เรียนรู้วิธีใช้ Pivot Point แบบคลาสสิกในการเทรดจุดกลับตัวและการเบรกทะลุแนวรับแนวต้าน พร้อมกลยุทธ์ที่อิงจากแนวรับ แนวต้าน และพฤติกรรมของราคา
ในโลกของการวิเคราะห์ทางเทคนิค มีเครื่องมือไม่กี่ชนิดที่ผ่านการทดสอบของเวลาและได้รับความนิยมเทียบเท่ากับ Pivot Point เดิมทีได้รับการพัฒนาโดยเทรดเดอร์ในตลาดฟิวเจอร์สยุคแรก ๆ Pivot Point ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเทรดระหว่างวัน (Intraday) ที่นิยมใช้มากที่สุดทั้งในตลาด Forex สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี และหุ้น
แนวคิดหลักของการเทรดด้วย Pivot Point คือการระบุระดับราคาสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับและแนวต้าน เพื่อช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์จุดกลับตัวที่เป็นไปได้ของราคา บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกลยุทธ์ Pivot Point แบบรายวัน ตั้งแต่วิธีการคำนวณ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้จริงในการเทรดในตลาดยุคปัจจุบัน
หัวใจสำคัญของการเทรดด้วย Pivot Point คือสูตรคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ที่ใช้ราคาสูงสุด ต่ำสุด และราคาปิดของวันก่อนหน้า เพื่อคำนวณระดับราคาที่คาดการณ์สำหรับวันปัจจุบัน
Pivot Point มาตรฐาน (PP) คำนวณได้ดังนี้:
PP = (สูง + ต่ำ + ปิด) / 3
เมื่อได้ค่าศูนย์กลางแล้ว จึงคำนวณระดับแนวรับและแนวต้าน:
R1 = (2 × PP) − ต่ำ
S1 = (2 × PP) − สูง
R2 = PP + (สูง − ต่ำ)
S2 = PP − (สูง − ต่ำ)
บางครั้งยังมีการคำนวณ R3 และ S3 สำหรับกรณีที่ราคาเคลื่อนไหวแรงเป็นพิเศษ
ระดับเหล่านี้จะกลายเป็นกรอบอ้างอิงตลอดทั้งวัน เช่น หากราคาซื้อขายอยู่เหนือ PP แสดงถึงโมเมนตัมขาขึ้น ขณะที่ราคาต่ำกว่า PP มักบ่งชี้ถึงภาวะขาลง
แพลตฟอร์มการเทรดต่าง ๆ เช่น TradingView, MetaTrader และ Thinkorswim สามารถแสดงระดับ Pivot Point อัตโนมัติ
หลักการสำคัญในการเทรดด้วย Pivot Point คือใช้ PP เป็นตัวกรองแนวโน้มประจำวัน:
หากราคาอยู่เหนือ PP แนวโน้มของวันนั้นถือว่าเป็นขาขึ้น
หากราคาต่ำกว่า PP แนวโน้มถือว่าเป็นขาลง
แนวทางนี้ช่วยให้นักเทรดตัดสินใจได้ว่า:
ควรเทรดในทิศทางใดเป็นหลัก
ควรใช้ระดับแนวรับหรือแนวต้านเป็นจุดเข้าเทรด
ตัวอย่างเช่น หากน้ำมันดิบ WTI เปิดตลาดเหนือ Pivot และยังคงยืนเหนือได้ นักเทรดอาจรอจังหวะซื้อเมื่อราคาย่อตัวกลับมาที่ PP หรือ S1 และตั้งเป้ากำไรที่ R1 หรือ R2
หลักการนี้ยังช่วยลดสัญญาณรบกวนด้วยการไม่สนับสนุนการซื้อขายสวนทางแนวโน้ม เว้นแต่จะได้รับการสนับสนุนจากสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่ง
กลยุทธ์ยอดนิยมอย่างหนึ่งคือ “Bounce” หรือการเล่นกลับตัวจากระดับ Pivot หรือแนวรับ/แนวต้านหลัก
ตัวอย่าง:
หากราคาเปิดใกล้ PP แล้วลงมาที่ S1 และเกิดแท่งเทียนกลับตัวขาขึ้น (เช่น hammer หรือ bullish engulfing)
นักเทรดสามารถเข้า long ใกล้ S1
จุดตัดขาดทุน: ต่ำกว่า S2
จุดทำกำไร: PP หรือ R1
ในขณะเดียวกัน หากราคาขึ้นไปถึง R1 หรือ R2 แล้วเกิดสัญญาณกลับตัวขาลง ก็สามารถเปิด short ได้ตามเงื่อนไขเดียวกัน
กลยุทธ์นี้เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบ (range-bound) และมักใช้ในกราฟ 15 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง โดยนักเทรดบางคนอาจใช้ RSI หรือ MACD ช่วยยืนยันความแรงของการกลับตัว
ตรงข้ามกับกลยุทธ์ Bounce กลยุทธ์ Breakout จะเน้นจังหวะที่ราคาทะลุระดับสำคัญ เช่น R1, R2 หรือ S1, S2 พร้อมปริมาณการซื้อขายหรือแท่งเทียนที่แรง
ตัวอย่าง Breakout Long:
ราคาทะลุ R1 พร้อมแท่งเทียนขาขึ้นและปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
จุดเข้า: หลังปิดแท่งเทียนเหนือ R1
จุดตัดขาดทุน: ใต้ R1 เล็กน้อย
เป้าหมายกำไร: R2 หรือ R3
ตัวอย่าง Breakout Short:
ราคาทะลุS1
จุดตัดขาดทุน: เหนือ S1
เป้าหมาย: S2 หรือ S3
กลยุทธ์นี้เหมาะกับตลาดที่มีแนวโน้มแรง โดยเฉพาะในช่วงเปิดตลาดลอนดอนหรือนิวยอร์ก ซึ่งมักมีปริมาณเทรดจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่
นอกจากนี้ยังเหมาะกับการเทรดในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตัวเลขน้ำมันคงคลัง หรือปัจจัยเร่งราคาหุ้น
Pivot Point จะทรงพลังยิ่งขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือ Price Action ได้แก่:
แท่งเทียนกลับตัว เช่น doji, hammer, shooting star
รูปแบบ engulfing ที่ระดับ Pivot
ปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นใกล้ R1 หรือ S1 แสดงความสนใจของนักลงทุนสถาบัน
ตัวอย่างเช่น:
ราคาลงมาถึง S1 และเกิดแท่ง hammer พร้อมวอลุ่มเพิ่มขึ้น บ่งชี้โอกาสกลับตัวขึ้นไปหา PP
หากราคาขึ้นถึง R2 แล้วเกิดแท่ง bearish engulfing แสดงแรงขายอาจเปิด short ได้
การรอให้เกิดสัญญาณยืนยันก่อนเข้าเทรดที่โซน Pivot จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดการเข้าเทรดที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เช่น น้ำมัน NASDAQ หรือ GBP/USD
กลยุทธ์ Pivot Point แบบคลาสสิกเป็นวิธีวิเคราะห์ราคาในระหว่างวันที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังโดยอิงจากข้อมูลราคาที่เป็นวัตถุวิสัย ทำให้นักเทรดมีกรอบการตัดสินใจที่ชัดเจนทั้งในแนวโน้มและจุดกลับตัว
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่ต้องการโครงสร้างในการวางแผน หรือเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพที่มองหาจุดเข้าเทรดที่มีความน่าจะเป็นสูง การเข้าใจวิธีใช้ Pivot Point อย่างถูกต้องสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดได้อย่างมาก
เคล็ดลับเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:
ใช้ Pivot Point ร่วมกับการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด
เพิ่มตัวกรองความผันผวน เช่น ATR หรือช่วงเวลาเทรดที่มีวอลุ่ม
รอการยืนยันจากแท่งเทียนหรืออินดิเคเตอร์โมเมนตัม
หากคุณฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและใช้เวลาอยู่กับกราฟอย่างมีวินัย การเทรดด้วย Pivot Point จะกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงของกลยุทธ์ทางเทคนิคของคุณได้อย่างแท้จริง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ไขข้อสงสัย "ค่าสเปรด คิดยังไง"? เจาะลึกส่วนต่างราคา Bid/Ask ต้นทุนสำคัญในการเทรด พร้อมคำนวณค่าสเปรด
2025-07-15อยากเทรดทองคำแต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เปิดหลักการพื้นฐานทำไมทองคำถึงเป็นที่น่าสนใจในหมู่เทรเดอร์ พร้อมคำศัพทฺ์ควรรู้ก่อนลงตลาดเทรดทอง
2025-07-15ค้นพบว่าการทับซ้อนของ ETF อาจส่งผลเสียต่อพอร์ตการลงทุนของคุณได้อย่างไร และคุณสามารถดำเนินการอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มการกระจายความเสี่ยงให้สูงสุด
2025-07-15