เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-08
8 ต.ค. 2025 - ราคาทองคำ (XAU/USD) พุ่งแรงในช่วงเช้าวันพุธของเอเชีย ทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางแรงซื้ออย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนที่หันหาที่พักเงินในสินทรัพย์ปลอดภัย แรงหนุนหลักมาจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยสองครั้งภายในปีนี้ รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น จากภาวะ ชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐ ที่ยืดเยื้อมาถึงสัปดาห์ที่สอง
นักลงทุนให้ความสนใจกับรายงาน บันทึกการประชุม FOMC (FOMC Minutes) ซึ่งจะประกาศในคืนวันพุธ เพื่อหาสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐ
นอกจากนี้ ราคาทองคำได้รับแรงซื้อเพิ่มขึ้นจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย หลังรัฐบาลสหรัฐปิดทำการต่อเนื่องจนทำให้การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร NFP ต้องถูกเลื่อนออกไป ส่งผลให้การตัดสินใจของ Fed ยิ่งซับซ้อน
ขณะเดียวกัน ตลาดยังจับตาความเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศอื่น ๆ ที่เพิ่มแรงกดดันต่อสกุลเงินหลักของโลก โดยเฉพาะ ญี่ปุ่นและฝรั่งเศส
ในญี่ปุ่น การชนะเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตยของ ซานาเอะ ทะไคอิชิ ทำให้ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) อาจเลื่อนการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปอีก
ในฝรั่งเศส การลาออกของนายกรัฐมนตรี เซบาสเตียง เลอโกรนู เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเข้ารับตำแหน่ง ยิ่งตอกย้ำความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศ
ปัจจัยทั้งหมดนี้ช่วยหนุนให้ทองคำแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลงอีก 25 จุดเบส (bps) ในการประชุมเดือนตุลาคม ลดกรอบอัตราดอกเบี้ยลงสู่ 3.75%–4.00% และมีโอกาส 83% ที่จะมีการลดเพิ่มเติมในเดือนธันวาคม ตามข้อมูลจาก CME FedWatch Tool
ราคาซิลเวอร์ (XAG/USD) ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.2% ในวันอังคาร มาอยู่ที่ 48.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากทำจุดสูงสุดในรอบ 14 ปีที่ 48.77 ดอลลาร์ เมื่อวันก่อนหน้า โดยได้รับแรงกดดันจาก ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ที่แข็งค่าขึ้น ดัชนีดอลลาร์ (DXY) เพิ่มขึ้น 0.4% มาที่ระดับ 98.53 จากแรงซื้อที่เกิดขึ้นหลังข่าวการเมืองในยุโรปและเอเชีย ซึ่งกดดันยูโรและเยนให้ลดลง แต่แม้จะมีแรงขายทำกำไรระยะสั้น นักลงทุนยังมองว่าซิลเวอร์มีโอกาสปรับขึ้นต่อ เนื่องจากแนวโน้ม การผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed ยังคงหนุนตลาดโลหะมีค่า
ธนาคาร Commerzbank คาดว่าราคาซิลเวอร์จะอยู่ที่ 49 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ และอาจแตะ 50 ดอลลาร์ในปีหน้า ตามทิศทางของทองคำที่เป็น “พี่ใหญ่” ในตลาดเดียวกัน
ทางเทคนิค ซิลเวอร์ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนจากระดับ 41.20 ดอลลาร์ โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 49.80 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดตลอดกาล หากหลุดแนวรับบริเวณ 47.20 ดอลลาร์ อาจเห็นการพักฐานระยะสั้นก่อนกลับขึ้นต่อ
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงในวันอังคาร โดยดัชนี S&P 500 ปรับลดลง 0.38% ปิดที่ 6,714.59 จุด หยุดสถิติการพุ่งขึ้นต่อเนื่อง 7 วัน ขณะที่ Nasdaq Composite ลดลง 0.67% ปิดที่ 22,788.36 จุด และ Dow Jones ลดลง 91.99 จุด หรือ 0.2% ปิดที่ 46,602.98 จุด
แรงกดดันหลักมาจากหุ้น Oracle ที่ร่วงกว่า 2.5% หลังมีรายงานว่า บริษัทมีกำไรจากธุรกิจคลาวด์ต่ำกว่าคาด และขาดทุนในบางดีลเช่าชิป Nvidia ทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลต่อผลตอบแทนของการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)
โดยด้าน Anthony Saglimbene หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของ Ameriprise กล่าวกับ CNBC ว่า “นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่เทลงไปใน AI มหาศาลนี้จะสร้างผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่” พร้อมเสริมว่า “นี่ไม่ใช่ฟองสบู่ของ AI แต่เป็นช่วงเวลาที่ตลาดกำลังปรับความคาดหวังใหม่เกี่ยวกับผลกำไรจริงที่เทคโนโลยีนี้จะสร้างได้”
ความไม่แน่นอนจากการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐยังคงเป็นแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อพนักงานรัฐบางส่วน เช่น เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินและกองทัพ ยังไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันให้สภาคองเกรสต้องหาข้อตกลงโดยเร็ว
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเพิ่มความกังวลให้ตลาดหลังเปิดเผยว่าเตรียมหารือกับนายกรัฐมนตรี มาร์ก คาร์นีย์ ของแคนาดาเรื่อง “ภาษีนำเข้า” โดยกล่าวว่า “ผมอยากให้แคนาดาประสบความสำเร็จ แต่เรากำลังแข่งขันในธุรกิจเดียวกัน”
การที่ทองคำทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์และซิลเวอร์แตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี สะท้อนถึงการหลบภัยของเงินทุนท่ามกลางความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มแสดงอาการอ่อนแรงจากความกังวลต่อ AI และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ
ภาพรวมตลาดโลกจึงอยู่ในภาวะ “ระวังระเบิดเวลา” นักลงทุนทยอยลดความเสี่ยงในสินทรัพย์เสี่ยง และโยกสู่โลหะมีค่ามากขึ้น เพื่อรอทิศทางชัดเจนจาก Fed และการยุติชัตดาวน์ในสหรัฐ
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ