เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-24
ลองจินตนาการว่าคุณเดินเข้าตลาดเพื่อซื้อผลไม้มากินวันนี้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ตลาด Spot (Spot Market) การซื้อขายที่เกิดขึ้นและส่งมอบทันทีในตอนนี้ แต่ถ้าคุณตกลงว่าจะซื้อผลไม้ชุดเดียวกันในเดือนหน้า ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า นั่นคือ ตลาด Futures (Futures Market) ซึ่งก็คือการซื้อขายที่ตกลงกันวันนี้ แต่ส่งมอบในอนาคต ทั้งสองตลาดนี้มีความสำคัญต่อระบบการเงินทั่วโลก เพราะส่งผลต่อทุกอย่างตั้งแต่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ไปจนถึง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ทองคำ หรือข้าวสาลี
ในการเทรด ตลาด Spot คือ “การซื้อขายในปัจจุบัน” ขณะที่ตลาด Futures คือ “การคาดการณ์และวางแผนเพื่ออนาคต” การเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองตลาดนี้ ช่วยให้นักเทรด นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบาย วางกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งในด้านจังหวะการเทรด การบริหารความเสี่ยง และการมองหาโอกาสทางการเงินใหม่ ๆ

ตลาด Spot หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า “ตลาดเงินสด (Cash Market)” คือ ตลาดที่มีการซื้อขายสินทรัพย์ เช่น สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือหุ้น เพื่อส่งมอบทันที ราคาที่ใช้ซื้อขายในตลาดนี้เรียกว่า “ราคา Spot (Spot Price)” ซึ่งสะท้อนมูลค่าปัจจุบันที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันในขณะนั้น
ในตลาด Forex การทำธุรกรรมแบบ Spot มักจะชำระภายในสองวันทำการ ตัวอย่างเช่น หากคู่เงิน EUR/USD เทรดอยู่ที่ 1.0850 หมายความว่านั่นคืออัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้แลกยูโรกับดอลลาร์ “ในตอนนี้” ตามรายงานของ Bank for International Settlements (BIS) ปี 2022 ตลาด FOrex ทั่วโลกมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตลาด Spot
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือข้าวสาลี ก็มีการซื้อขายในตลาด Spot เช่นกัน ผู้เทรดและบริษัทต่าง ๆ ใช้ตลาดนี้เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่นักลงทุนใช้ตลาดนี้เพื่อค้นหามูลค่าที่แท้จริงของราคาในขณะนั้น
ในทางกลับกัน ตลาด Futures คือ ตลาดที่มีการซื้อขาย สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contract) ซึ่งระบุ “ราคา” และ “วันที่ส่งมอบ” ของสินทรัพย์ในอนาคต สัญญา Futures เป็นข้อตกลงแบบมาตรฐานที่ซื้อขายบนตลาดที่มีการกำกับดูแล เช่น Chicago Mercantile Exchange (CME) หรือ Intercontinental Exchange (ICE)
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์อาจซื้อสัญญา น้ำมันดิบ Futures ที่ราคา 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับการส่งมอบในอีกสามเดือนข้างหน้า ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีการส่งมอบน้ำมันจริง มีเพียง “ข้อตกลงทางการเงิน” เท่านั้น เมื่อถึงวันครบกำหนด ส่วนใหญ่ของผู้เทรดจะปิดสถานะด้วยการขายสัญญาตรงข้าม แทนที่จะรับมอบสินค้าจริง
ตลาด Futures ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถ ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา (Hedging) หรือ เก็งกำไร (Speculation) ตามการคาดการณ์ทิศทางของตลาดได้ ตามข้อมูลจาก Futures Industry Association (FIA) มีการซื้อขายสัญญา Futures ทั่วโลกมากกว่า 50 พันล้านสัญญาในปี 2024 ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลาย ตั้งแต่น้ำมัน โลหะ ดอกเบี้ย ไปจนถึงดัชนีหุ้น
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดอยู่ที่เวลา
ตลาด Spot: การซื้อขายเกิดขึ้นทันที โดยมักชำระภายใน 2 วันทำการ
ตลาด Futures: การส่งมอบและชำระเงินจะเกิดขึ้นในอนาคต มักอยู่ระหว่าง 1–6 เดือนข้างหน้า
ราคาของตลาด Spot สะท้อนมูลค่าปัจจุบันของสินทรัพย์ ขณะที่ราคาของตลาด Futures จะรวมต้นทุนเพิ่มเติม เช่น ค่าจัดเก็บ ดอกเบี้ย และการคาดการณ์อุปสงค์-อุปทานในอนาคต
ตัวอย่าง: หากราคาทองคำในตลาด Spot อยู่ที่ 2,400 ดอลลาร์ และสัญญา Futures 3 เดือนอยู่ที่ 2,420 ดอลลาร์ ส่วนต่าง 20 ดอลลาร์นี้คือ “ค่าถือครองและความคาดหวังในอนาคต”
ตลาด Spot: ดึงดูดนักเทรดระยะสั้น ผู้นำเข้า-ส่งออก และนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องทันที
ตลาด Futures: นิยมในหมู่นักลงทุนสถาบัน ผู้ป้องกันความเสี่ยง และบริษัทใหญ่ เช่น สายการบินที่ต้องการ “ล็อกต้นทุนน้ำมัน” ล่วงหน้า
ตลาด Spot: โดยเฉพาะตลาด Forex เป็นตลาดแบบ Over-the-Counter (OTC) หรือ กระจายศูนย์ ซึ่งราคาต่อรองกันโดยตรงระหว่างธนาคาร โบรกเกอร์ และเทรดเดอร์
ตลาด Futures: เป็นตลาดที่ซื้อขายผ่านศูนย์กลางกลาง (Exchange) ทำให้ทุกธุรกรรมผ่านกระบวนการตรวจสอบจาก Clearing House เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงจากคู่สัญญา
ตลาด Spot (โดยเฉพาะ Forex): มักให้เลเวอเรจสูงถึง 200:1 กับโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแล เหมาะกับนักเทรดที่ต้องการใช้เงินลงทุนน้อยแต่ควบคุมสถานะใหญ่
ตลาด Futures: มีเลเวอเรจต่ำกว่าและอยู่ภายใต้การควบคุมของตลาดซื้อขาย มีข้อกำหนดมาร์จิ้นเข้มงวดเพื่อจำกัดความเสี่ยงของระบบโดยรวม
ทองคำเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการเปรียบเทียบระหว่างการเทรดในตลาด Spot และ ตลาด Futures
ทองคำ Spot (XAU/USD): นักลงทุนซื้อขายตามราคาทองคำสดในขณะนั้น ตามอุปสงค์จริงของทองคำทางกายภาพหรือทองคำดิจิทัล
ทองคำ Futures (GC): ซื้อขายบนตลาด CME (Chicago Mercantile Exchange) โดยสัญญาเหล่านี้ถูกใช้โดยโรงกลั่น ผู้ผลิตเครื่องประดับ และกองทุนต่าง ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาทองในอนาคต
เมื่อตลาดคาดว่าราคาทองจะสูงขึ้นราคาของสัญญา Futures มักจะอยู่เหนือราคา Spot สถานะนี้เรียกว่า “Contango” ในทางกลับกัน เมื่อความต้องการในทันทีมีมากกว่าราคาของ Futures จะต่ำกว่าราคา Spot เรียกว่า “Backwardation” รูปแบบทั้งสองนี้ช่วยให้นักเทรดมองเห็นแนวโน้ม ความคาดหวังของตลาด และแรงกดดันจากต้นทุนการจัดเก็บ
ในปี 2025 ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญา Futures ระยะเวลา 3 เดือนมักมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย เนื่องจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยและการคาดการณ์ความต้องการในอนาคต
การเก็งกำไรในระยะสั้น: เทรดเดอร์ Forex ใช้เพื่อจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงสั้น ๆ
โอกาสในการเก็งกำไร: ใช้เพื่อเก็งกำไรจากส่วนต่างราคาขนาดเล็กระหว่างโบรกเกอร์หรือภูมิภาคต่าง ๆ
การชำระเงินขององค์กร: บริษัทใช้ตลาด Spot เพื่อชำระค่าสินค้านำเข้า-ส่งออกตามราคาปัจจุบัน
การป้องกันความเสี่ยง: สายการบินซื้อน้ำมันล่วงหน้าเพื่อล็อกต้นทุนเชื้อเพลิง หรือเกษตรกรขายสัญญาธัญพืชล่วงหน้าเพื่อล็อกราคาขายผลผลิต
การเก็งกำไรในระดับมหภาค: กองทุนต่าง ๆ ใช้ Futures เพื่อวางมุมมองต่อเงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือทิศทางนโยบายของธนาคารกลาง
การกระจายความเสี่ยง: นักลงทุนใช้ Futures เพื่อเข้าถึงสินค้าหรือดัชนีโดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์จริง
จริง ๆ แล้วไม่มีตลาดใด “ดีกว่า” อีกตลาดหนึ่งโดยเด็ดขาด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และกรอบเวลาในการลงทุน
ตลาด Spot เหมาะกับผู้เทรดที่ต้องการความยืดหยุ่น การดำเนินคำสั่งรวดเร็ว และสภาพคล่องสูง
ตลาด Futures เหมาะกับผู้ที่ต้องการ ความโปร่งใส มาตรฐานสัญญาที่ชัดเจน และการป้องกันความเสี่ยงระยะยาว
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ Forex รายวัน (Day Trader) ที่วิเคราะห์ความผันผวนของคู่เงิน EUR/USD อาจชอบตลาด Spot เพราะให้ผลลัพธ์ทันที ในขณะที่ ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ที่ต้องการล็อกราคาขายล่วงหน้า 6 เดือน จะเลือกใช้ตลาด Futures เป็นหลัก

ปริมาณการซื้อขายรายวันของตลาด Forex Spot: ประมาณ 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลจาก BIS)
ปริมาณการซื้อขายสัญญา Futures ทั่วโลก: มากกว่า 50 พันล้านสัญญาในปี 2024 (ข้อมูลจาก FIA)
ราคาทองคำ Spot: เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 2,350 – 2,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในไตรมาส 4 ปี 2025
สัญญา Futures น้ำมันดิบเบรนท์: ซื้อขายอยู่ที่ราว 84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับสัญญาใกล้ครบกำหนด สะท้อนถึงความคาดหวังด้านอุปทานที่ค่อนข้างคงที่
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ทั้งตลาด Spot และตลาด Futures ยังคงมีสภาพคล่องสูงและเชื่อมโยงกันในระดับโลก ซึ่งส่งผลต่อทุกอย่างตั้งแต่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไปจนถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์
เพราะราคาของ Futures รวมต้นทุนต่าง ๆ เช่น ค่าจัดเก็บ ดอกเบี้ย และความคาดหวังของตลาดในอนาคต ขณะที่ราคา Spot สะท้อนถึงอุปสงค์และอุปทานในปัจจุบัน
ได้แน่นอน เทรดเดอร์จำนวนมากใช้ตลาด Spot เพื่อเทรดระยะสั้น และใช้สัญญา Futures เพื่อ ป้องกันความเสี่ยงหรือสร้างสถานะลงทุนระยะยาว
ทั้งสองตลาดมีความเสี่ยงในรูปแบบต่างกัน
ตลาด Spot มักมีความผันผวนสูงในระยะสั้น
ตลาด Futures มีความเสี่ยงด้านมาร์จิ้น (Margin Risk) และอาจขาดทุนได้ หากราคาขยับสวนทางกับสถานะที่เปิดไว้
ตลาด Spot และตลาด Futures คือโครงสร้างหลักของระบบการเทรดสมัยใหม่ ในตลาด Spot เปรียบเหมือน “จังหวะหัวใจ” ของราคาทั่วโลก แสดงให้เห็นว่ามูลค่าสินทรัพย์เป็นเท่าใดใน “ตอนนี้” ขณะที่ตลาด Futures คือ “ภาพสะท้อน” ของอนาคต แสดงให้เห็นว่าตลาดคาดการณ์ว่าราคาจะไปในทิศทางใด
การเข้าใจทั้งสองตลาดช่วยให้เทรดเดอร์สามารถรับมือกับความผันผวน จัดการความคาดหวัง และสร้างสมดุลระหว่างความทันทีและมุมมองระยะยาว ในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “ตอนนี้” และ “อนาคต” คือกุญแจสู่ความสำเร็จในการเทรด
Spot Price: ราคาปัจจุบันของสินทรัพย์ที่ชำระและส่งมอบทันที
สัญญา Futures: ข้อตกลงในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ณ วันครบกำหนดในอนาคต
Contango: ภาวะที่ราคาของ Futures สูงกว่าราคา Spot
Backwardation: ภาวะที่ราคาของ Futures ต่ำกว่าราคา Spot
Margin Call: การที่โบรกเกอร์เรียกเงินเพิ่มเพื่อรักษาสถานะการเทรดที่ใช้เลเวอเรจ เมื่อมูลค่าบัญชีลดต่ำเกินระดับที่กำหนด
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ