แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำอยู่ที่ 3,293 ดอลลาร์ เบรนท์อยู่ที่ 66.84 ดอลลาร์

2025-06-30
สรุป

ราคาทองคำพุ่งแตะระดับ 3,290.51 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาน้ำมันดิบเบรนท์แตะระดับ 66.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่อุปสงค์ของสินทรัพย์ปลอดภัยและความเสี่ยงด้านอุปทานน้ำมันส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกในวันที่ 30 มิถุนายน 2568

ตลาดทองคำและน้ำมันกลับมามีแรงขับเคลื่อนอีกครั้งในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยและความกังวลเกี่ยวกับอุปทานจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระดับโลก


ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 ราคาทองคำขยับขึ้นแตะ 3,293 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้นแตะ 66.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สะท้อนถึงปัจจัยผสมผสานระหว่างมุมมองของนักลงทุน การเคลื่อนไหวของค่าเงิน และสภาพเศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนแปลง


แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำและน้ำมันเป็นผู้นำตลาด

ราคาทองคำ

ราคาทองคำพุ่งแตะระดับ 3,293 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2025 เพิ่มขึ้น 0.68% จากวันก่อนหน้า แม้ว่าราคาทองคำจะลดลงเพียงเล็กน้อย 2.7% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ราคาทองคำยังคงเพิ่มขึ้นมากกว่า 41% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งตอกย้ำสถานะของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยม ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลกและการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ


ปัจจัยหลักที่สนับสนุนการปรับขึ้นของราคาทองคำในรอบล่าสุด ได้แก่:


  • ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์: รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจรุนแรงขึ้นในตะวันออกกลาง รวมไปถึงความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ได้กระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำเพื่อความปลอดภัย


  • ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง: ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) ร่วงลงแตะระดับ 97.09 ทำให้ทองคำมีราคาถูกลงในสายตาผู้ซื้อจากต่างประเทศ และส่งผลให้ความต้องการเพิ่มขึ้น


  • นโยบายของธนาคารกลาง: แนวโน้มที่ระมัดระวังของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการที่ Moody ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ได้เพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด ส่งผลให้ทองคำยิ่งน่าดึงดูดในฐานะที่พักเงิน


ทั้งนี้ ทองคำเคยทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือนเมษายน 2025 แม้จะมีการปรับฐานลงบ้าง แต่ราคายังได้รับแรงหนุนจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์อย่างต่อเนื่อง


ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้นแตะ 66.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 ปรับขึ้น 0.07% จากวันก่อนหน้า โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมา เบรนท์เพิ่มขึ้น 3.43% แต่ยังคงต่ำกว่าระดับเมื่อปีก่อนถึงเกือบ 23%


ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อตลาดน้ำมัน ได้แก่:


  • ความเสี่ยงด้านอุปทานในตะวันออกกลาง: รายงานเกี่ยวกับการดำเนินการที่เป็นไปได้ของอิสราเอลต่อโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ก่อให้เกิดความกลัวต่อการหยุดชะงักของอุปทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการส่งออกน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียได้รับภัยคุกคาม


  • ข้อมูลคลังน้ำมัน: สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้น 4.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้า สวนทางกับคาดการณ์ว่าจะมีการลดลง สะท้อนถึงอุปทานที่ยังคงแข็งแกร่ง


  • การเจรจาหยุดยิง: ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาหยุดยิงระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียในกรณียูเครน ยังคงมีอิทธิพลต่อความเสี่ยงในตลาดพลังงาน


แม้จะมีแรงกดดันขาขึ้น แต่ราคาน้ำมันเบรนท์ยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 2025 อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงผลของการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯและความต้องการทั่วโลกที่ยังไม่แน่นอน


จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ลดลง


จากข้อมูลของ Baker Hughes จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ ณ ปลายเดือนมิถุนายน 2025 อยู่ที่ 432 แท่น ซึ่งลดลงจาก 473 แท่นในเดือนพฤษภาคม การลดลงของกิจกรรมแท่นขุดเจาะดังกล่าวเป็นสัญญาณว่าการขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอุปทานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอุปสงค์ทั่วโลกแข็งแกร่งขึ้นหรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น


กระแสการเคลื่อนไหวในวงกว้างของสินค้าโภคภัณฑ์และค่าเงิน

กราฟ DXY ของสหรัฐฯ

  • ความโดดเด่นของทองคำ: การที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นถึง 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนที่เหนือกว่าสินทรัพย์ดั้งเดิมส่วนใหญ่ และตอกย้ำบทบาทของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทั้งด้านเงินเฟ้อและความเสี่ยงเชิงระบบ


  • ความผันผวนของตลาดน้ำมัน: แม้ว่าราคาน้ำมันเบรนท์จะฟื้นตัวเล็กน้อยในเดือนมิถุนายน แต่ตลาดยังคงอ่อนไหวต่อทั้งข้อมูลคลังน้ำมันและการพัฒนาทางภูมิรัฐศาสตร์


  • ผลกระทบจากค่าเงิน: การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในวงกว้าง เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่กำหนดราคาด้วยสกุลเงินดอลลาร์ ทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น


สรุป


ในระยะข้างหน้า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ยังมีแนวโน้มผันผวน โดยนักลงทุนจะจับตาดูสถานการณ์ในตะวันออกกลางและยูเครนอย่างใกล้ชิด รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคจากสหรัฐฯ จีน และยุโรป ตลอดจนนโยบายของธนาคารกลาง โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)


การผสมผสานระหว่างความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ความเสี่ยงด้านอุปทาน และการเคลื่อนไหวของค่าเงิน จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาทองคำและน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปี 2025


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

เงินเฟ้อ PPI สหรัฐพุ่งแรงรอบ 3 ปี ทำตลาดหุ้นสะดุด ฉุดทองลง

เงินเฟ้อ PPI สหรัฐพุ่งแรงรอบ 3 ปี ทำตลาดหุ้นสะดุด ฉุดทองลง

ดัชนี PPI สหรัฐพุ่งแรงในรอบ 3 ปี หุ้นสหรัฐแกว่ง ดอลลาร์แข็ง ฉุดทองคำร่วง นักลงทุนจับตาเฟดและเจรจาสหรัฐ-รัสเซียเขย่าตลาดทั่วโลก

2025-08-15
กลยุทธ์เทรดตามเกมทรัมป์ ยังคงทรงพลัง

กลยุทธ์เทรดตามเกมทรัมป์ ยังคงทรงพลัง

แม้ความต้องการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงจะฟื้นตัว แต่ค่าเงินฟรังก์สวิสยังคงปรับขึ้นกว่า 10% และมีความสัมพันธ์กับทองคำ ทำให้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนเลือกเป็นอันดับต้นๆ

2025-08-14
ดัชนี PPI มาดี: จะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์และนโยบายการเงินอย่างไร?

ดัชนี PPI มาดี: จะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์และนโยบายการเงินอย่างไร?

ตัวเลขดัชนี PPI มีความสำคัญสูง เนื่องจากจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์และความคาดหวังอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่อาจปรับเปลี่ยนได้

2025-08-14