เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-07 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-09
การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ใน Forex หมายถึง การเปิดสถานะการเทรดหนึ่งหรือมากกว่าที่มีผลในการชดเชยความเสี่ยงจากการขาดทุนของอีกสถานะหนึ่ง ซึ่งช่วยให้นักเทรดลดการเผชิญหน้ากับความผันผวนของตลาดได้ กล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ คือ เป็นวิธีการปกป้องเงินทุนของคุณเมื่อราคาสกุลเงินเคลื่อนไหวอย่างไม่คาดคิด
ในตลาด Forex ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วในปัจจุบัน แม้แต่นักเทรดที่มีประสบการณ์ก็ยังต้องเผชิญกับความผันผวนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจ การใช้กลยุทธ์ Hedging จึงเป็นแนวทางที่มีวินัยในการจัดการความเสี่ยง ช่วยให้นักเทรดรับมือกับความไม่แน่นอนโดยไม่จำเป็นต้องไล่ตามผลกำไรเพียงอย่างเดียว
บทความนี้จะอธิบายความหมายของการป้องกันความเสี่ยงใน Forex อย่างละเอียด อธิบายกลไกการทำงาน แนะนำกลยุทธ์หลักที่นักเทรดมืออาชีพนิยมใช้ รวมถึงชี้ให้เห็นทั้งข้อดีและข้อจำกัดของการใช้การป้องกันความเสี่ยงเป็นเครื่องมือควบคุมความเสี่ยงในการเทรดยุคใหม่
การป้องกันความเสี่ยงคือเทคนิคการจัดการความเสี่ยง
หากคุณมีสถานะการเทรดอยู่แล้ว หรือคาดว่าจะมีรายรับ/รายจ่ายในสกุลเงินต่างประเทศ การป้องกันความเสี่ยงคือการเปิดสถานะหรือทำสัญญาเพิ่มเติม เพื่อช่วยลดผลกระทบทางการเงินจากการเคลื่อนไหวของค่าเงินที่ไม่เอื้ออำนวย
การป้องกันความเสี่ยงนั้นไม่เหมือนกับการเก็งกำไร
จุดประสงค์หลักคือการปกป้องเงินทุน ไม่ใช่การสร้างกำไร แม้บางครั้งการป้องกันความเสี่ยงอาจก่อให้เกิดผลกำไรเป็นผลพลอยได้ก็ตาม
การป้องกันความเสี่ยงถูกนำมาใช้ทั้งในระดับบุคคล (เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการเทรดหรือพอร์ตการลงทุน) และในระดับองค์กร (เพื่อทำให้กระแสเงินสดจากการค้าระหว่างประเทศหรือการลงทุนมีเสถียรภาพ)
เช่น การถือสถานะ Long ในคู่เงิน EUR/USD, การคาดว่าจะต้องจ่ายเงินในสกุล USD ในเดือนหน้า หรือบริษัทที่จะมีรายได้จากต่างประเทศ
หากคุณถือสถานะ Long มักจะเปิดสถานะ Short (หรือซื้อ Put Option) เพื่อชดเชยความเสี่ยง ส่วนหากคุณคาดว่าจะได้รับเงินในสกุลเงินต่างประเทศ อาจเลือกขายสกุลเงินนั้นล่วงหน้า
ตัดสินใจว่าต้องการป้องกันความเสี่ยงนานแค่ไหน และจะป้องกันเต็มจำนวนหรือบางส่วน
เฝ้าดูสภาวะตลาด ความสัมพันธ์ของคู่เงิน และต้นทุน แล้วปิดหรือปรับการป้องกันความเสี่ยงเมื่อความเสี่ยงหมดไป หรือเมื่อการป้องกันไม่คุ้มค่าอีกต่อไป
วิธี | สิ่งที่ทำ | ผู้ใช้/กรณีที่เหมาะสม |
Spot + ตำแหน่งตรงข้าม (คู่เดียวกัน) | เปิดสถานะตรงข้ามในคู่เงินเดียวกัน เช่น Long EUR/USD + Short EUR/USD เพื่อลดความเสี่ยงทันที | เทรดเดอร์ระยะสั้นที่ต้องการชดเชยทันที |
Cross-pair (Correlation) Hedge | ใช้คู่เงินอื่นที่มีความสัมพันธ์กันเพื่อชดเชย เช่น Hedge EUR/USD ด้วย GBP/USD | เทรดเดอร์ที่ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงิน อาจช่วยลดต้นทุนเมื่อเทียบกับการ Hedge โดยตรง |
สัญญาซื้อขายล่วงหน้า/ฟิวเจอร์ส (Forward / Futures) | ล็อคอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าสำหรับวันที่กำหนด (Forward = OTC, Futures = ตลาดซื้อขายล่วงหน้า) | บริษัทที่มีรายรับ/รายจ่ายล่วงหน้าแน่นอน หรือนักลงทุนที่ต้องการความชัดเจนด้านอัตราแลกเปลี่ยน |
ออปชัน (Options – Put/Call) | ซื้อสิทธิ์ (แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัด) ในการแลกเปลี่ยนที่อัตราที่กำหนด ช่วยป้องกันขาลง แต่ยังคงรักษาโอกาสขาขึ้น | บริษัทหรือนักเทรดที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงแบบไม่สมมาตร โดยยอมจ่ายค่า Premium |
Swap (Currency / Cross-currency Swap) | แลกเปลี่ยนกระแสเงินสดระหว่างสองสกุลเงินในช่วงเวลาหนึ่ง มักใช้เพื่อจัดการการกู้ยืมระยะยาวหรือความเสี่ยงด้านดอกเบี้ย | บริษัทและสถาบันที่ต้องการจัดการภาระผูกพันระยะยาว |
หมายเหตุ:
แต่ละแนวทางมีทั้งข้อดีและข้อเสีย — Forward ให้ความชัดเจน แต่ไม่เปิดโอกาสทำกำไรหากตลาดเคลื่อนไหวในทางที่ได้เปรียบ Options ต้องจ่าย Premium แต่ยังคงรักษาโอกาสขาขึ้น ส่วน Cross-pair Hedge ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของคู่เงิน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้
ข้อดี | ข้อเสีย |
ลดความเสี่ยงจากการขาดทุนและทำให้กระแสเงินสดราบรื่นขึ้น | จำกัดโอกาสในการทำกำไรเมื่อทิศทางตลาดเป็นบวก |
ลดการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์ในช่วงตลาดผันผวน | มีต้นทุนการทำธุรกรรมโดยตรง (สเปรด ค่าคอมมิชชั่น) และค่า Premium ของออปชัน |
ช่วยวางแผนงบประมาณและการคาดการณ์ทางการเงินของบริษัท | มีค่าใช้จ่าย Overnight / Rollover (Carry Cost) และค่าเสียโอกาสของเงินทุน |
สามารถปรับให้เหมาะสมกับระยะเวลาและระดับความเสี่ยง | กระบวนการป้องกันความเสี่ยงอาจซับซ้อนและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด |
การป้องกันความเสี่ยงควรใช้กระบวนการที่มีวินัย ไม่ใช่การเทรดแบบเฉพาะกิจ
วัดความเสี่ยง ระบุปริมาณเงินตราต่างประเทศ เวลา และประเภทของความเสี่ยงว่าเป็นเชิงธุรกรรม (เช่น ใบแจ้งหนี้ เงินเดือน) หรือเชิงการแปลค่า (เช่น การรายงานสินทรัพย์ต่างประเทศ)
กำหนดวัตถุประสงค์ คุณต้องการปกป้องกำไร ทำให้กระแสเงินสดมีเสถียรภาพ หรือจำกัดความเสี่ยงจากการแปลงบการเงิน? วัตถุประสงค์จะเป็นตัวกำหนดเครื่องมือที่เลือกใช้
เลือกวิธีการและระยะเวลาการป้องกันความเสี่ยง จับคู่เครื่องมือป้องกันกับระยะเวลา เช่น เหตุการณ์สั้น ๆ เหมาะกับออปชัน ส่วนรายรับที่คาดการณ์ได้เหมาะกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forward)
คำนวณต้นทุนเทียบกับผลประโยชน์ รวมถึงสเปรด Bid/Ask, ค่าคอมมิชชั่น, ค่า Swap (สำหรับ Spot/CFD แบบ Leverage) และค่า Premium ของออปชัน ควรทำ Hedging ก็ต่อเมื่อผลประโยชน์คาดว่าจะคุ้มกับต้นทุน
กำหนดกฎการดำเนินการและการออกที่ชัดเจน กำหนด Trigger ล่วงหน้า เช่น วันที่, ระดับกำไร/ขาดทุน, หรือการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงที่ป้องกัน
ติดตามความสัมพันธ์และสภาวะตลาด การ Hedge แบบ Cross-pair พึ่งพาความสัมพันธ์ของคู่เงิน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ ต้องติดตามและปรับแผนเมื่อจำเป็น
ก่อนจะทำการป้องกันความเสี่ยง ต้องตรวจสอบวิธีที่โบรกเกอร์จัดการสถานะและต้นทุนที่เกี่ยวข้อง
1) การตั้งค่า Hedging vs Netting:
บางแพลตฟอร์มใช้ระบบ Hedging (สถานะตรงข้ามเปิดแยกกัน) ขณะที่บางแพลตฟอร์มจะ Net สถานะตรงข้ามให้เหลือเพียงสถานะเดียว
หากแพลตฟอร์มของคุณ Net โดยอัตโนมัติ คุณจะไม่สามารถถือ Long และ Short ในคู่เงินเดียวกันเป็น Hedge แยกได้ ต้องยืนยันให้แน่ใจว่าระบบรองรับ
2) มาร์จิ้นและ Margin Call:
แม้ Hedging จะลดความเสี่ยงด้านตลาด แต่ก็ยังใช้มาร์จิ้น ตรวจสอบกฎเกณฑ์ของโบรกเกอร์เกี่ยวกับมาร์จิ้นในสถานะ Hedge
3) ต้นทุน (Rollover, Spread) และนโยบายการส่งคำสั่ง
หากคุณตั้งใจถือ Hedge ข้ามคืน ค่า Swap/Rollover มีความสำคัญ แต่ถ้าเป็น Hedge ระยะสั้น ความเร็วในการส่งคำสั่งและ Spread เป็นสิ่งสำคัญ
ตัวอย่าง — EBC Financial Group:
EBC เป็นโบรกเกอร์ที่มีหลายหน่วยงานและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลในหลายประเทศ (เช่น UK FCA, Cayman CIMA, Australia ASIC และอื่น ๆ) พร้อมทั้งมีแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4/MT5 และให้บริการเทรด CFD และ Forex
สมมติว่าเทรดเดอร์ถือสถานะ Long 100,000 EUR/USD ก่อนการประกาศนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า เทรดเดอร์กังวลว่าหากมีการส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลาย (Dovish) อาจทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนลง
ระบุความเสี่ยง: ถือสถานะ Long EUR 100,000 (Spot)
ทางเลือกที่ 1 — ใช้ออปชัน: ซื้อสัญญา Put Option ของ EUR ที่ราคาใกล้เคียงปัจจุบัน (At-the-money) โดยหมดอายุหนึ่งสัปดาห์หลังเหตุการณ์ เพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนขั้นต่ำ (Floor) ขณะที่ยังคงมีโอกาสเก็บกำไรจากขาขึ้น ค่าใช้จ่ายคือ Premium ของออปชัน
ทางเลือกที่ 2 — Hedge โดยตรง: เปิดสถานะ Short EUR/USD ขนาดบางส่วน (เช่น 50,000) เพื่อจำกัดความเสี่ยงขาลง แต่ยังคงมีโอกาสเก็บกำไรจากขาขึ้น วิธีนี้มีต้นทุนเริ่มต้นต่ำกว่า แต่ต้องใช้ Margin และอาจมีค่าใช้จ่าย Rollover หากถือสถานะนานเกินไป
การตัดสินใจและการติดตาม (Decision and monitoring): หาก ECB ประกาศตามคาด ให้ปิดสถานะ Hedge แต่หากตลาดผันผวนมากขึ้น อาจพิจารณาขยาย/ต่ออายุ Option หรือปรับขนาดของ Hedge
การป้องกันความเสี่ยงมากเกินไปจะทำให้หมดโอกาสทำกำไร และเพิ่มต้นทุนเกินความจำเป็น ควร Hedge เท่าที่จำเป็น ไม่ใช่ทุกความกังวล
ค่า Rollover, สเปรดที่กว้าง และค่า Premium ของ Option สามารถสะสมจนสูง ควรคำนวณผลสุทธิทุกครั้ง
คู่เงินที่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อเกิดวิกฤต ต้องติดตามความสัมพันธ์เป็นประจำ
หากไม่กำหนดจุดยุติการ Hedge อาจทำให้ต้องจ่ายต้นทุนที่ไม่จำเป็น หรือยังคงป้องกันมากเกินไปหลังจากความเสี่ยงหมดไปแล้ว
ไม่เหมือนกัน การป้องกันความเสี่ยงมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงและจำกัดการขาดทุน ขณะที่การเก็งกำไรมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาด การป้องกันความเสี่ยงมักจะลดโอกาสทำกำไร เพื่อแลกกับการลดความเสี่ยงขาลง
ไม่สามารถทำได้ การป้องกันความเสี่ยงที่สร้างขึ้นอย่างดีสามารถลดการเผชิญหน้าความเสี่ยงได้มาก แต่ไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงได้ทั้งหมด เนื่องจากยังมีปัจจัยอย่างความไม่สมบูรณ์ของการ Hedge การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคู่เงิน และความเสี่ยงจากคู่สัญญา (ในตราสาร OTC)
ใช่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การ Hedge โดยตรงจะมีต้นทุนจากสเปรด ค่าคอมมิชชั่น และค่า Rollover ส่วนออปชันจะต้องจ่ายค่า Premium ล่วงหน้า ดังนั้นควรเปรียบเทียบต้นทุนเหล่านี้กับคุณค่าของการป้องกันที่ได้รับ
มือใหม่ควรเริ่มจากการเรียนรู้การจัดการความเสี่ยงพื้นฐาน เช่น การตั้ง Stop-loss และการกำหนดขนาดสถานะ ก่อนที่จะใช้การ Hedge ที่ซับซ้อน การ Hedge แบบง่ายหรือบางส่วนอาจเป็นประโยชน์ แต่ความซับซ้อนที่มากขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงด้านการจัดการเช่นกัน
ไม่ใช่ทุกโบรกเกอร์ ระบบของแพลตฟอร์มหรือประเภทบัญชีแตกต่างกันไป บางระบบอนุญาตให้เปิดสถานะตรงข้ามแยกกัน (Hedging mode) ขณะที่บางระบบจะรวมสถานะตรงข้ามให้เป็นสถานะเดียว (Netting) ดังนั้นควรตรวจสอบนโยบายของโบรกเกอร์ก่อนวางแผนการ Hedge
การป้องกันความเสี่ยงใน Forex เป็นวิธีปฏิบัติที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในการลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน มีหลายรูปแบบ เช่น การเปิดสถานะตรงข้ามโดยตรง, การ Hedge ข้ามคู่เงิน, สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forwards), ออปชัน และ Swap แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อเสีย ต้นทุน ความซับซ้อน และประสิทธิภาพแตกต่างกัน
กฎที่สำคัญที่สุดคือ วินัย: รู้ให้ชัดว่าคุณมีความเสี่ยงอะไร จับคู่ Hedge ให้เหมาะสม คำนึงถึงต้นทุน และตรวจสอบกฎของโบรกเกอร์ก่อนทำการเทรด หากทำอย่างรอบคอบ การป้องกันความเสี่ยงจะช่วยเปลี่ยนความเสี่ยงจากสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ให้กลายเป็นสิ่งที่จัดการและวางงบประมาณได้
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ