2025-09-24
Risk Reward Ratio คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนแต่ละครั้ง เพราะจะช่วยให้เห็นว่าความเสี่ยงต่อการขาดทุนเทียบกับผลตอบแทนที่คาดหวังมีสัดส่วนเท่าใด บทความนี้จึงจะพาคุณไปเจาะลึกทั้งความหมาย วิธีคำนวณ การปรับใช้ และตัวอย่างเทรดจริงในตลาดหุ้นและฟอเร็กซ์
Risk Reward Ratio (RR) คืออัตราส่วนเชิงตัวเลขที่เปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยง (Risk) กับผลตอบแทนที่คาดหวัง (Reward) ของการลงทุนหรือการเทรดหนึ่งรายการ ทำให้ในเชิงการคำนวณ RR จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่า การลงทุนในออเดอร์หรือรอบนี้มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนเท่าไร และผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับคือเท่าไร
ความเสี่ยง (Risk) หมายถึงจำนวนเงินหรือเปอร์เซ็นต์ที่นักลงทุนยอมเสียได้ หากการลงทุนเคลื่อนไหวตรงข้ามกับตำแหน่งของตน เช่น การตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุน
ผลตอบแทน (Reward) หมายถึงจำนวนเงินหรือเปอร์เซ็นต์ที่คาดว่าจะได้รับ หากการลงทุนเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดหวัง เช่น การตั้ง Take Profit
โดยจุดสำคัญคือ Risk Reward Ratio คือไม่ใช่การทำนายว่าการลงทุนครั้งนั้น ๆ จะได้กำไรแน่นอน แต่เป็นการวัดความคุ้มค่าของความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล แทนที่จะเทรดด้วยอารมณ์ ดังนั้นเทรดเดอร์มือโปรจึงมักจะกำหนด Risk Reward Ratio ที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและสภาวะตลาด เช่น
เทรดระยะสั้น (Short-term) อาจตั้งอัตราส่วน 1:1.5 ถึง 1:2
เทรดระยะยาว (Long-term) อาจตั้งอัตราส่วนสูงกว่า 1:3
การคำนวณ Risk Reward Ratio อย่างแม่นยำเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในทุกตลาด นักลงทุนที่เข้าใจวิธีคำนวณอย่างละเอียดจะสามารถกำหนดตำแหน่งเข้าออกการเทรดได้อย่างมีเหตุผล ลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์ และสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์เทรดในระยะยาวได้
จุดเริ่มต้นของการคำนวณคือการกำหนด ราคาที่คุณจะเข้าซื้อหรือขาย ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อหุ้น ABC ที่ราคา 100 บาท นี่คือ Entry Point ของคุณ ซึ่งควรพิจารณาร่วมกับแนวโน้มราคาและสัญญาณทางเทคนิค เช่น แนวรับ แนวต้าน หรือ Moving Average
จุด Stop Loss คือระดับราคาที่คุณยอมรับว่าต้องออกจากการเทรดหากตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับตำแหน่งของคุณ การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมดังนี้ ความผันผวนของสินทรัพย์, ระดับแนวรับ/แนวต้านสำคัญ และจำนวนเงินที่คุณพร้อมจะเสียในแต่ละเทรด
ตัวอย่าง :
Entry Point: 100 บาท
Stop Loss: 95 บาท
Risk = Entry – Stop Loss = 100 – 95 = 5 บาท
Take Profit คือระดับราคาที่คุณตั้งใจปิดเทรดเพื่อเก็บกำไร การตั้งเป้าหมายควรพิจารณาความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาส เช่น แนวต้านถัดไปหรือเทรนด์สำคัญของราคา ตัวอย่างเช่น หาก Entry Point อยู่ที่ 100 บาท และคุณตั้ง Take Profit ที่ 115 บาท ผลตอบแทนที่คาดหวังคือ 15 บาท
เมื่อได้ Risk และ Reward แล้ว สามารถคำนวณอัตราส่วนได้ตามสูตรคือ Risk Reward Ratio = Reward/Risk ซึ่งในตัวอย่างของเราจะได้ Reward = 15 บาท, Risk = 5 บาท ดังนั้น Risk Reward Ratio = 15 ÷ 5 = 3:1 ซึ่งหมายความว่า สำหรับทุก ๆ 1 หน่วยความเสี่ยง นักลงทุนมีโอกาสทำกำไร 3 หน่วย
อย่างไรก็ดี การคำนวณเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องปรับอัตราส่วนให้เหมาะสมกับสไตล์เทรดและสภาวะตลาด เช่น เทรดระยะสั้นอาจตั้ง Risk Reward Ratio ประมาณ 1:1.5–1:2 ส่วนเทรดระยะกลางหรือระยะยาวอาจตั้งอัตราส่วนสูงกว่า 1:3 เพื่อให้สอดคล้องกับความผันผวนและแนวโน้มราคา
โดยอาจจะคำนวณ Risk Reward Ratio ในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ เพื่อเปรียบเทียบสินทรัพย์หลายตัวได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น Entry Point = 100 บาท, Stop Loss = 95 บาท → Risk = 5% และ Take Profit = 115 บาท → Reward = 15% ดังนั้น Risk Reward Ratio = 15 ÷ 5 = 3:1 การใช้เปอร์เซ็นต์ช่วยให้เห็นภาพรวมการบริหารเงินทุนและปรับกลยุทธ์ได้สะดวก
การเข้าใจทฤษฎี Risk Reward Ratio อย่างเดียวไม่เพียงพอ นักลงทุนต้องรู้วิธีประยุกต์ใช้กับการเทรดจริงในตลาดหลากหลายประเภท ทั้งหุ้น, ฟอเร็กซ์, คริปโต, และอนุพันธ์ ซึ่งในหัวข้อนี้เราจะหยิบยก 2 ตัวอย่างตลาดการเงินที่มักใช้ช้ Risk Reward Ratio ในการเทรดจริงมาอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น
สมมติว่านักลงทุนสนใจหุ้น ABC ที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หลังจากวิเคราะห์กราฟราคาและแนวรับ-แนวต้านด้วยเครื่องมือทางเทคนิค เช่น Moving Average และ Fibonacci retracement ยกตัวอย่าง เช่น กำหนด Entry Point ที่ 100 บาท
จากนั้นตั้ง Stop Loss ที่ 95 บาท เพื่อจำกัดความเสี่ยง หากราคาหุ้นลดลงเกินจุดนี้ ความเสี่ยงที่ยอมรับคือ 5 บาทต่อหุ้น การตั้ง Stop Loss แบบนี้ช่วยป้องกันการสูญเสียเกินกว่าที่กำหนด และยังทำให้นักลงทุนสามารถจัดการเงินทุนรวมในพอร์ตได้อย่างเป็นระบบ
สำหรับเป้าหมายกำไร นักลงทุนตั้ง Take Profit ที่ 115 บาท ตามแนวต้านถัดไป ผลตอบแทนที่คาดหวังคือ 15 บาทต่อหุ้น การคำนวณ Risk Reward Ratio คือ 15 ÷ 5 = 3:1 ซึ่งหมายความว่า สำหรับทุก 1 หน่วยความเสี่ยง นักลงทุนมีโอกาสทำกำไร 3 หน่วย แม้ว่าการเทรดบางรายการจะขาดทุน แต่ด้วยอัตราส่วนนี้ การเทรดที่ชนะเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนรายการทั้งหมดก็ยังสามารถสร้างกำไรสุทธิในระยะยาวได้
ในตลาดฟอเร็กซ์ คู่สกุลเงิน EUR/USD มีความผันผวนสูง นักลงทุนมืออาชีพจึงใช้ Risk Reward Ratio เพื่อกำหนดตำแหน่งซื้อขายอย่างรอบคอบ โดยสมมติว่า Entry Point อยู่ที่ 1.1000 หลังจากวิเคราะห์แนวโน้มและใช้สัญญาณเทคนิคเช่น MACD และ RSI เพื่อหาจังหวะเข้าที่เหมาะสม
นักลงทุนตั้ง Stop Loss ที่ 1.0950 เพื่อจำกัดความเสี่ยงไว้ที่ 50 pips การกำหนด Stop Loss ตามความผันผวนและแนวรับสำคัญช่วยป้องกันการขาดทุนเกินควบคุม ในขณะเดียวกัน Take Profit ถูกตั้งไว้ที่ 1.1100 เพื่อเก็บผลตอบแทน 100 pips การคำนวณ Risk Reward Ratio = 100 ÷ 50 = 2:1 หมายความว่า นักลงทุนมีโอกาสทำกำไร 2 หน่วยต่อ 1 หน่วยความเสี่ยง
นักลงทุนสามารถปรับขนาดการเทรดและบริหารพอร์ตตาม Risk Reward Ratio ที่ตั้งไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดและสไตล์การเทรด การบันทึกและวิเคราะห์ทุกเทรดพร้อม Risk Reward Ratio จะช่วยให้สามารถประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์ในระยะยาวและปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
A: หากอัตราส่วนต่ำกว่า 1:1 เทรดนี้มักไม่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะความเสี่ยงสูงกว่ากำไรที่คาดหวัง
A: ไม่จำเป็นเสมอไป หากสูงเกินไป Stop Loss อาจถูกชนบ่อยและทำให้ขาดทุนสะสม ควรปรับตามสภาพตลาด
A: ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มราคา, การบริหารเงินทุน และสัญญาณเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ
การใช้ Risk Reward Ratio เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงเชิงปริมาณ เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความคุ้มค่าของแต่ละการลงทุนได้อย่างชัดเจน เมื่อพิจารณาเชิงตัวเลข พบว่าการตั้งอัตราส่วน RR ที่สูง เช่น 2:1 หรือ 3:1 ทำให้การเทรดที่ชนะเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนรายการทั้งหมดก็ยังสามารถสร้างกำไรสุทธิในระยะยาว
ในตลาดหุ้น ตัวอย่างเช่น การเข้าเทรดหุ้น ABC ที่ Entry 100 บาท, Stop Loss 95 บาท และ Take Profit 115 บาท จะได้ RR = 3:1 หมายความว่าความเสี่ยง 5 บาทต่อหุ้นให้ผลตอบแทนที่คาดหวัง 15 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ตลาดฟอเร็กซ์ คู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ Entry 1.1000, Stop Loss 1.0950 และ Take Profit 1.1100 ให้ RR = 2:1 การใช้ตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้สามารถปรับขนาดการเทรดและบริหารพอร์ตได้อย่างเป็นระบบ
อีกทั้งการสรุปเชิงตัวเลขของ Risk Reward Ratio ยังช่วยให้นักลงทุนเปรียบเทียบกลยุทธ์และสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะการนำ RR มาวิเคราะห์ร่วมกับอัตราชนะ (Win Rate) จะทำให้เห็นภาพรวมความคุ้มค่าของกลยุทธ์การเทรดอย่างชัดเจน และสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดและสไตล์การลงทุนในระยะยาว
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใด ๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใด ๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ