เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-09 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-14
สเปรด (Spread) ใน Forex และหุ้นมีความแตกต่างกัน เพราะโครงสร้างตลาด เวลาในการซื้อขาย และวิธีการเสนอราคาไม่เหมือนกัน
ในทางปฏิบัติ สเปรดของคู่เงินหลักในตลาด Forex มักจะแคบและเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่สเปรดของหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามตลาดซื้อขาย ขนาดช่องราคา (tick size) ช่วงประมูล และปริมาณคำสั่งซื้อขาย
สเปรด (Spread) คือ “ช่องว่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) ที่ดีที่สุด กับราคาขาย (Ask) ที่ดีที่สุด” ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
ในตลาด Forex สเปรดถูกเสนอราคาแบบเรียลไทม์โดยผู้ให้สภาพคล่องในตลาดที่ไม่มีศูนย์กลาง (Decentralised Market) จึงทำให้คู่เงินหลักมีราคาที่ต่อเนื่องและแคบเกือบตลอดเวลา โดยมีความแตกต่างตามช่วงเวลาของตลาด
ในตลาดหุ้น สเปรดเกิดขึ้นในตลาดซื้อขาย (Exchange) และแพลตฟอร์มทางเลือก โดยถูกจำกัดด้วย “tick size” และช่วงเวลาประมูล ทำให้สเปรดมักจะกว้างขึ้นในช่วงเปิดตลาด และค่อย ๆ แคบลงเมื่อมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น
ดังนั้น สเปรดจึงมีพฤติกรรมที่แตกต่างระหว่างฟอเร็กซ์กับหุ้น อันเนื่องมาจากโครงสร้างตลาด กฎการเสนอราคา และช่วงเวลาซื้อขายที่ไม่เหมือนกัน
ทุกครั้งที่นักเทรดเปิดออเดอร์ สเปรดคือต้นทุนที่ต้องจ่ายโดยอัตโนมัติ ซึ่งส่งผลต่อระดับคุ้มทุน (Break-even point) ความถี่ในการเทรด และความได้เปรียบของกลยุทธ์
สเปรดที่กว้างทำให้คุณภาพการจับคู่คำสั่งลดลง เพิ่มความเสี่ยงของ “สลิปเพจ” (Slippage) และอาจทำให้กลยุทธ์ที่มีเป้าหมายกำไรเล็ก ๆ กลายเป็นไม่คุ้มค่า
การรู้ว่า “เมื่อไหร่” และ “ที่ไหน” สเปรดเปลี่ยนแปลง จะช่วยให้คุณตัดสินใจเรื่อง ประเภทคำสั่ง ขนาด และจังหวะเวลาในการเข้าออกตลาดได้ดียิ่งขึ้น
Forex:
EUR/USD มีราคาเสนอซื้อ (Bid) ที่ 1.1050 และเสนอขาย (Ask) ที่ 1.1052 → สเปรดคือ 0.0002 หรือ 2 จุด (pips) ในการเทรดมาตรฐาน $100,000 จะมีต้นทุนราว $20 ก่อนค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
หุ้น:
หุ้นราคา $50.00 มี Bid ที่ $49.99 และ Ask ที่ $50.03 → สเปรดคือ $0.04 การซื้อ 500 หุ้นจะมีต้นทุนสเปรดประมาณ $20 ในช่วงเปิดตลาด สเปรดอาจกว้างขึ้นถึง $0.10 หรือมากกว่า และจะค่อย ๆ แคบลงเหลือ $0.01–$0.02 เมื่อมีสภาพคล่องเพิ่ม
เวลาซื้อขาย: ตลาด Forex เปิดเกือบตลอด 24 ชั่วโมง โดยมี สเปรดแคบที่สุดในช่วงที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน ส่วนตลาดหุ้นจะมี สภาพคล่องสูงสุดเฉพาะช่วงเปิดและปิดตลาด
โครงสร้างตลาด: ตลาด Forex ขับเคลื่อนโดยดีลเลอร์และผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity Providers) ในขณะที่หุ้นซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์หรือแพลตฟอร์มมืด (Dark Venues) ซึ่งแต่ละแห่งมีกฎค่าธรรมเนียมและส่วนลด (Rebate Models) แตกต่างกัน
ขนาดหน่วยราคา (Tick Size): หุ้นมีหน่วยราคาแบบคงที่ ทำให้สเปรดอาจกว้างในหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายน้อย ขณะที่ Forex สามารถเสนอราคาได้ละเอียดถึงหน่วยย่อยของจุด (Fractional Pips) เพื่อให้ได้ราคาที่แม่นยำกว่า
สถานที่ซื้อขายและผู้ให้ราคา: หุ้นได้รับผลกระทบจากเส้นทางส่งคำสั่ง (Routing) และ ค่าธรรมเนียม Maker–Taker ที่อาจเปลี่ยนคุณภาพของราคา ส่วน Forex ผู้ให้ราคาจะแตกต่างกันไปตามคู่เงิน ช่วงเวลา และเสถียรภาพของราคาเสนอ
ขนาดออเดอร์และความลึกของตลาด: แม้สเปรดที่แสดงบนจอจะดูเท่ากัน แต่ระดับความลึกของตลาด (Market Depth) อาจแตกต่างมาก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงในการเทรดออเดอร์ขนาดใหญ่
สังเกตราคาซื้อสูงสุด (Best Bid), ราคาขายต่ำสุด (Best Ask) และ ราคากลาง (Mid Price) จากนั้นคำนวณสเปรดเป็น “เซนต์” หรือ “พิป”
ตรวจสอบช่วงเวลาและตลาดที่เปิดพร้อมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงช่วงที่สภาพคล่องต่ำและสเปรดกว้าง
เปรียบเทียบสเปรดที่เห็นบนจอกับ ปริมาณคำสั่งซื้อขายในระดับราคาสองชั้นบนสุด
บันทึกสเปรดที่เกิดขึ้นจริง (Realised Spread) เทียบกับราคากลางในแต่ละออเดอร์ และทบทวนผลรวมทุกสัปดาห์
ซื้อขายเมื่อสภาพคล่องดีที่สุด: สำหรับ Forex เลือกเทรดในช่วงตลาดหลัก (ลอนดอน–นิวยอร์ก) ส่วนหุ้น หลีกเลี่ยงช่วงไม่กี่นาทีแรกหลังเปิดตลาด เว้นแต่มีแผนชัดเจน
ใช้คำสั่งจำกัดราคา (Limit Order) หรือ Marketable-Limit Order เพื่อควบคุมราคาสูงสุดที่ยอมรับได้
ปรับขนาดออเดอร์ให้เหมาะกับความลึกของตลาด และแบ่งคำสั่งขนาดใหญ่เป็นหลายส่วน เพื่อลดผลกระทบต่อราคา
เลือกตลาดหรือผู้ให้บริการที่มีราคานิ่งและให้ราคาที่ดีอย่างต่อเนื่อง (Stable Quotes & Price Improvement)
หลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าวสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อสเปรดเริ่มขยายตัวก่อนการประกาศข้อมูล
เงื่อนไข | สเปรดแข็งแรง (ต้นทุนต่ำ) | สเปรดอ่อนแอ (ต้นทุนสูง) |
---|---|---|
ช่วงเวลา | ช่วงตลาดหลักเปิดพร้อมกัน, ช่วงพักตัวกลางวัน | ช่วงเปิดตลาด, ก่อนข่าวสำคัญ, ช่วงปลายวันที่สภาพคล่องต่ำ |
ความลึกของตลาด | มีคำสั่งหนาแน่นใน 2 ระดับราคาบนสุด | หนังสือคำสั่งบาง คำสั่งซื้อขายออกมาไม่สม่ำเสมอ |
ความผันผวน | การเคลื่อนไหวเรียบ สม่ำเสมอ | การเคลื่อนไหวรุนแรง เกิดช่องว่างราคา หรือหยุดซื้อขายชั่วคราว |
โครงสร้างตลาด | คู่คู่เงินหลักใน Forex หุ้นขนาดใหญ่ที่มีปริมาณสูง | คู่เงินแปลกใหม่ หุ้นขนาดเล็ก หรือหุ้นเพิ่งเข้าตลาดใหม่ |
ความผิดพลาด | ผลกระทบ | วิธีแก้ไข |
---|---|---|
มองว่าสเปรดคงที่ตลอดเวลา | ต้นทุนเพิ่มโดยไม่รู้ตัว | ตรวจสอบสเปรดใหม่ทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะก่อนและหลังข่าว |
ใช้ Market Order โดยไม่คิด | จ่ายราคาแพงเกินไป | ใช้ Marketable Limit Order พร้อมตั้งราคาสูงสุดที่ยอมรับได้ |
ไม่สนใจความลึกของตลาด | เจอ Slippage โดยไม่รู้ตัว | ปรับขนาดออเดอร์ให้เหมาะกับความลึกของหนังสือคำสั่งและปริมาณล่าสุด |
เข้าใจผิดว่ามีสเปรดแคบแปลว่าต้นทุนถูก | เสี่ยงในตลาดที่ลึกน้อย | ทดสอบการจับคู่คำสั่งจริงและเปรียบเทียบสเปรดที่เกิดขึ้นจริงกับราคากลาง |
เปรียบเทียบสเปรด Forex กับหุ้นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง | คาดหวังผิดพลาด | ปรับความเข้าใจให้เหมาะกับ tick size ระบบประมูล และรูปแบบการส่งคำสั่งของแต่ละตลาด |
นักเทรดมืออาชีพจะกำหนดงบสเปรดไว้ชัดเจน วัดราคาจับคู่ (fill) เทียบกับราคากลาง (mid price) และตั้งอัตราการเข้าร่วมตลาด (Participation Rate) เพื่อจำกัดผลกระทบต่อราคา
ในหุ้น พวกเขาใช้กลยุทธ์อย่าง ประมูลเปิด–ปิด (Opening/Closing Auctions), Midpoint Peg Orders, และ Smart Routing เพื่อหาการปรับปรุงราคาที่ดีที่สุด
ในตลาด Forex พวกเขาเปรียบเทียบผู้ให้ราคาหลายราย (Providers) ตามคู่เงินและช่วงเวลา เน้นราคาที่นิ่งและต่อเนื่อง (Stable Quote Streams) และ ลดขนาดออเดอร์หรือรอจังหวะ เมื่อสเปรดกว้างขึ้น
นักเทรดยังจะตรวจสอบสเปรดจริง (Realised Spread) และ Slippage แยกตามช่วงเวลาและแพลตฟอร์ม แล้วเลิกใช้กลยุทธ์ที่มีต้นทุนสูงกว่าผลตอบแทนที่บันทึกไว้
Bid: ราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยินดีจะจ่ายในขณะนั้น
Ask: ราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีจะขายในขณะนั้น
สภาพคล่อง (Liquidity): ความสามารถในการซื้อขายในปริมาณมากใกล้กับราคาปัจจุบันโดยไม่กระทบราคา
Slippage: ความแตกต่างระหว่างราคาที่คาดว่าจะได้กับราคาจริงที่ถูกจับคู่ซื้อขาย
สเปรดใน Forex และหุ้นมีพฤติกรรมแตกต่างกัน เนื่องจากโครงสร้างตลาด ชั่วโมงการซื้อขาย ขนาดหน่วยราคา (Tick Size) และ รูปแบบของตลาดซื้อขาย (Venue Design)
เพื่อควบคุมต้นทุนที่แฝงอยู่ ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของสเปรดตามช่วงเวลาและความลึกของตลาด ใช้คำสั่งที่ควบคุมราคาได้ (Price-Controlled Orders) และ บันทึกต้นทุนจริงที่เกิดขึ้น (Realised Costs) เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายแฝงที่อาจถูกมองข้าม
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ