简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

รู้จัก Risk Reward Ratio คืออะไร แจกสูตรคำนวณเทรดอย่างมีระบบ

2025-09-24

Risk Reward Ratio คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนแต่ละครั้ง เพราะจะช่วยให้เห็นว่าความเสี่ยงต่อการขาดทุนเทียบกับผลตอบแทนที่คาดหวังมีสัดส่วนเท่าใด บทความนี้จึงจะพาคุณไปเจาะลึกทั้งความหมาย วิธีคำนวณ การปรับใช้ และตัวอย่างเทรดจริงในตลาดหุ้นและฟอเร็กซ์


Risk Reward Ratio คือเครื่องชี้วัดความคุ้มค่าของการลงทุน


Risk Reward Ratio (RR) คืออัตราส่วนเชิงตัวเลขที่เปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยง (Risk) กับผลตอบแทนที่คาดหวัง (Reward) ของการลงทุนหรือการเทรดหนึ่งรายการ ทำให้ในเชิงการคำนวณ RR จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่า การลงทุนในออเดอร์หรือรอบนี้มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนเท่าไร และผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับคือเท่าไร


  • ความเสี่ยง (Risk) หมายถึงจำนวนเงินหรือเปอร์เซ็นต์ที่นักลงทุนยอมเสียได้ หากการลงทุนเคลื่อนไหวตรงข้ามกับตำแหน่งของตน เช่น การตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุน

  • ผลตอบแทน (Reward) หมายถึงจำนวนเงินหรือเปอร์เซ็นต์ที่คาดว่าจะได้รับ หากการลงทุนเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดหวัง เช่น การตั้ง Take Profit


โดยจุดสำคัญคือ Risk Reward Ratio คือไม่ใช่การทำนายว่าการลงทุนครั้งนั้น ๆ จะได้กำไรแน่นอน แต่เป็นการวัดความคุ้มค่าของความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล แทนที่จะเทรดด้วยอารมณ์ ดังนั้นเทรดเดอร์มือโปรจึงมักจะกำหนด Risk Reward Ratio ที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและสภาวะตลาด เช่น


  • เทรดระยะสั้น (Short-term) อาจตั้งอัตราส่วน 1:1.5 ถึง 1:2

  • เทรดระยะยาว (Long-term) อาจตั้งอัตราส่วนสูงกว่า 1:3


Risk Reward Ratio คือ - EBC


วิธีคำนวณ Risk Reward Ratio แบบเทรดเดอร์มืออาชีพ


การคำนวณ Risk Reward Ratio อย่างแม่นยำเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในทุกตลาด นักลงทุนที่เข้าใจวิธีคำนวณอย่างละเอียดจะสามารถกำหนดตำแหน่งเข้าออกการเทรดได้อย่างมีเหตุผล ลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์ และสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์เทรดในระยะยาวได้


ขั้นตอนที่ 1 : ระบุจุดเข้าเทรด (Entry Point)


จุดเริ่มต้นของการคำนวณคือการกำหนด ราคาที่คุณจะเข้าซื้อหรือขาย ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อหุ้น ABC ที่ราคา 100 บาท นี่คือ Entry Point ของคุณ ซึ่งควรพิจารณาร่วมกับแนวโน้มราคาและสัญญาณทางเทคนิค เช่น แนวรับ แนวต้าน หรือ Moving Average


ขั้นตอนที่ 2. ระบุจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)


จุด Stop Loss คือระดับราคาที่คุณยอมรับว่าต้องออกจากการเทรดหากตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับตำแหน่งของคุณ การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมดังนี้ ความผันผวนของสินทรัพย์, ระดับแนวรับ/แนวต้านสำคัญ และจำนวนเงินที่คุณพร้อมจะเสียในแต่ละเทรด


ตัวอย่าง :


  • Entry Point: 100 บาท

  • Stop Loss: 95 บาท

  • Risk = Entry – Stop Loss = 100 – 95 = 5 บาท


ขั้นตอนที่ 3: ระบุเป้าหมายกำไร (Take Profit)


Take Profit คือระดับราคาที่คุณตั้งใจปิดเทรดเพื่อเก็บกำไร การตั้งเป้าหมายควรพิจารณาความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาส เช่น แนวต้านถัดไปหรือเทรนด์สำคัญของราคา ตัวอย่างเช่น หาก Entry Point อยู่ที่ 100 บาท และคุณตั้ง Take Profit ที่ 115 บาท ผลตอบแทนที่คาดหวังคือ 15 บาท


ขั้นตอนที่ 4: คำนวณ Risk Reward Ratio


เมื่อได้ Risk และ Reward แล้ว สามารถคำนวณอัตราส่วนได้ตามสูตรคือ Risk Reward Ratio = Reward/Risk ซึ่งในตัวอย่างของเราจะได้ Reward = 15 บาท, Risk = 5 บาท ดังนั้น Risk Reward Ratio = 15 ÷ 5 = 3:1 ซึ่งหมายความว่า สำหรับทุก ๆ 1 หน่วยความเสี่ยง นักลงทุนมีโอกาสทำกำไร 3 หน่วย


ขั้นตอนที่ 5: ประเมินและปรับอัตราส่วนตามสไตล์การเทรด


อย่างไรก็ดี การคำนวณเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องปรับอัตราส่วนให้เหมาะสมกับสไตล์เทรดและสภาวะตลาด เช่น เทรดระยะสั้นอาจตั้ง Risk Reward Ratio ประมาณ 1:1.5–1:2 ส่วนเทรดระยะกลางหรือระยะยาวอาจตั้งอัตราส่วนสูงกว่า 1:3 เพื่อให้สอดคล้องกับความผันผวนและแนวโน้มราคา


โดยอาจจะคำนวณ Risk Reward Ratio ในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ เพื่อเปรียบเทียบสินทรัพย์หลายตัวได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น Entry Point = 100 บาท, Stop Loss = 95 บาท → Risk = 5% และ Take Profit = 115 บาท → Reward = 15% ดังนั้น Risk Reward Ratio = 15 ÷ 5 = 3:1 การใช้เปอร์เซ็นต์ช่วยให้เห็นภาพรวมการบริหารเงินทุนและปรับกลยุทธ์ได้สะดวก


วิธีคำนวณ Risk Reward Ratio - EBC


2 ตัวอย่างการใช้ Risk Reward Ratio ในการเทรดจริง


การเข้าใจทฤษฎี Risk Reward Ratio อย่างเดียวไม่เพียงพอ นักลงทุนต้องรู้วิธีประยุกต์ใช้กับการเทรดจริงในตลาดหลากหลายประเภท ทั้งหุ้น, ฟอเร็กซ์, คริปโต, และอนุพันธ์ ซึ่งในหัวข้อนี้เราจะหยิบยก 2 ตัวอย่างตลาดการเงินที่มักใช้ช้ Risk Reward Ratio ในการเทรดจริงมาอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น


ตัวอย่างการใช้ RR ในตลาดหุ้น


สมมติว่านักลงทุนสนใจหุ้น ABC ที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หลังจากวิเคราะห์กราฟราคาและแนวรับ-แนวต้านด้วยเครื่องมือทางเทคนิค เช่น Moving Average และ Fibonacci retracement ยกตัวอย่าง เช่น กำหนด Entry Point ที่ 100 บาท 


จากนั้นตั้ง Stop Loss ที่ 95 บาท เพื่อจำกัดความเสี่ยง หากราคาหุ้นลดลงเกินจุดนี้ ความเสี่ยงที่ยอมรับคือ 5 บาทต่อหุ้น การตั้ง Stop Loss แบบนี้ช่วยป้องกันการสูญเสียเกินกว่าที่กำหนด และยังทำให้นักลงทุนสามารถจัดการเงินทุนรวมในพอร์ตได้อย่างเป็นระบบ


สำหรับเป้าหมายกำไร นักลงทุนตั้ง Take Profit ที่ 115 บาท ตามแนวต้านถัดไป ผลตอบแทนที่คาดหวังคือ 15 บาทต่อหุ้น การคำนวณ Risk Reward Ratio คือ 15 ÷ 5 = 3:1 ซึ่งหมายความว่า สำหรับทุก 1 หน่วยความเสี่ยง นักลงทุนมีโอกาสทำกำไร 3 หน่วย แม้ว่าการเทรดบางรายการจะขาดทุน แต่ด้วยอัตราส่วนนี้ การเทรดที่ชนะเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนรายการทั้งหมดก็ยังสามารถสร้างกำไรสุทธิในระยะยาวได้


ตัวอย่างการใช้ RR ในตลาด Forex


ในตลาดฟอเร็กซ์ คู่สกุลเงิน EUR/USD มีความผันผวนสูง นักลงทุนมืออาชีพจึงใช้ Risk Reward Ratio เพื่อกำหนดตำแหน่งซื้อขายอย่างรอบคอบ โดยสมมติว่า Entry Point อยู่ที่ 1.1000 หลังจากวิเคราะห์แนวโน้มและใช้สัญญาณเทคนิคเช่น MACD และ RSI เพื่อหาจังหวะเข้าที่เหมาะสม


นักลงทุนตั้ง Stop Loss ที่ 1.0950 เพื่อจำกัดความเสี่ยงไว้ที่ 50 pips การกำหนด Stop Loss ตามความผันผวนและแนวรับสำคัญช่วยป้องกันการขาดทุนเกินควบคุม ในขณะเดียวกัน Take Profit ถูกตั้งไว้ที่ 1.1100 เพื่อเก็บผลตอบแทน 100 pips การคำนวณ Risk Reward Ratio = 100 ÷ 50 = 2:1 หมายความว่า นักลงทุนมีโอกาสทำกำไร 2 หน่วยต่อ 1 หน่วยความเสี่ยง


นักลงทุนสามารถปรับขนาดการเทรดและบริหารพอร์ตตาม Risk Reward Ratio ที่ตั้งไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดและสไตล์การเทรด การบันทึกและวิเคราะห์ทุกเทรดพร้อม Risk Reward Ratio จะช่วยให้สามารถประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์ในระยะยาวและปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น


ตัวอย่างการใช้ Risk Reward Ratio - EBC


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)


Q: Risk Reward Ratio ต่ำกว่า 1:1 ควรเทรดหรือไม่?

A: หากอัตราส่วนต่ำกว่า 1:1 เทรดนี้มักไม่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะความเสี่ยงสูงกว่ากำไรที่คาดหวัง


Q: Risk Reward Ratio สูงเกินไปดีหรือไม่?

A: ไม่จำเป็นเสมอไป หากสูงเกินไป Stop Loss อาจถูกชนบ่อยและทำให้ขาดทุนสะสม ควรปรับตามสภาพตลาด


Q: ต้องใช้ Risk Reward Ratio ร่วมกับอะไรบ้าง?

A: ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มราคา, การบริหารเงินทุน และสัญญาณเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ


สรุป


การใช้ Risk Reward Ratio เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงเชิงปริมาณ เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความคุ้มค่าของแต่ละการลงทุนได้อย่างชัดเจน เมื่อพิจารณาเชิงตัวเลข พบว่าการตั้งอัตราส่วน RR ที่สูง เช่น 2:1 หรือ 3:1 ทำให้การเทรดที่ชนะเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนรายการทั้งหมดก็ยังสามารถสร้างกำไรสุทธิในระยะยาว


ในตลาดหุ้น ตัวอย่างเช่น การเข้าเทรดหุ้น ABC ที่ Entry 100 บาท, Stop Loss 95 บาท และ Take Profit 115 บาท จะได้ RR = 3:1 หมายความว่าความเสี่ยง 5 บาทต่อหุ้นให้ผลตอบแทนที่คาดหวัง 15 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ตลาดฟอเร็กซ์ คู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ Entry 1.1000, Stop Loss 1.0950 และ Take Profit 1.1100 ให้ RR = 2:1 การใช้ตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้สามารถปรับขนาดการเทรดและบริหารพอร์ตได้อย่างเป็นระบบ


อีกทั้งการสรุปเชิงตัวเลขของ Risk Reward Ratio ยังช่วยให้นักลงทุนเปรียบเทียบกลยุทธ์และสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะการนำ RR มาวิเคราะห์ร่วมกับอัตราชนะ (Win Rate) จะทำให้เห็นภาพรวมความคุ้มค่าของกลยุทธ์การเทรดอย่างชัดเจน และสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดและสไตล์การลงทุนในระยะยาว


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใด ๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใด ๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
Risk Reward Ratio คืออะไร? ทำความเข้าใจกฎ 3:1
ค่าสเปรด คืออะไร? เข้าใจต้นทุน Forex แบบครบจบในที่เดียว
Drawdown คืออะไร? ตัวอย่างและความหมายในโลกการเทรด
คำนวณ Position Size อย่างไรให้แม่นยำ
Liquidity Sweep คืออะไร? เข้าใจกลยุทธ์เทรด