% ที่ราคาจะเกิน $120 และอีก 16% ที่จะต่ำกว่า $80 แต่ IV ไม่ได้บอกเลยว่าทิศทางใดมีโอกาสมากกว่า
ด้าน | ความผันผวนโดยนัย | ความผันผวนทางประวัติศาสตร์ |
---|---|---|
สิ่งที่วัด | ความเคลื่อนไหวในอนาคตจากราคาของออปชัน | ความเคลื่อนไหวในอดีตจากข้อมูลราคา |
มุมมองเวลา | มองไปข้างหน้า (คาดการณ์อนาคต) | มองย้อนกลับ (ข้อมูลในอดีต) |
แหล่งที่มา | คำนวณจากราคาตลาดของออปชัน | คำนวณจากข้อมูลราคาที่เกิดขึ้นจริง |
ทำนายทิศทางได้หรือไม่ | ไม่ได้ บอกแค่ขนาดของการเคลื่อนไหว | ไม่ได้ บอกเพียงความผันผวนในอดีต |
การใช้งานเทรด | ใช้ประเมินราคาออปชัน วัด sentiment หาช่องทางเก็งกำไร | ใช้เทียบกับ IV เพื่อดูว่าระดับปัจจุบันสูงหรือต่ำเกินไป |
สมมติหุ้นหนึ่งตัวซื้อขายที่ $50 และจะประกาศผลประกอบการในอีก 1 เดือนข้างหน้า
IV ของออปชันอายุ 1 เดือนพุ่งขึ้นเป็น 40% ซึ่งหมายความว่าตลาดคาดว่าราคาหุ้นอาจเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงในช่วงที่เทียบเท่ากับความผันผวน 40% ต่อปี
เทรดเดอร์สายคาดการณ์แรงกว่าตลาด: ซื้อ call ที่ราคาใช้สิทธิ $55 ในราคา $2.50 หวังว่า IV และราคาออปชันจะเพิ่มขึ้นหากความไม่แน่นอนสูงขึ้น
เทรดเดอร์สายขายความผันผวน: ขายออปชันเพื่อรับพรีเมียม $2.50 โดยเชื่อว่าตลาด “ประเมินเกินจริง” และ IV จะลดลงหลังประกาศผล
หากราคาหุ้นเคลื่อนไหวเพียง $5 (น้อยกว่าที่ IV คาดไว้คือ $10–$15) ความผันผวนโดยนัยจะลดลงอย่างมาก ผู้ขายออปชันจะได้กำไร แม้ว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวจริงก็ตาม
เหตุการณ์สำคัญ เช่น การประกาศผลประกอบการ การตัดสินใจด้านกฎระเบียบ หรือการประชุมของธนาคารกลาง มักทำให้ความผันผวนโดยนัย (Implied Volatility – IV) พุ่งสูงขึ้นก่อนหน้า และร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังเหตุการณ์จบ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Implied Volatility Crush”
ก่อนเกิดเหตุการณ์: ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น → IV สูงขึ้น ราคาของออปชันจึงแพงกว่าปกติ เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
หลังเหตุการณ์: เมื่อผลลัพธ์เป็นที่รู้แน่ชัด → IV ลดลงทันที แม้ว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวแรงก็ตาม ราคาของออปชันอาจร่วงจากการ “ยุบตัวของความผันผวน”
ความเสี่ยงของผู้ซื้อ: เทรดเดอร์ที่ซื้อ Call หรือ Put อาจขาดทุนจากการ “ยุบตัวของ IV” แม้ว่าทำนายทิศทางถูกต้องก็ตาม
โอกาสของผู้ขาย: กลยุทธ์ขายพรีเมียม (Short Premium) มักได้ประโยชน์จากการยุบตัวของ IV แต่ก็มีความเสี่ยงขาดทุนหนัก หากราคาขยับแรงกว่าที่ตลาดคาดไว้
แนวทางการกำหนดความเสี่ยง: ใช้กลยุทธ์ที่จำกัดการขาดทุน เช่น Spreads หรือ Iron Condors เพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะยังสามารถทำกำไรจากการลดลงของ IV ได้
การประเมิน IV ต้องดู “บริบท” ของหุ้นแต่ละตัว เช่น หุ้นขนาดใหญ่ที่มั่นคงอาจถือว่า IV 30% สูงมาก แต่สำหรับหุ้นเล็กที่ผันผวนอาจถือว่าต่ำ
นำค่า “ความผันผวนโดยนัยปัจจุบัน” ลบด้วย “ค่าความผันผวนโดยนัยที่ต่ำที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์” แล้วนำผลลัพธ์นั้นหารด้วย “ค่าความผันผวนโดยนัยที่สูงที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์” ลบด้วย “ค่าความผันผวนโดยนัยที่ต่ำที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์” จากนั้นคูณด้วย 100 เพื่อแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์
นับจำนวนวันที่ในรอบ 1 ปี (ประมาณ 252 วันทำการ) ที่ค่าความผันผวนโดยนัย “ต่ำกว่า” ค่าปัจจุบัน จากนั้นนำจำนวนนั้นหารด้วยจำนวนวันเทรดทั้งหมดในปี (252 วัน) แล้วคูณด้วย 100 เพื่อให้ได้ค่าเป็นเปอร์เซ็นต์
IVR > 50% → IV อยู่ในครึ่งบนของช่วงปีที่ผ่านมา → พิจารณา “ขายพรีเมียม” (Sell Options)
IVR < 50% → IV อยู่ในครึ่งล่าง → พิจารณา “ซื้อออปชัน” หากมั่นใจในทิศทาง
IVP > 80% → IV ปัจจุบันสูงกว่าปกติส่วนใหญ่ของปี → มีแนวโน้ม “สูงเกิน” อาจกลับสู่ค่าเฉลี่ย
IVP < 20% → IV ต่ำกว่าค่าปกติส่วนใหญ่ → ออปชันอาจ “ถูก” เมื่อเทียบกับอดีต
ความผิดพลาด | ผลกระทบ | วิธีแก้ไข |
---|---|---|
คิดว่า IV ทำนายทิศทางได้ | เดิมพันผิดทาง | จำไว้ว่า IV วัด “ขนาด” ไม่ใช่ “ทิศทาง” |
ซื้อออปชันตอน IV สูงโดยไม่ดูบริบท | จ่ายแพงและค่าเสื่อมราคาเร็ว | ใช้ค่า IV Rank หรือ Percentile เพื่อประเมินระดับ IV |
มองข้าม “Volatility Crush” หลังเหตุการณ์ | ขาดทุนแม้ทิศทางถูกต้อง | ใช้กลยุทธ์สเปรด หรือขายพรีเมียมก่อนเหตุการณ์ |
สับสนระหว่าง IV กับ Historical Volatility | การอ่านสัญญาณผิดพลาด | IV มองอนาคต ส่วน Historical มองอดีต – ต้องใช้ร่วมกัน |
คิดว่า IV คงที่ตลอดเวลา | ประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของพรีเมียม | ติดตาม IV ทุกวัน โดยเฉพาะช่วงก่อน/หลังข่าวใหญ่ |
เทรดเดอร์ระดับมืออาชีพจะติดตามค่าความผันผวนโดยนัย (Implied Volatility – IV) ในหลายราคาใช้สิทธิ (Strike) และหลายวันหมดอายุ (Expiration) เพื่อสร้าง “แผนภูมิความผันผวน” หรือ Volatility Surface ซึ่งช่วยให้มองเห็นโอกาสจากความเอียงของความผันผวน (Skew) และ โครงสร้างระยะเวลา (Term Structure)
พวกเขายังเฝ้าดูค่า Implied Volatility Rank และ Percentile เพื่อประเมินว่าความผันผวนตอนนี้อยู่ในระดับสูงหรือต่ำเมื่อเทียบกับอดีต พร้อมใช้กลยุทธ์เทรดแบบ Volatility Spreads เช่น Calendar Spreads และ Diagonal Spreads รวมถึงเปรียบเทียบ ความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง (Realised Volatility) กับ ความผันผวนโดยนัย (Implied Volatility) เพื่อหาสัญญาณความได้เปรียบในการเทรด
ก่อนการประกาศผลประกอบการ (Pre-earnings) พวกเขาจะคำนวณขนาดของสถานะอย่างระมัดระวัง เพราะรู้ว่าหลังเหตุการณ์ IV มักจะยุบตัว (Volatility Crush) จึงนิยมใช้กลยุทธ์ที่มีการจำกัดความเสี่ยง (Defined-Risk Structures) หรือขายพรีเมียม (Sell Premium) เมื่อ IV อยู่ในระดับสูงก่อนเหตุการณ์สำคัญ
นอกจากนี้ พวกเขายังเปรียบเทียบ IV กับ Historical Volatility (HV) หาก IV สูงกว่า HV อย่างต่อเนื่อง การขายพรีเมียมมักสร้างผลกำไรได้ในระยะยาว
ความผันผวนทางประวัติศาสตร์ (Historical Volatility: HV): ความผันผวนที่เกิดขึ้นจริงในอดีตของราคาสินทรัพย์ คำนวณจากส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนย้อนหลัง
Vega: ค่า Greek ที่วัด “ความไวของราคาออปชัน” ต่อการเปลี่ยนแปลงของความผันผวนโดยนัย — ยิ่ง Vega สูง ราคาของออปชันยิ่งเปลี่ยนมากเมื่อ IV เปลี่ยนไป 1%
VIX: ดัชนีความผันผวนของตลาด (CBOE Volatility Index) ที่ติดตามความผันผวนโดยนัยในออปชัน S&P 500 ระยะ 30 วัน มักถูกเรียกว่า “เครื่องวัดความกลัวของตลาด”
อันดับความผันผวนโดยนัย (Implied Volatility Rank: IVR): ตัวชี้วัดที่เปรียบเทียบค่า IV ปัจจุบันกับช่วงสูงสุด–ต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ เพื่อช่วยประเมินว่าออปชันตอนนี้ “แพงหรือถูก” เมื่อเทียบกับอดีต
ความผันผวนโดยนัยไม่ได้ทำนายทิศทางของราคาอย่างแม่นยำ แต่มันสะท้อน “ขนาดของการเคลื่อนไหวที่คาดหวัง” และ “ระดับความไม่แน่นอนของตลาด”
เทรดเดอร์มืออาชีพใช้มันเพื่อประเมินมูลค่าออปชัน วัดอารมณ์ตลาด (Sentiment) และสร้างกลยุทธ์ที่เน้นการเก็งกำไรจาก “ความผันผวน” แทนที่จะพยายามทำนายทิศทางของราคาโดยตรง
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ