ติดตามราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI แบบเรียลไทม์ พร้อมปัจจัยขับเคลื่อนตลาด การคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ และความเคลื่อนไหววันนี้มีความหมายอย่างไรต่อผู้บริโภคและเศรษฐกิจโลก
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 67.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.36 ดอลลาร์ (+0.57%) ในวันนี้
ราคาน้ำมัน WTI (West Texas Intermediate) ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 64.73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.34 ดอลลาร์ (+0.38%) ในวันนี้
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน หลังจากที่ราคาปรับลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง และการลดลงของปริมาณน้ำมันดิบในคลังเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ที่มากกว่าที่คาดไว้
รายงานอีกฉบับระบุราคาที่สูงขึ้นเล็กน้อย โดยเบรนท์อยู่ที่ 67.51 ดอลลาร์ และ WTI ที่ 65.03 ดอลลาร์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัจจัยด้านอุปสงค์และความกังวลด้านอุปทานเช่นกัน
ความต้องการที่แข็งแกร่งในสหรัฐฯ และการลดลงของสต็อกน้ำมัน
ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ลดลงถึง 3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 สิงหาคม เหลือประมาณ 423.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีในช่วงเวลาเดียวกันประมาณ 6%
การลดลงดังกล่าวเกิดจากการนำเข้าน้ำมันที่ลดลง (ลดลง 174,000 บาร์เรลต่อวัน) การส่งออกที่เพิ่มขึ้น (เพิ่มขึ้น 620,000 บาร์เรลต่อวัน) และการใช้กำลังการกลั่นในระดับสูง (96.9%)
ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนถึงกิจกรรมการกลั่นและการส่งออกที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีส่วนช่วยให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้น
ข้อจำกัดด้านอุปทานและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
ตลาดยังคงผันผวนท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย รวมถึงคำขู่ของทรัมป์เรื่องมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม และการเก็บภาษีนำเข้าจากอินเดีย 25% พร้อมทั้งอาจมีมาตรการในลักษณะเดียวกันต่อจีน ซึ่งส่งผลให้แนวโน้มในตลาดน้ำมันยังคงไม่แน่นอน
หากมีการชะลอหรือยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย หรือเกิดความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ก็อาจช่วยลดความกังวลด้านอุปทานได้ แม้ความไม่แน่นอนจะยังคงอยู่
อุปทานที่จำกัดเทียบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
แม้ว่า OPEC+ จะให้คำมั่นว่าจะเพิ่มผลผลิต 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวันระหว่างเดือนมีนาคมถึงกันยายน แต่ในความเป็นจริง กลับเพิ่มขึ้นเพียง 540,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน
ความต้องการใช้พลังงานในฤดูร้อน เช่น การผลิตไฟฟ้าในตะวันออกกลาง และการสะสมคลังน้ำมันของจีน ยังคงดูดซับอุปทานส่วนใหญ่ในตลาด
IEA ระบุว่าตลาดยังคงตึงตัวมากกว่าที่ตัวเลขสถิติจะบ่งชี้ โดยการกลั่นที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลและสัญญาฟิวเจอร์สราคาถูกในอนาคต (backwardation) ชี้ให้เห็นว่าอุปทานจริงยังมีจำกัด
แม้ว่า OPEC+ จะให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการผลิตเพิ่มเติมอีก 411,000 บาร์เรลในเดือนกรกฎาคม5 48,000 บาร์เรลในเดือนสิงหาคม และ 547,000 บาร์เรลในเดือนกันยายน แต่บรรดาเทรดเดอร์ยังคงสงสัยว่า ผู้ผลิตหลายรายอาจไม่สามารถส่งมอบน้ำมันได้ตามปริมาณที่ประกาศไว้
แหล่งกำเนิดและคุณภาพ:
WTI: น้ำมันดิบเบนช์มาร์กของสหรัฐฯ มีลักษณะเบาและหวาน (light and sweet) มีการซื้อขายในตลาด NYMEX
เบรนท์: น้ำมันเบนท์มาร์กจากทะเลเหนือ มีคุณภาพหนักกว่าและเปรี้ยวกว่าน้ำมัน WTI เล็กน้อย มีการซื้อขายในตลาด ICE
สเปรดการซื้อขาย:
ในอดีต WTI เคยมีราคาสูงกว่าเบรนท์ ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา WTI มักซื้อขายที่ราคาต่ำกว่าเบรนท์ เนื่องจากปัญหาคอขวดด้านโลจิสติกส์และอุปทานส่วนเกินภายในสหรัฐฯ
พฤติกรรมปัจจุบัน:
ราคาน้ำมันเบรนท์ยัยังคงเป็นตัวชี้นำราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่ราคาน้ำมัน WTI สะท้อนถึงสภาวะตลาดสหรัฐฯ ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
แนวโน้มระยะสั้น:
นักวิเคราะห์คาดว่าราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในช่วง 60–70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยมีแรงหนุนจากความต้องการในสหรัฐฯ และอุปทานที่ปรับตัวอย่างจำกัด
โครงสร้างตลาดแบบ Backwardation:
ตลาดน้ำมันดิบทางกายภาพยังคงตึงตัว และราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าระยะใกล้สูงกว่าระยะไกล
มุมมองของ IEA:
แม้ว่าอุปทานทั่วโลกจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการยังเติบโตช้า และกำลังการกลั่นทั่วโลกก็ถูกใช้งานเต็มที่ โดยสถานการณ์นี้ยังสนับสนุนราคาน้ำมันในระยะสั้น แต่มีความเสี่ยงด้านอุปทานล้นตลาดในระยะยาว
ความเสี่ยงที่ต้องจับตา:
ความต้องการใช้น้ำมันของจีน โดยการนำเข้าในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 11.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ลดลง 5.4%จ ากเดือนมิถุนายน
กำลังการผลิตส่วนเกินอาจเกิดขึ้นได้ นักวิเคราะห์จาก S&P Global และบริษัทอื่นๆ คาดการณ์ว่าราคาอาจลดลงต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ภายในไตรมาสที่ 4 หากอุปสงค์ลดลงหรืออุปทานเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้
ภาคพลังงาน:
บริษัทต่าง ๆ เช่น Exxon, Chevron และอื่น ๆ กำลังเตรียมรับมือกับรายได้ที่ลดลงเนื่องจากความผันผวนของราคาและผลกระทบจากภาษีศุลกากร
ผู้บริโภคและตลาดเกิดใหม่:
ราคาน้ำมันเบรนท์และ WTI ที่สูงขึ้นส่งผลให้ราคาน้ำมันที่ปั๊มขึ้นและอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น โดยเฉพาะในเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า
ความผันผวนของสกุลเงินอาจเกิดขึ้นตามมา ดังที่เห็นในตลาดเงินรูปี หลังจากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง
ข้อกังวลด้านการค้าและการคลัง:
ภัยคุกคามจากภาษีศุลกากรอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรการกลั่นและกระแสการค้า โดยเฉพาะตลาดที่พึ่งพาน้ำมันดิบจากรัสเซียในราคาส่วนลด
ติดตามข้อมูลข่าวสาร: ติดตาม Reuters, IEA, EIA และ Investing.com เพื่อรับข้อมูลราคาและรายงานแบบเรียลไทม์
ดูข้อมูลสำคัญ: เช่น สต็อกน้ำมันในสหรัฐฯ การตัดสินใจของ OPEC+ ความเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเก็บภาษีนำเข้า
กลยุทธ์การเทรด:
จับตาโครงสร้างราคาแบบ Backwardation เพื่อเลือกจังหวะการลงทุน
วิเคราะห์สเปรดระหว่างเบรนท์และ WTI รวมถึงพฤติกรรมความต้องการ
เตรียมพร้อมรับความเสี่ยงจากฤดูกาลที่มีความต้องการลดลง ปัญหาภาษี และการส่งออกจากประเทศใหม่ เช่น เวเนซุเอลา
หัวข้อ | ข้อมูลเชิงลึก |
ราคาน้ำมันเบรนท์ | ~$67.24 ต่อบาร์เรล (เพิ่มขึ้น ~0.57%) |
ราคาน้ำมัน WTI | ~$64.73 ต่อบาร์เรล (เพิ่มขึ้น ~0.38%) |
ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก | การลดลงของสต็อกในสหรัฐฯ การผลิตของ OPEC+ ตึงตัว ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ |
โครงสร้างตลาด | ตลาดจริงยังคงตึงตัว (Backwardation) |
แนวโน้ม | เคลื่อนไหวในกรอบ $60–70 ระยะสั้น มีความเสี่ยงขาลง |
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง | มาตรการภาษี ความต้องการในจีน ข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตของ OPEC+ |
ผลกระทบ | ราคาน้ำมันแพงขึ้น กดดันต้นทุนผู้บริโภคและรายได้บริษัทพลังงาน |
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
แยกย่อยสิ่งสำคัญของ ETF XLU ตั้งแต่การมุ่งเน้นตามภาคส่วนไปจนถึงบทบาทในพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย
2025-08-11เปรียบเทียบรูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องกับตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อดูว่ารูปแบบใดเหมาะกับกลยุทธ์ของคุณที่สุด
2025-08-11ดัชนี S&P 500 คือกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทชั้นนำสหรัฐฯ ที่สะท้อนเศรษฐกิจอเมริกา เจาะลึกโครงสร้างเกณฑ์คัดเลือก พร้อมแนะนำกองทุน ETF S&P 500
2025-08-08