เงินบาทอ่อนค่า นักลงทุนจับตา 5 ปัจจัยสำคัญ ทั้ง GDP ไทย Q2/68, การส่งออก, เฟด, ฟันด์โฟลว์ต่างชาติ และราคาทองคำโลก
สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่ผันผวน โดยแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ก่อนจะอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางค่าเงินไทย ได้แก่ ความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ในสัปดาห์นี้ (18–22 สิงหาคม 2568) ตลาดการเงินไทยและต่างประเทศกำลังจับตามอง 5 ปัจจัยสำคัญ ที่อาจส่งผลต่อค่าเงินบาท ตลาดหุ้น และราคาทองคำโลกอย่างใกล้ชิด
เงินบาทเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยการแข็งค่าตามสกุลเงินเอเชีย หลังนักลงทุนคาดว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ขณะเดียวกัน กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.50% ยิ่งช่วยหนุนกระแสเงินทุนและการเคลื่อนไหวของตลาดในประเทศ
อย่างไรก็ดี ช่วงปลายสัปดาห์ เงินบาทกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้แรงหนุนจากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์
ค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ (18–22 สิงหาคม 2568) คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.10–32.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากสัปดาห์ก่อนเงินบาทปิดอ่อนค่าที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างสัปดาห์มีการซื้อขายอยู่ในกรอบแคบที่ 32.24–32.46 บาทต่อดอลลาร์ การอ่อนค่าของเงินบาทส่วนหนึ่งเป็นผลจากทิศทาง ดอลลาร์สหรัฐ ที่แม้จะปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก แต่ตลาดยังไม่มั่นใจในท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยรอบถัดไป
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ เดือนกรกฎาคมออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ สะท้อนถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังไม่คลายลง ปัจจัยดังกล่าวเกิดจากผลกระทบของ อัตราภาษีนำเข้า ที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ตลาดลดความคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยแรงถึง 0.50% ในการประชุมรอบถัดไป สถานการณ์นี้ทำให้ตลาดเงินโลกยังอยู่ในภาวะ จับตาท่าทีเฟด อย่างใกล้ชิด เนื่องจากหากเฟดเลือกใช้นโยบายที่ระมัดระวังมากขึ้น อาจทำให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง และส่งผลกดดันต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทคือ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ โดยข้อมูลระหว่างวันที่ 13–15 สิงหาคม 2568 พบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 7,764 ล้านบาท และมียอดขายสุทธิพันธบัตรไทยอีก 7,219 ล้านบาท ส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลออกสุทธิ (Net Outflows) ต่อเนื่อง การไหลออกของเงินทุนสะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนต่างชาติที่รอความชัดเจนของทั้งปัจจัยในประเทศและปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและนโยบายการเงินของสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ค่าเงินคาดว่าเงินบาทจะซื้อขายในกรอบ 32.30–32.60 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีคำแนะนำกลยุทธ์การลงทุนว่า ควรทยอยซื้อดอลลาร์เมื่อเงินบาทแข็งค่าที่ระดับ 32.30 บาท และทยอยขายทำกำไรเมื่อเงินบาทอ่อนค่าที่ระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ กลยุทธ์ดังกล่าวเหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า–ส่งออก รวมถึงนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากความผันผวนของค่าเงินในระยะสั้น
ด้านปัจจัยภายในประเทศ มีแรงหนุนเชิงบวกจากการที่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานว่า GDP ไทยในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.5–2.7% แม้จะชะลอลงจาก 3.2% ในไตรมาสแรกก็ตาม รวมครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.0% โดยได้แรงหนุนจาก การส่งออกสินค้าและบริการ ที่โตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหมวดคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและอุปกรณ์ แผงวงจรรวม ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางพารา ซึ่งสะท้อนถึงการเร่งส่งออกก่อนสิ้นสุดช่วงผ่อนผันมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ภาคท่องเที่ยวยังเป็นตัวถ่วงสำคัญ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไตรมาส 2 ลดลง 12.2% เหลือ 7.13 ล้านคน ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3.4 แสนล้านบาท อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพียง 69.8% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า
แม้ภาคท่องเที่ยวจะชะลอตัว แต่การลงทุนเอกชนกลับมาฟื้นตัว โดยขยายตัว 4.1% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ส่วนการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและอุปกรณ์ขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับการสะสมทุนถาวรที่ปรับตัวดีขึ้น ในด้านการบริโภคภาคเอกชนยังคงขยายตัว 2.1% แต่ชะลอลงจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะการใช้จ่ายในหมวดบริการที่ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง
เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวมยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราว่างงานอยู่ที่ 0.91% แม้จะสูงกว่าช่วงไตรมาสแรก แต่ยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ -0.3% เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส เนื่องจากราคาพลังงานในตลาดโลกปรับลดลง อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อพื้นฐาน ยังคงอยู่ที่ 1% สะท้อนว่าแรงกดดันเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจไทยยังไม่รุนแรง
สภาพัฒน์ปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2568 ลงมาเหลือ 2% จากเดิมที่คาดสูงกว่า เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงจาก ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รวมถึงการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ยังไม่แน่นอน
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเตือนว่า หากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวช้า หรือผู้บริโภคภายในประเทศยังระมัดระวังการใช้จ่าย การเติบโตของ GDP ไทยอาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมด ค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบจำกัด โดยได้รับอิทธิพลจากทั้ง ปัจจัยภายนอก อย่างท่าทีของเฟดและดอลลาร์สหรัฐ และ ปัจจัยภายในประเทศ จากตัวเลข GDP ไทยและทิศทางการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว
นักลงทุนและผู้ประกอบการควรจับตาความเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ รวมถึงการส่งสัญญาณของเฟดในระยะสั้น–กลาง ขณะเดียวกันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศเป็นหลัก
1. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568 ของไทย
เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิด ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะสะท้อนภาพรวมของภาคการผลิต การท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศ หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาด อาจช่วยหนุนค่าเงินบาทและตลาดหุ้น แต่หากต่ำกว่าคาด มีโอกาสกดดันให้นักลงทุนต่างชาติขายสินทรัพย์ไทยต่อเนื่อง
2. ตัวเลขการส่งออกเดือนกรกฎาคม
การส่งออกยังคงเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย ตัวเลขเดือนกรกฎาคมจะเป็นสัญญาณบอกทิศทางการค้าโลก โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และยุโรปยังเผชิญแรงกดดัน หากการส่งออกฟื้นตัวได้ดี จะเป็นแรงสนับสนุนเชิงบวกต่อค่าเงินบาทและดัชนีหุ้นไทย
3. ถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ Jackson Hole
การประชุมสัมมนาประจำปีของเฟดที่ Jackson Hole เป็นเวทีสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง โดยเฉพาะคำพูดของประธานเฟดว่าจะส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่ หากถ้อยแถลงบ่งชี้ถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงิน อาจทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และหนุนค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่หากเฟดยังย้ำจุดยืนเข้มงวด เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
4. ทิศทางฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติ
ความเคลื่อนไหวของฟันด์โฟลว์ยังเป็นตัวแปรสำคัญ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยและพันธบัตรต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา หากแนวโน้มยังเป็น Net Outflows ต่อไป จะกดดันให้เงินบาทอ่อนค่า แต่หากมีการกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง อาจช่วยประคองค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนเกินไป
5. ราคาทองคำในตลาดโลก
ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสัมพันธ์กับค่าเงินดอลลาร์และอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำดีดกลับจากจุดต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์กว่า 30 ดอลลาร์/ออนซ์ หากราคาทองคำปรับขึ้นต่อ อาจส่งผลต่อความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย และมีผลทางอ้อมต่อค่าเงินบาทเช่นกัน
นอกจากปัจจัยในประเทศแล้ว นักลงทุนยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญจากต่างประเทศ เช่น:
สหรัฐฯ: ข้อมูลการสร้างบ้าน, ยอดขายบ้านมือสอง, ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการ, ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
จีน: การประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR
ยุโรปและอังกฤษ: อัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคม และดัชนี PMI เดือนสิงหาคม
ญี่ปุ่น: ดัชนีราคาผู้บริโภคและ PMI ภาคการผลิต
ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจโลก และส่งผลต่อทิศทางของค่าเงินและราคาสินทรัพย์เสี่ยง
สัปดาห์นี้จะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินต้องจับตาหลายปัจจัยพร้อมกัน ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจไทย ถ้อยแถลงเฟด ฟันด์โฟลว์ และราคาทองคำ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีผลโดยตรงต่อ ทิศทางค่าเงินบาท นักลงทุนควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวน ไม่ว่าจะอยู่ในตลาดเงิน ตลาดหุ้น หรือทองคำ
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใด ๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใด ๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ราคาน้ำมันดิบร่วงลงกว่า 10% ในปีนี้ เนื่องจากการเจรจาสันติภาพ ความเสี่ยงด้านอุปทาน และความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในตลาดโลก และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น
2025-08-18ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงในวันจันทร์ก่อนการประชุมระหว่างทรัมป์และเซเลนสกี โดยนักลงทุนยังจับตาการประชุมเชิงปฏิบัติการแจ็กสันโฮลของเฟดเพื่อหาเบาะแสด้านนโยบาย
2025-08-18ดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง เงินเฟ้อที่อ่อนตัวลง และความต้องการความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เหตุการณ์สำคัญใดที่จะกำหนดทิศทางตลาดในสัปดาห์นี้?
2025-08-18