ยูโรแข็งค่ากว่าดอลลาร์ในปี 2025 หรือไม่? ค้นพบอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD ล่าสุด แนวโน้มในอดีต และคำทำนายจากผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์
ในปี 2025 เงินยูโรแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 12 % นับตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้พลวัตการค้าโลก กระแสการลงทุน และแม้แต่รายได้ขององค์กรเปลี่ยนแปลงไป
บทความนี้จะตรวจสอบว่าปัจจุบันเงินยูโรแข็งค่ากว่าดอลลาร์จริงหรือไม่ ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ และแนวโน้มนี้จะมีระยะเวลานานเท่าใด
ณ กลางเดือนกรกฎาคม อัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD อยู่ใกล้ระดับ 1.1611 ลดลงเล็กน้อยหลังจากแตะจุดสูงสุดเมื่อเร็ว ๆ นี้ และการฟื้นตัวเล็กน้อยของค่าเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปี เงินยูโรแข็งค่าขึ้นประมาณ 12% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในสภาพแวดล้อมของตลาดเงินตรา
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2025 อัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD อยู่ที่ 1.1615 ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลอ้างอิงของธนาคารกลางยุโรป (ECB) นักวิเคราะห์ทางเทคนิคสังเกตว่า EUR/USD ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำในช่วงต้นปีที่ประมาณ 1.0257 ไปแตะระดับสูงเหนือ 1.18 ในช่วงกลางปี โดยมีแนวต้านสำคัญในช่วงต้นปีอยู่ที่ระดับ 1.12–1.13 แม้จะมีสัญญาณขาลงในบางช่วงเวลา แต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเป็นขาขึ้นจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม
นอกจากนี้ สัดส่วนการถือครองดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกลดลงเหลือ 57.7% ขณะที่เงินยูโรเพิ่มขึ้นเป็น 20.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2022 ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
1. นโยบายการเงินของธนาคารกลางที่แตกต่างกัน
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ระงับมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในเดือนมิถุนายน และยังส่งสัญญาณอาจยุติการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เนื่องจากเงินยูโรแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยน้อยลงในช่วงปลายปี ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ตกอยู่ในภาวะอ่อนแอ
2. กระแสโลกเปลี่ยนจากดอลลาร์
ธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of America) ระบุว่า นักลงทุนมีสถานะถือครองเงินยูโรเกินสัดส่วน (euro overweight) สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่ลดลงแล้วกว่า 10% ในปี 2025
Deutsche Bank และ Goldman Sachs ออกมาเตือนว่า “สิทธิพิเศษที่มากเกินไป” ของเงินดอลลาร์กำลังลดน้อยลงเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการคลังและความตึงเครียดด้านการค้า
3. ความยืดหยุ่นและการลงทุนของยุโรป
แม้จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและแรงกดดันทางการค้า แต่ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของยูโรโซนและการปฏิรูปทางการเมืองกลับช่วยยกระดับความเชื่อมั่น แผนการลงทุนมูลค่า 5 แสนล้านยูโรของเยอรมนีผลักดันให้ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี
4. อุปสรรคทางการค้าของสหรัฐฯ
ภัยคุกคามจากนโยบายภาษีในยุคทรัมป์ยังคงกดดันค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่แนวโน้มของนักลงทุนแบบเดียวกับฝรั่งเศส (Paris-style) ที่หันไปลงทุนในยุโรป ได้เร่งกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ยูโรโซนอย่างต่อเนื่อง
เงินยูโรและเงินดอลลาร์สหรัฐมีประวัติการแข่งขันที่ยาวนานและพลิกผันในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนโลก ตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD ผันผวนจากระดับเสมอกัน (1.00) ไปจนถึงจุดสูงสุดเหนือ 1.60 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์
1. ประวัติศาสตร์ยุคแรกและความเท่าเทียมกันทางโครงสร้าง
เมื่อยูโรเปิดตัวในปี 1999 ค่าของมันอ่อนกว่าดอลลาร์ โดยลดลงต่ำกว่า 0.90 ในช่วงแรกเนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจในความร่วมมือทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป
แต่ในช่วงปี 2002–2003 ความเชื่อมั่นต่อยูโรโซนเริ่มดีขึ้น ยูโรจึงค่อย ๆ แข็งค่าและสามารถแซงหน้าดอลลาร์ได้ในปี 2004
2. จุดสูงสุดและการย่อตัว (2007-2014)
ค่าเงินยูโรแตะระดับสูงสุดที่ 1.60 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงกลางปี 2008 ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักดังนี้:
การล่มสลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์สร้างภาระให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลง
อัตราดอกเบี้ยยูโรโซนที่สูงขึ้นจาก ECB
ความเชื่อมั่นว่าเงินยูโรจะกลายเป็นสกุลเงินสำรองที่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดวิกฤตในปี 2008 และวิกฤตหนี้ภาครัฐในยูโรโซน ยูโรเริ่มอ่อนค่าลงอีกครั้ง
ระหว่างปี 2010 ถึง 2015 ปัญหาหนี้กรีซ ความไม่สงบทางการเมือง และการดำเนินนโยบายล่าช้าของ ECB ทำให้ยูโรอ่อนค่าลงถึงระดับ 1.05 ในต้นปี 2015
3. ดอลลาร์กลับมาครองความเป็นผู้นำ (2015–2022)
ในช่วงนี้ ดอลลาร์กลับมาแข็งแกร่งในตลาดเงินตราโลกเนื่องจาก:
การใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดของ Fed ตั้งแต่ปี 2016–2019
การฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจยุโรปและอัตราดอกเบี้ยติดลบ
ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหภาพยุโรป รวมถึง Brexit
ในปี 2022 ยูโรเคยอ่อนค่าต่ำกว่าจุดเสมอ (0.96 ดอลลาร์) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2002 สาเหตุหลักมาจากสงครามยูเครน วิกฤตพลังงานในยุโรป และการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่รุนแรง
4. การฟื้นตัวของยูโรและการถดถอยของดอลลาร์ (2023–2025)
จุดเปลี่ยนเริ่มขึ้นหลังปี 2023:
ความไม่สมดุลทางการคลังของสหรัฐฯ และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจ
กระแสดีดอลลาร์ (De-dollarisation) เริ่มชัดเจนขึ้น โดยกลุ่ม BRICS และผู้ส่งออกน้ำมันเริ่มกระจายทุนสำรองไปยังสกุลอื่น
ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจยุโรปจากการลงทุนด้านพลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐาน AI และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเยอรมัน
ในปี 2024 ECB เริ่มชะลอการผ่อนคลายทางการเงิน ขณะที่ Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2025
จนถึงกลางปี 2025 เงินยูโรได้แซงหน้าดอลลาร์อย่างชัดเจน โดยแตะระดับ 1.16 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับจากจุดต่ำสุดในปี 2022 นอกจากนี้ นักลงทุนทั่วโลกเพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินยูโร และธนาคารกลางต่าง ๆ ก็ปรับทุนสำรองในทิศทางเดียวกัน ยิ่งสนับสนุนแนวโน้มการแข็งค่าของเงินยูโร
ข้อดี
เพิ่มอำนาจซื้อของผู้บริโภคในยูโรโซน เนื่องจากต้นทุนนำเข้าลดลง
ส่งเสริมบทบาทระดับโลกของยูโร และดึงดูดเงินลงทุนเข้าสินทรัพย์สกุลยูโรมากขึ้น
ข้อเสีย
ทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของยูโรโซนลดลง ผู้ส่งออกรายใหญ่จึงต้องปรับลดประมาณการรายได้
เสี่ยงที่เงินเฟ้อในยูโรโซนจะลดต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2% ของ ECB มากเกินไป
สถาบันการเงินชั้นนำมีมุมมองที่แตกต่างกันอย่างมากต่อทิศทางในอนาคตของค่าเงิน EUR/USD:
UBS คาดการณ์ว่า EUR/USD จะอยู่ที่ประมาณ 1.10 ภายในสิ้นปี
Wells Fargo คาดว่าค่าเงินยูโรจะอ่อนลงเหลือ 0.98 โดยอ้างถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
Commerzbank คาดว่า EUR/USD จะขึ้นไปที่ 1.12 ในเดือนมิถุนายน ก่อนจะอ่อนลงเหลือ 1.08 ภายในเดือนมีนาคม เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวตามวัฏจักร
SocGen และ Rabobank เตือนว่า EUR/USD อาจกลับไปทดสอบระดับเสมอ (Parity) เนื่องจากกระแสเงินทุนไหลเข้าสหรัฐฯ
BBVA Research มองว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมควรอยู่ในช่วง 1.10–1.20 โดยมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ระดับปกติที่ประมาณ 1.20
หากโมเมนตัมทางเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาที่ฝั่งยุโรป และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงส่งสัญญาณแบบผ่อนคลาย (Dovish) การคาดการณ์ว่า EUR/USD จะพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 1.20–1.30 ภายในกลางปี 2026 ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตเกินคาด ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเงินยูโรอาจอ่อนค่าลงกลับมาอยู่ในช่วง 1.05–1.10 หรืออาจใกล้ระดับเสมอหาก Fed หันมาใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Hawkish)
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ หากดอลลาร์กลับมาแข็งค่าหรือมีข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาด อาจทำให้ EUR/USD กลับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
นักลงทุนต่างชาติที่ถือหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากการแข็งค่าของยูโร แต่ผู้ถือสินทรัพย์ในยูโรโซนอาจเผชิญแรงกดดันจากรายได้ส่งออกที่ลดลง
เทรดเดอร์ควรติดตามข้อมูล CPI ของสหรัฐฯ คำแถลงจาก ECB เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายภาษีที่อาจส่งผลให้ตลาดผันผวน
ในปี 2025 เงินยูโรแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่แนวโน้มในอนาคตจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น การดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และทิศทางความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก
แบบจำลองเศรษฐกิจต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่า EUR/USD อาจเคลื่อนไหวในช่วง 1.12–1.30 โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น สำหรับนักลงทุนและภาคธุรกิจ สิ่งสำคัญคือการติดตามความแตกต่างของนโยบายระหว่าง Fed และ ECB การป้องกันความเสี่ยง และการกระจายการลงทุนระหว่างประเทศในช่วงที่ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับ MT5: ตั้งแต่ความหมาย, ความแตกต่างจาก MT4, คุณสมบัติเด่น ไปจนถึงวิธีการเริ่มต้นใช้งาน แพลตฟอร์มทรงพลังสำหรับเทรดเดอร์ยุคใหม่
2025-07-16อยากรู้เกี่ยวกับการเทรด Forex และ CFD ใช่ไหม? ค้นพบความแตกต่างที่สำคัญ ข้อดี และความเสี่ยง เพื่อค้นหากลยุทธ์ที่เหมาะกับเป้าหมายการเทรดของคุณ
2025-07-16เชี่ยวชาญกลยุทธ์เทรด Breakaway Gap และยกระดับทักษะการวิเคราะห์ทางเทคนิคของคุณ ค้นหาวิธีการระบุ ยืนยัน และทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาครั้งใหญ่
2025-07-16