6 เช็กลิสต์ต้องรู้ก่อนลงทุนตลาดทองต่างประเทศ

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน สภาพตลาดการเงินโลกเต็มไปด้วยความผันผวนจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสงครามการค้า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ อัตราเงินเฟ้อ รวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกต่างมองหาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและมั่นคงในการลงทุน ซึ่ง “ทองคำ” (Gold) ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ตลาดทองต่างประเทศ ที่สะท้อนราคาทองคำในระดับสากลอย่างแท้จริงและมีความลึกของสภาพคล่องสูง

การลงทุนในตลาดทองต่างประเทศไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายทองคำที่สะท้อนราคาตลาดโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกในภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์การเงินระหว่างประเทศ นักลงทุนที่เข้าใจกลไกของตลาดนี้จะสามารถใช้ทองคำเป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความนี้จึงตั้งใจพาผู้อ่านทุกท่านไปเจาะลึกกับ “ตลาดทองต่างประเทศ” ทั้งในเรื่องความหมายของตลาดนี้ ปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาทองคำระดับโลก วิธีการลงทุนที่หลากหลาย รวมถึงการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตลาดทองต่างประเทศกับตลาดทองไทย เพื่อให้นักลงทุนและเทรดเดอร์ทุกคนได้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและพร้อมสำหรับการตัดสินใจลงทุนในตลาดทองคำระดับโลกอย่างมั่นใจและรอบ

ตลาดทองต่างประเทศ คืออะไร 

ตลาดทองต่างประเทศ หมายถึง ตลาดการซื้อขายทองคำที่อยู่นอกประเทศ ซึ่งมักเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีความลึกของสภาพคล่องและมีผู้เล่นระดับโลกเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ ธนาคารกลาง ผู้ผลิตทองคำ หรือบริษัทค้าทองระดับนานาชาติ ตลาดเหล่านี้ครอบคลุมทั้งตลาดทองคำทางกายภาพ (Physical gold) และตลาดอนุพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures), กองทุน ETF ทองคำ และ CFD (Contract for Difference) โดยตลาดหลัก ๆ ได้แก่ ตลาดลอนดอน (London Bullion Market), ตลาดนิวยอร์ก (COMEX), ตลาดเซี่ยงไฮ้ (SGE) และตลาดฮ่องกง ซึ่งต่างมีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาทองคำโลก

โดยตลาดทองต่างประเทศมีความเป็น "Global" ในเชิงเวลาและกลไกการซื้อขาย กล่าวคือสามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านศูนย์การเงินหลักของโลกตามเขตเวลา เช่น ลอนดอน นิวยอร์ก ฮ่องกง และซิดนีย์ อีกทั้งยังใช้สกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐ (USD) ในการอ้างอิงราคาทองคำทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ราคาทองมีความผันผวนตามค่าเงิน ความตึงเครียดระหว่างประเทศ อัตราดอกเบี้ย และความต้องการทองคำในภาคอุตสาหกรรมหรือเป็นสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Safe haven asset) ในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจ

6 ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อราคาทองคำในตลาดทองต่างประเทศ

แม้ว่า ตลาดทองต่างประเทศ จะมีลักษณะเป็นตลาดระดับโลกที่เปิดซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงและมีความลึกของสภาพคล่องสูง ราคาทองคำในตลาดนี้ก็ไม่ได้ผันผวนจากอุปสงค์และอุปทานเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยสำคัญหลายประการที่นักลงทุนควรจับตามองก่อนตัดสินใจลงทุนหรือวางออเดอร์เทรด ดังนี้

1.อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลัก (เช่น Fed, ECB, BOJ)

อัตราดอกเบี้ยมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับราคาทองคำในตลาดทองต่างประเทศ กล่าวคือ เมื่อธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนมักขายทองและหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น พันธบัตร เนื่องจากทองคำไม่ได้ให้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนแบบ passive income ดังนั้นในช่วงดอกเบี้ยสูง ราคาทองคำมักอ่อนตัวลง ในทางกลับกัน หากธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ย ความต้องการทองคำจะเพิ่มขึ้น เพราะทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ให้ความมั่นคงในช่วงที่ผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่นลดลง

2. อัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อตลาดทองต่างประเทศ

เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น มูลค่าของเงินในระบบจะลดลง ทำให้นักลงทุนทั่วโลกหันมาสะสมทองคำเพื่อรักษามูลค่า เนื่องจากทองคำไม่สามารถผลิตเพิ่มได้เหมือนเงินกระดาษ จึงถูกมองว่าเป็น “แหล่งพักเงิน” ที่ปลอดภัยในยุคเงินเฟ้อพุ่งสูง ปัจจัยนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำในตลาดต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นในบางช่วงเวลา

3. ภาวะเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของตลาดโลก

เหตุการณ์ที่สร้างความไม่มั่นคง เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงคราม ความตึงเครียดทางการเมือง วิกฤตการเงิน หรือโรคระบาด ล้วนเป็นปัจจัยเร่งให้นักลงทุนในตลาดทองต่างประเทศแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ซึ่งเป็น Safe Haven Asset ที่มีแนวโน้มราคาพุ่งสูงเมื่อเกิดความกลัวในตลาด

4. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) กับราคาทองคำในตลาดโลก

ทองคำในตลาดทองต่างประเทศซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำจึงมีความสัมพันธ์ผกผันกับค่าเงินดอลลาร์อย่างชัดเจน เมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งราคาทองคำในหน่วย USD จะสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการทองคำลดลง โดยเฉพาะนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น ในทางกลับกัน เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำจะถูกลงและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นตามมา

5. อุปสงค์และอุปทานของทองคำในตลาดทองต่างประเทศ

ความต้องการทองคำในภาคต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมอัญมณี เครื่องประดับ เทคโนโลยี รวมถึงการสะสมทองคำของธนาคารกลางหลักทั่วโลก เช่น จีนและอินเดีย เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาทองคำ หากประเทศเหล่านี้เพิ่มการสะสมทองคำ ความต้องการจะเพิ่มขึ้นทันที ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน หากเหมืองทองคำเกิดปัญหาหรือมีข้อจำกัดการส่งออกทองคำในประเทศผู้ผลิตหลัก จะทำให้อุปทานทองคำลดลง ส่งผลให้ราคาทองคำผันผวนตามกลไกตลาด

6. แนวโน้มของกองทุนทองคำ (Gold ETF) ที่มีผลต่อตลาดทองต่างประเทศ

กองทุนทองคำ ETF เป็นเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนพฤติกรรมการลงทุนในตลาดทองคำระดับโลก เพราะเป็นกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และอ้างอิงราคาทองคำจริง หากนักลงทุนซื้อ Gold ETF เป็นจำนวนมาก ผู้จัดการกองทุนจะต้องซื้อทองคำจริงมาเก็บไว้ ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดสูงขึ้น ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์สุทธิใน Gold ETF เช่น SPDR Gold Trust จึงเป็นสัญญาณสำคัญที่นักวิเคราะห์ทองคำใช้ประเมินแนวโน้มราคาทองในตลาดต่างประเทศ

คู่มือลงทุนในตลาดทองต่างประเทศ มีอะไรบ้าง?

• ซื้อทองคำแท่งผ่านผู้ค้าโดยตรง
  หนึ่งในวิธีที่คลาสสิกที่สุดคือการซื้อทองคำแท่งจริงจากผู้ค้าทองที่มีมาตรฐานระดับโลก เช่น BullionVault, Perth Mint หรือ Glint ซึ่งมีคลังทองคำอยู่ในศูนย์กลางการเงินอย่างลอนดอน ซูริค หรือสิงคโปร์ นักลงทุนสามารถเลือกให้ทองเก็บไว้ในคลังของผู้ให้บริการหรือขอให้จัดส่งมายังที่อยู่ของตนเองก็ได้ การลงทุนรูปแบบนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการถือทองจริงเพื่อเก็บรักษาความมั่งคั่งในระยะยาว เพราะทองที่ได้มามักจะมีความบริสุทธิ์สูงและได้รับการรับรองมาตรฐาน LBMA

ข้อดี: ได้ถือครองทองจริง มีความปลอดภัยสูง

ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมเก็บรักษาและค่าธรรมเนียมการขนส่งค่อนข้างสูง

• ลงทุนผ่าน Gold ETF (Exchange Traded Fund)
  Gold ETF คือกองทุนที่อ้างอิงราคาทองคำในตลาดโลกและสามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น SPDR Gold Shares (GLD) หรือ iShares Gold Trust (IAU) ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าถึงได้ผ่านบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ETF จะถือทองคำจริงไว้ในคลัง (เช่น HSBC Vault) และปรับราคาตามราคาทองโลก นักลงทุนจึงเหมือนได้ลงทุนในทองจริงโดยไม่ต้องจัดการกับการจัดเก็บเอง

ข้อดี: สภาพคล่องสูง ซื้อขายได้ง่าย ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าทองจริง

ข้อเสีย: ไม่ได้ถือทองจริง มีความเสี่ยงตลาดเช่นเดียวกับหุ้น

• เทรดทองผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures)
  สัญญาฟิวเจอร์สทองเป็นวิธีที่ใช้เก็งกำไรในราคาทองระยะสั้น โดยอิงจากตลาดฟิวเจอร์สระดับโลกอย่าง COMEX (New York Mercantile Exchange) ซึ่งอนุญาตให้ใช้ Leverage ได้สูง นักลงทุนไม่จำเป็นต้องถือเงินเต็มจำนวนในการซื้อสัญญา

ข้อดี: ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงด้วยมาร์จิ้นที่ต่ำ

ข้อเสีย: ความเสี่ยงสูงมาก ใช้ความรู้และการบริหารความเสี่ยงขั้นสูง

• ซื้อผ่าน CFD หรือแพลตฟอร์มโบรกเกอร์ต่างประเทศ
  CFD คือผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่ให้นักลงทุนเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาทอง โดยไม่ต้องถือทองจริง นักลงทุนสามารถเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศ เช่น EBC Financial Group ซึ่งมีการซื้อขายทองแบบ CFD พร้อม Leverage ที่ยืดหยุ่น

ข้อดี: ใช้เงินลงทุนน้อย (Leverage สูง), เทรดได้ 24 ชั่วโมง

ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูง, ต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือเท่านั้น

ตลาดทองต่างประเทศ VS ตลาดทองไทย ต่างกันอย่างไร?

ตลาดทองคำในต่างประเทศและประเทศไทยมีความแตกต่างกันทั้งโครงสร้าง กลไกการซื้อขาย และรูปแบบการลงทุน แม้ทั้งสองตลาดจะอ้างอิงราคาทองคำโลก (Gold Spot Price) เหมือนกัน แต่ ตลาดทองต่างประเทศ เช่น COMEX (สหรัฐ), LBMA (อังกฤษ) และ Shanghai Gold Exchange (จีน) เปิดซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงตามเวลาสากล มีระบบจับคู่ออเดอร์อัตโนมัติที่แม่นยำ และราคาขึ้นลงตามกลไกตลาดเสรีที่ตอบสนองต่อปัจจัยเศรษฐกิจโลกอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ ตลาดทองไทย ราคาทองถูกปรับตามราคาสมาคมค้าทองคำ ซึ่งอัปเดตเป็นช่วงเวลา (วันละ 2-4 ครั้ง) และขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ต้นทุนนำเข้า และมาร์จิ้นผู้ขาย ส่งผลให้ราคาทองในไทยเคลื่อนไหวช้ากว่าตลาดโลก และช่วงเวลาซื้อขายจำกัดตามเวลาทำการร้านทอง

นอกจากนี้ ตลาดทองต่างประเทศมีผลิตภัณฑ์ลงทุนหลากหลาย เช่น Gold Futures, ETF, หุ้นเหมืองทอง และสัญญาอนุพันธ์ เหมาะกับนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย ในขณะที่ตลาดไทย แม้มี Gold Futures ใน TFEX และกองทุนทองคำธนาคารบางส่วน แต่ส่วนใหญ่การลงทุนยังเน้นซื้อทองคำแท่งแบบดั้งเดิม (96.5%) ที่มีค่ากำเหน็จและส่วนต่างราคาซื้อขายสูง ตลาดไทยจึงเหมาะกับการเก็บสะสมมากกว่าการเก็งกำไรเหมือนตลาดต่างประเทศ

เรื่องการกำกับดูแลก็แตกต่างชัดเจน ตลาดทองต่างประเทศอยู่ภายใต้หน่วยงานระดับโลก เช่น CFTC, FCA, ASIC ขณะที่ในไทยการควบคุมขึ้นกับสมาคมค้าทองและความน่าเชื่อถือของผู้ค้า ส่งผลให้ความโปร่งใสและมาตรฐานโดยรวมยังไม่เทียบเท่าตลาดโลก

สรุป ตลาดทองต่างประเทศสะท้อนราคาทองคำระดับโลกจริง ๆ ได้รับอิทธิพลจากเศรษฐกิจ การเมือง และการเงินระดับสากล รูปแบบลงทุนหลากหลายทั้งทองแท่งจริง ETF ฟิวเจอร์ส หรือ CFD ให้นักลงทุนเลือกตามความเข้าใจและความเสี่ยงที่รับได้ แต่สิ่งสำคัญคือนักลงทุนควรเข้าใจกลไกตลาดและศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างรอบด้าน เพราะแม้ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ราคายังผันผวนตามปัจจัยภายนอก

ทั้งนี้นักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในตลาดทองต่างประเทศ ควรพิจารณาเรื่องความผันผวนของค่าเงินบาท ภาวะเศรษฐกิจโลก และเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถืออย่าง EBC Financial Group ที่มีใบอนุญาตจาก FCA ASIC และ CIMA รวมถึงได้รับรางวัลอีกมากมายในเวทีสากล ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเทรดเดอร์ที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มเทรดที่ปลอดภัยและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ โดยสำหรับท่านใดที่สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม สามารถคลิกได้ที่ ลิงก์นี้ เพื่ออ่านข้อมูลผลิตภัณฑ์เทรดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องได้เลย

คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใด ๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใด ๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ