ค่าสเปรด คืออะไร? ทำไมสำคัญต่อเทรดเดอร์ Forex พร้อมวิธีคำนวณต้นทุน, ปัจจัยที่มีผล และกลยุทธ์ทำกำไรด้วยค่าสเปรด
ค่าสเปรด คือ ปัจจัยสำคัญที่นักเทรด Forex ทุกคนต้องเข้าใจ เพราะค่าสเปรดเป็นส่วนต่างระหว่างราคา Bid และราคา Ask ที่สะท้อนต้นทุนการซื้อขายโดยตรงซึ่งจะช่วยให้เราประเมินต้นทุนและผลกำไรได้แม่นยำมากขึ้น ในบทความนี้ เราจึงพาคุณรู้จักว่า ค่าสเปรดคืออะไร ปัจจัยที่มีผลต่อค่าสเปรด วิธีคำนวณต้นทุน รวมถึงกลยุทธ์เทรด Forex ด้วยค่าสเปรดแบบครบจบในที่เดียว
ค่าสเปรด คือ ส่วนต่างระหว่าง ราคา Bid (ราคาที่โบรกเกอร์ยินดีซื้อสินทรัพย์จากนักลงทุน) และ ราคา Ask (ราคาที่โบรกเกอร์ยินดีขายสินทรัพย์ให้นักลงทุน) ในตลาด Forex ค่าสเปรดถือเป็นกลไกที่สะท้อนถึงโครงสร้างต้นทุนการซื้อขายโดยตรง ไม่ว่าคุณจะเทรดคู่เงินใดก็ตาม ความแตกต่างของราคานี้คือค่าใช้จ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นรายได้หลักของโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขาย
ราคา Bid: ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมซื้อสินทรัพย์จากนักลงทุน
ราคา Ask: ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมขายสินทรัพย์ให้กับนักลงทุน
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าคู่เงิน EUR/USD มีราคา Bid อยู่ที่ 1.1000 และราคา Ask อยู่ที่ 1.1002 ส่วนต่างที่เกิดขึ้นคือ 0.0002 หรือ 2 pips ซึ่งหมายความว่าทันทีที่คุณเปิดออเดอร์ซื้อ คุณจะเริ่มต้นที่ตำแหน่งขาดทุน 2 pips เพราะคุณซื้อแพงกว่าที่จะสามารถขายได้ในขณะเดียวกัน สเปรดจึงเป็นเหมือน "ค่าผ่านประตู" ที่นักลงทุนต้องจ่ายทุกครั้งโดยอัตโนมัติ
สภาพคล่องของตลาด (Liquidity): ช่วงที่มีผู้เล่นจำนวนมาก สเปรดจะถูกบีบให้แคบลง เช่น ช่วงตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน
ความผันผวน (Volatility): เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น ข่าวการเงินโลก ตัวเลขเงินเฟ้อ หรือการตัดสินใจดอกเบี้ยของ FED สเปรดมักจะกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน
ประเภทคู่เงิน: คู่เงินหลัก (Major Pairs) เช่น EUR/USD, GBP/USD มักมีสเปรดต่ำเพราะมีการซื้อขายมาก ขณะที่คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) อย่าง USD/THB หรือ USD/TRY มีสเปรดกว้างเพราะสภาพคล่องต่ำ
ค่าสเปรดมีความสำคัญในฐานะที่เป็นต้นทุนหลักของการซื้อขายในตลาด Forex และยังเป็นตัวชี้วัดสภาพคล่องและความมีประสิทธิภาพของตลาดในเชิงเศรษฐศาสตร์การเงินด้วย นักเทรดที่มองข้ามค่าสเปรด อาจประเมินผลกำไร-ขาดทุนผิดพลาด เพราะไม่รู้ว่าต้นทุนจริงสูงกว่าที่คิดไว้
สเปรดคือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทันทีตั้งแต่เปิดออเดอร์ ไม่ว่าจะซื้อหรือขาย คุณจะอยู่ในสถานะขาดทุนทันทีตามมูลค่าของสเปรด ตัวอย่างเช่น หากคู่เงิน EUR/USD มีสเปรด 2 pips และคุณเปิดคำสั่งซื้อด้วยขนาด 1 ล็อตมาตรฐาน (100,000 หน่วย) คุณจะขาดทุนทันทีประมาณ 20 ดอลลาร์สหรัฐก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด ๆ
ผลที่ตามมาคือ หากคุณเป็นนักเทรดสาย Scalping หรือ Day Trader ที่ต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวสั้น ๆ ต้นทุนนี้จะยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะกำไรจากแต่ละออเดอร์อาจมีเพียง 5–10 pips ถ้าสเปรดสูงเกินไป กำไรแทบทั้งหมดอาจถูกกินไปตั้งแต่แรก
ค่าสเปรดยังทำหน้าที่เป็น “เครื่องวัดสภาพคล่องของตลาด” ได้อย่างแม่นยำ ยิ่งตลาดมีผู้เล่นมากและมีการซื้อขายหนาแน่น สเปรดก็จะยิ่งแคบลง คู่เงินหลัก (Major Pairs) เช่น EUR/USD หรือ USD/JPY มักจะมีสเปรดแคบเพียง 0.5–2 pips เพราะมีปริมาณซื้อขายมหาศาลตลอดทั้งวัน ในขณะที่คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) เช่น USD/THB หรือ USD/TRY อาจมีสเปรดสูงถึง 20–30 pips เพราะสภาพคล่องต่ำกว่า
การสังเกตสเปรดจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจของนักลงทุน ถ้าตลาดใดมีสเปรดกว้างผิดปกติอาจสะท้อนว่ามีผู้เล่นน้อย หรือสภาพคล่องไม่เพียงพอที่จะทำให้คำสั่งซื้อขายจับคู่กันได้อย่างราบรื่น การเทรดในตลาดที่มีสเปรดกว้างมักจะมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะอาจเจอการสลิปเพจ (Slippage) หรือความล่าช้าในการจับคู่คำสั่ง
ค่าสเปรดไม่ได้คงที่เสมอไป มันเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะตลาด โดยเฉพาะช่วงที่มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญ เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ยของ FED ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ หรือเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดโลก เมื่อใดที่เกิดความไม่แน่นอน โบรกเกอร์จะขยายสเปรดให้กว้างขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงของตนเอง ส่งผลให้นักลงทุนต้องจ่ายต้นทุนสูงขึ้นในการเปิดออเดอร์
เทรดเดอร์มือโปรจึงใช้สเปรดเป็นเครื่องบ่งชี้ความเสี่ยง เช่น หากคู่เงิน EUR/USD ปกติมีสเปรด 1 pip แต่จู่ ๆ ขยายกว้างเป็น 10 pips ในช่วงก่อนประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ ก็เป็นสัญญาณชัดเจนว่าตลาดกำลังเตรียมรับแรงผันผวนอย่างหนัก
ในเชิงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงิน ค่าสเปรดสะท้อนถึง “ต้นทุนธุรกรรม” (Transaction Cost) ที่เกิดขึ้นจริงในตลาด ยิ่งตลาดมีประสิทธิภาพสูง มีผู้เล่นจำนวนมาก และมีการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการสภาพคล่อง สเปรดก็จะยิ่งแคบ ตรงกันข้าม หากตลาดมีความไม่สมมาตรของข้อมูล (Information Asymmetry) หรือผู้ให้บริการสภาพคล่องแบกรับความเสี่ยงสูง สเปรดจะกว้างขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงนั้น
ยกตัวอย่าง ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีสภาพคล่องมหาศาลและความโปร่งใสสูง สเปรดระหว่าง Bid–Ask จึงแคบมาก ในขณะที่พันธบัตรของประเทศเล็ก ๆ ที่นักลงทุนไม่ค่อยสนใจจะมีสเปรดกว้างเป็นพิเศษ นักเทรด Forex จึงสามารถนำหลักการเดียวกันนี้มาใช้ตีความคู่เงินและวิเคราะห์คุณภาพตลาดได้เช่นกัน
ค่าสเปรดเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นทันทีเมื่อนักเทรดเปิดออเดอร์ การคำนวณค่าสเปรดอย่างแม่นยำช่วยให้นักลงทุนวางแผนกลยุทธ์และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปค่าสเปรดคำนวณจาก ส่วนต่างระหว่างราคา Ask และราคา Bid ตามสูตรง่าย ๆ ดังนี้
ค่าสเปรด (Pips) = ราคา Ask – ราคา Bid
ยกตัวอย่างเช่น คู่เงิน GBP/USD หากราคา Bid อยู่ที่ 1.3050 และราคา Ask อยู่ที่ 1.3055 ส่วนต่างคือ 0.0005 หรือ 5 pips หมายความว่าทันทีที่นักเทรดเปิดออเดอร์ซื้อ จะเริ่มต้นที่ตำแหน่งขาดทุน 5 pips ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด ๆ การคำนวณนี้ช่วยให้เห็นต้นทุนที่แท้จริงของแต่ละคำสั่งซื้อขาย
สำหรับการคำนวณต้นทุนในหน่วยเงินจริง สามารถใช้สูตรต่อไปนี้
ต้นทุนสเปรด (USD) = ขนาดล็อต × ค่าสเปรด (Pips) × ค่า pip ต่อหน่วย
ตัวอย่าง หากเทรด 0.2 ล็อต GBP/USD (20,000 หน่วย) โดยมีสเปรด 5 pips ค่า pip ต่อหน่วยสำหรับ 1 ล็อตมาตรฐาน = 10 ดอลลาร์ ดังนั้นต้นทุนสเปรดจริง = 0.2 × 5 × 10 = 10 ดอลลาร์
การเข้าใจค่าสเปรดไม่ได้มีประโยชน์แค่การรู้ต้นทุนการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือวางกลยุทธ์ให้เทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ในหัวข้อนี้เราจะไปเปิดลิสต์ก กลยุทธ์เทรด Forex ที่ใช้ค่าสเปรดเป็นปัจจัยหลัก ทั้งวิธีเลือกเวลาตลาด สังเกตความผันผวน และการบริหารความเสี่ยง
การเทรดในช่วงที่ตลาดหลักเปิดพร้อมกัน เช่น ตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก จะช่วยให้สเปรดแคบที่สุด การเปิดออเดอร์ในช่วงนี้ช่วยลดต้นทุนการซื้อขายโดยตรง และทำให้โอกาสเข้าสู่จุดคุ้มทุนเร็วขึ้น นักเทรดควรสังเกตช่วงเวลาเปิดปิดตลาดและจับคู่เวลาให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ใช้ เช่น Scalping หรือ Day Trading
การสังเกตว่าค่าสเปรดขยายกว้างขึ้นหรือแคบลงสามารถบอกได้ว่าตลาดกำลังผันผวนหรือสงบ หากสเปรดกว้างกว่าปกติในช่วงข่าวเศรษฐกิจสำคัญ อาจเป็นสัญญาณให้ชะลอการเปิดออเดอร์ หรือตัดสินใจใช้กลยุทธ์ News Trading โดยเข้าใจว่าต้องยอมรับต้นทุนสูงและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
สำหรับนักเทรดที่เน้นกำไรระยะสั้น เช่น Scalping การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำและระบบส่งคำสั่งรวดเร็วถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะกำไรแต่ละออเดอร์น้อย หากสเปรดสูงหรือมี Slippage การเทรดอาจขาดทุนตั้งแต่แรก การเปรียบเทียบบัญชีและโครงสร้างค่าธรรมเนียมเป็นสิ่งจำเป็น
การรวมค่าสเปรดเข้าไปในการวางแผนกลยุทธ์ เช่น การคำนวณ Risk-to-Reward Ratio หรือ Stop Loss/Take Profit จะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างแม่นยำ นักลงทุนสามารถประเมินว่าตลาดต้องเคลื่อนไหวไปมากน้อยแค่ไหนถึงจะเริ่มทำกำไรจริง
การใช้ค่าสเปรดร่วมกับการบริหารความเสี่ยง เช่น การจัดสัดส่วนขนาดล็อตตามสเปรดหรือการเลือกคู่เงินที่มีต้นทุนต่ำ จะช่วยให้กลยุทธ์มีความยั่งยืน และลดความเสี่ยงจากการขาดทุนสะสม เมื่อนักเทรดเห็นภาพรวมต้นทุนที่แท้จริง ก็สามารถวางแผนเข้าหรือออกตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สเปรดอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามสภาพคล่องและข่าวสำคัญ การติดตามแบบเรียลไทม์ช่วยให้นักเทรดปรับกลยุทธ์ทัน เช่น การชะลอออเดอร์หรือปรับขนาดล็อต การมอนิเตอร์สเปรดพร้อมกับเครื่องมือเทรดช่วยให้การเทรดมีความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวน
A: โดยทั่วไป ค่าสเปรดต่ำช่วยลดต้นทุนและเหมาะกับการเทรดระยะสั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะดีที่สุดเสมอไป เพราะบางบัญชีที่มีสเปรดต่ำอาจมีค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม นักลงทุนต้องเปรียบเทียบทั้งสองปัจจัยร่วมกัน
A: สเปรดผันผวนตามสภาพคล่องและความผันผวนของตลาด หากมีนักลงทุนจำนวนมากในตลาด สเปรดมักจะแคบ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอน เช่น ข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือวิกฤตการเงิน สเปรดจะกว้างขึ้นทันที
A: ใช่ โบรกเกอร์แต่ละรายมีโครงสร้างต้นทุนและรูปแบบการเก็บค่าธรรมเนียมต่างกัน บางรายใช้สเปรดคงที่ บางรายใช้สเปรดผันผวน นักลงทุนควรเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของตนเองมากที่สุด
ค่าสเปรดคือต้นทุนที่นักเทรดต้องเผชิญโดยตรงในทุกการซื้อขาย มันไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขเล็ก ๆ บนหน้าจอ แต่เป็นปัจจัยกำหนดว่าการเปิดออเดอร์หนึ่งครั้งจะเริ่มต้นด้วยต้นทุนเท่าไร และส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนตั้งแต่แรก ความเข้าใจเรื่องสเปรดช่วยให้นักลงทุนประเมินต้นทุนรวมของกลยุทธ์การเทรดและวางแผน Risk Management ได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ สเปรดยังสะท้อนถึง สภาพคล่องและความผันผวนของตลาด ตลาดที่มีผู้เล่นหนาแน่นและคู่เงินที่มีการซื้อขายสูงมักจะมีสเปรดแคบ ขณะที่คู่เงินที่มีสภาพคล่องต่ำจะมีสเปรดกว้าง การสังเกตสเปรดจึงสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงเบื้องต้นได้ เมื่อตลาดมีเหตุการณ์สำคัญหรือความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น สเปรดจะขยายกว้างทันที ทำให้นักเทรดต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งที่ EBC Financial Group เรานำเสนอค่าสเปรด RAW ECN ระดับ Interbank เพียง 0.0 pips เท่านั้น ด้วยความเร็วในการยิงคำสั่งซื้อ 20 มิลลิวินาที่มีความเสถียรสูงถึง 98.75% ทำให้เทรดเดอร์ไม่พลาดทุกโอกาสในการทำกำไร รวมถึงใบอนุญาตระดับสากล เช่น FCA, CIMA และ ASIC ที่คุณสามารถไว้ใจได้ โดยสำหรับท่านใดที่สนใจ สามารถคลิกที่ลิงก์นี้เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย
ค้นพบสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกประจำปี 2025 สำรวจอันดับสูงสุด รายการที่อัปเดต และสิ่งที่ทำให้สกุลเงินเหล่านี้มีอำนาจระดับโลก
2025-08-26เรียนรู้ Arbitrage คือกลยุทธ์ทำกำไรจากความต่างราคาในตลาด Forex, หุ้น, และคริปโต พร้อมตัวอย่างจริงและข้อควรระวัง
2025-08-26URA ETF ช่วยให้คุณลงทุนในนักขุดยูเรเนียม ผู้พัฒนานวัตกรรมด้านนิวเคลียร์ และโครงการพลังงานสะอาดทั่วโลก
2025-08-26