2025-09-12
ในโลกการลงทุนที่สุดผันผวน Put option คือเครื่องมือทางการเงินที่สามารถเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับผู้ถือครองสินทรัพย์ได้แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือดัชนี เนื่องจากสถานะการเป็นตราสารอนุพันธ์ บทความนี้จึงจะพาไปเจาะลึกว่า put option คืออะไร แตกต่างจาก Call Option อย่างไร ความเสี่ยงที่ควรระวัง และยกตัวอย่างการใช้งานในตลาดจริง
Put option คือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการขายสินทรัพย์ที่กำหนด เช่น หุ้น ดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า โดยผู้ถือสัญญาไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์จริง แต่สามารถเลือกขายได้เมื่อเห็นว่าราคาสินทรัพย์ลดลงต่ำกว่าราคาที่กำหนดในสัญญา จุดเด่นของ put option คือช่วยให้นักลงทุนป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่ลดลงและสร้างโอกาสทำกำไรเมื่อคาดการณ์ตลาดได้ถูกต้อง
การทำงานของ put option เป็นเรื่องของสิทธิ ไม่ใช่ภาระผูกพัน ผู้ถือสัญญาสามารถเลือกขายสินทรัพย์ตามราคาที่กำหนดหรือปล่อยให้สัญญาหมดอายุหากราคาตลาดสูงกว่าราคาที่ตกลง ค่าใช้จ่ายหลักคือค่าเบี้ย (Premium) ที่ผู้ซื้อจ่ายให้ผู้ขายสัญญา ซึ่งเป็นต้นทุนที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ การคำนวณกำไรจะขึ้นอยู่กับส่วนต่างระหว่างราคาตลาดและราคาที่ตกลง บวกหรือลบค่า premium
นอกจากนี้ put option ยังสามารถนำไปใช้ในหลายกลยุทธ์ ทั้งเพื่อป้องกันความเสี่ยง (hedging) และเก็งกำไรจากราคาตก นักลงทุนที่ถือหุ้นสามารถซื้อ put option เพื่อจำกัดการขาดทุน ในขณะที่นักลงทุนที่ไม่มีหุ้นสามารถซื้อเพื่อเก็งกำไรจากราคาลงได้ การเข้าใจกลไกการทำงานเหล่านี้ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกใช้ put option อย่างเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ทางการเงินและระดับความเสี่ยงของตน
ป้องกันความเสี่ยงจากราคาลง (Hedging)
Put option ช่วยให้ผู้ถือหุ้นสามารถจำกัดการขาดทุน หากราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ลดลงต่ำกว่าราคาที่กำหนดในสัญญา ทำให้สามารถรักษามูลค่าพอร์ตได้
เก็งกำไรจากราคาตก (Speculation)
นักลงทุนที่คาดว่าราคาสินทรัพย์จะลดลงสามารถซื้อ put option เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคาที่ลดลง โดยไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์จริง
วางกลยุทธ์ทางการเงินที่ยืดหยุ่น
Put option สามารถใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่น เช่น Protective Put หรือ Bear Put Spread เพื่อปรับความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสกำไรในตลาดที่ผันผวน
ต้นทุนจำกัด
การซื้อ put option ต้องจ่ายเพียงค่าเบี้ยล่วงหน้า (premium) ซึ่งเป็นต้นทุนคงที่ ทำให้ผู้ลงทุนรู้ขอบเขตการเสียเงินล่วงหน้าและสามารถวางแผนการเงินได้
ใช้เป็นเครื่องมือประกันราคาสินทรัพย์
นักลงทุนหรือบริษัทสามารถใช้ put option เพื่อประกันราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้ลดความไม่แน่นอนของผลตอบแทนจากความผันผวนของตลาด
Put option และ call option เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือ แต่แตกต่างกันในทิศทางของราคาที่นักลงทุนคาดการณ์และวิธีการใช้งาน Call option ให้สิทธิซื้อสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด ขณะที่ put option ให้สิทธิขายสินทรัพย์ การเข้าใจความแตกต่างนี้สำคัญในการวางกลยุทธ์ เพราะทั้งสองประเภทมีบทบาททั้งในการเก็งกำไรและการป้องกันความเสี่ยง แต่เหมาะกับสถานการณ์ตลาดและวัตถุประสงค์การลงทุนที่ต่างกัน
Put option ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการขายสินทรัพย์ในราคาที่ตกลงกันไว้ หากนักลงทุนคาดว่าราคาสินทรัพย์จะลดลง การถือ put option จะทำให้สามารถขายสินทรัพย์ได้ในราคาที่สูงกว่าตลาด ลดการขาดทุนหรือทำกำไรจากราคาตก ส่วน call option ให้สิทธิซื้อสินทรัพย์ หากคาดว่าราคาจะขึ้น ผู้ถือสามารถซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่าตลาดและทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่เพิ่มขึ้น
Put option มักใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้ถือหุ้น หากราคาหุ้นที่ถืออยู่ตกลง การซื้อ put option จะช่วยจำกัดการขาดทุนได้ ในขณะที่ call option มีบทบาทในการป้องกันความเสี่ยงน้อยกว่า โดยมากจะใช้เพื่อรักษาตำแหน่งสัญญาหรือเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากราคาที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ทั้ง put และ call option ต้องจ่ายค่าเบี้ยล่วงหน้า (premium) ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ ความแตกต่างอยู่ที่ทิศทางราคาที่คาดการณ์ หากใช้ put option นักลงทุนต้องหวังว่าราคาสินทรัพย์ลดลง ส่วน call option นักลงทุนต้องหวังว่าราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น การเข้าใจต้นทุนนี้ช่วยให้ประเมินกำไรขาดทุนได้อย่างแม่นยำ
ความเสี่ยงของ put option คือการเสียค่าเบี้ยหากราคาสินทรัพย์ไม่ลดลงตามคาด แต่สามารถช่วยจำกัดการขาดทุนจากการถือหุ้นได้ ในทางกลับกัน call option มีความเสี่ยงในการเสียค่าเบี้ยหากราคาสินทรัพย์ไม่ขึ้นตามคาด แต่สามารถสร้างผลตอบแทนสูงเมื่อราคาตลาดเพิ่มขึ้น ทั้งสองประเภทมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สัมพันธ์กับทิศทางราคาสินทรัพย์
Put option มักถูกนำไปใช้ในกลยุทธ์ Bearish เช่น Protective Put หรือ Bear Put Spread ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่คาดว่าตลาดจะลดลง ส่วน call option มักใช้ในกลยุทธ์ Bullish เช่น Covered Call หรือ Bull Call Spread เพื่อทำกำไรจากตลาดขาขึ้น การเลือกกลยุทธ์จึงขึ้นอยู่กับทิศทางตลาดและวัตถุประสงค์ทางการเงินของนักลงทุน
เพื่อให้เห็นชัดว่าการใช้ put option ทำงานอย่างไร เราจะยกตัวอย่างจริง 3 กรณี ได้แก่ การป้องกันความเสี่ยงของหุ้นที่ถืออยู่ การเก็งกำไรจากราคาหุ้นลดลง และกลยุทธ์ Bear Put Spread แต่ละตัวอย่างจะแสดงวิธีคำนวณกำไร ขาดทุน และการจัดการความเสี่ยงอย่างละเอียด
1. ป้องกันความเสี่ยงของหุ้นที่ถืออยู่ (Protective Put)
นักลงทุน A ถือหุ้น ABC จำนวน 1,000 หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบัน 100 บาทต่อหุ้น นักลงทุนกังวลว่าตลาดอาจลดลงจึงซื้อ put option ราคาตกลง 95 บาท ค่า premium 2 บาทต่อหุ้น หากราคาหุ้นลดลงเหลือ 90 บาท นักลงทุนสามารถใช้สิทธิขายหุ้นในราคา 95 บาท ช่วยจำกัดการขาดทุนได้เพียง 7 บาทต่อหุ้น (100 – 95 + 2) แม้ตลาดมีความผันผวน การถือ put option จะช่วยลดผลกระทบต่อพอร์ต
ในกรณีที่ราคาหุ้นไม่ลดลงต่ำกว่า 95 บาท นักลงทุนจะเสียค่า premium 2 บาทต่อหุ้น แต่ยังคงถือหุ้นและสามารถทำกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้นต่อไป วิธีนี้จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกัน downside risk โดยไม่ขายหุ้นออกไป
2. เก็งกำไรจากราคาหุ้นลดลง (Speculative Put)
นักลงทุน B มองว่าหุ้น XYZ ราคาปัจจุบัน 50 บาทต่อหุ้น มีแนวโน้มลดลงในอีก 3 เดือนข้างหน้า จึงซื้อ put option ราคาตกลง 50 บาท ค่า premium 1 บาทต่อหุ้น หากราคาหุ้นลดลงเหลือ 45 บาท นักลงทุนสามารถขายสัญญาเพื่อรับกำไร 4 บาทต่อหุ้น (50 – 45 – 1) โดยไม่ต้องถือหุ้นจริง การลงทุนแบบนี้ให้โอกาสทำกำไรจากราคาตก แต่ต้นทุนจำกัดที่ค่า premium
การเก็งกำไรด้วย put option เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการถือหุ้นจริง แต่ต้องการใช้เครื่องมือทางการเงินสร้างผลตอบแทนจากความผันผวนของตลาด โดยสามารถกำหนดขอบเขตความเสี่ยงได้ล่วงหน้า
3. กลยุทธ์เชิงซ้อน (Bear Put Spread)
นักลงทุน C คาดว่าหุ้น DEF ราคาปัจจุบัน 80 บาทต่อหุ้นจะลดลง แต่ไม่ต้องการจ่ายค่า premium สูง จึงซื้อ put option ราคาตกลง 78 บาท ค่า premium 3 บาทต่อหุ้น และขาย put option ราคาตกลง 70 บาท ค่า premium 1 บาทต่อหุ้น กลยุทธ์นี้ลดต้นทุนสุทธิเหลือ 2 บาทต่อหุ้น แต่จำกัดกำไรสูงสุดระหว่างราคาตกลง 78 – 70 = 8 บาทต่อหุ้น
กลยุทธ์ Bear Put Spread เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในตลาดขาลง พร้อมจำกัดความเสี่ยงและต้นทุน การใช้ put option แบบคู่ช่วยปรับสมดุลระหว่างกำไรและต้นทุน ทำให้วางแผนกลยุทธ์เชิงซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
A: Put option คือสัญญาที่ให้สิทธิขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด ส่วน call option คือสิทธิซื้อหลักทรัพย์ ความแตกต่างหลักอยู่ที่ทิศทางราคาที่นักลงทุนคาดการณ์
A: ความเสี่ยงหลักคือการสูญเสียค่าเบี้ย, ผลกระทบจากเวลา, ความผันผวนของตลาด และสภาพคล่องที่อาจทำให้ขายสัญญาได้ยาก
A: เหมาะสำหรับป้องกันความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ถืออยู่ หรือเก็งกำไรเมื่อคาดว่าราคาสินทรัพย์จะลดลง
Put option คือหนึ่งในตราสารอนุพันธ์ที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบตลาดทุนสมัยใหม่ เพราะทำให้ผู้ลงทุนสามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันไม่เพียงแต่ใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ แต่ยังสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาดขาลงที่ปกติยากต่อการทำกำไร ความสามารถในการทำหน้าที่ทั้ง “เกราะป้องกัน” และ “อาวุธโจมตี” ทำให้ put option เป็นที่นิยมทั้งในหมู่นักลงทุนรายย่อยและผู้เล่นสถาบัน
ในเชิงโครงสร้างตลาด Put option ยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องและความสมบูรณ์ของตลาดอนุพันธ์ เพราะมันเปิดทางให้เกิดกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่การทำ protective put เพื่อป้องกันพอร์ต ไปจนถึงกลยุทธ์ขั้นสูงอย่าง spread หรือ collar ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า put option ไม่ได้มีบทบาทเพียงเพื่อการเก็งกำไร แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำให้ตลาดการเงินมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น
เมื่อมองในมิติระยะยาว ความเข้าใจและการใช้ put option อย่างถูกต้องถือเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารพอร์ตโฟลิโอ โดยเฉพาะในโลกที่ความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้นจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี Put option จึงกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนและสถาบันสามารถปรับตัวรับกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และยังคงรักษาความสมดุลระหว่างโอกาสกับความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ