การลงทุนในหุ้น Value คือการเลือกซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในตลาด โดยมีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสเติบโตเมื่อตลาดตระหนักถึงศักยภาพของบริษัท
หุ้น Value vs. หุ้น Growth
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ คำถามหนึ่งที่มักจะต้องเผชิญคือ จะเลือกลงทุนในหุ้น Value (หุ้นที่มีมูลค่า) หรือหุ้น Growth (หุ้นที่เติบโต) ดี? ทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน การเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองจะช่วยเสริมโอกาสการลงทุนได้อย่างมาก
หุ้น Value คือหุ้นของบริษัทที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หุ้นดีราคาถูก” บริษัทเหล่านี้มักมีความมั่นคงและได้รับการยอมรับในตลาด แต่บางครั้งอาจไม่ได้รับความนิยมในช่วงเวลาหนึ่ง การลงทุนในหุ้นประเภทนี้คือการคาดหวังว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และตลาดเริ่มตระหนักถึงศักยภาพที่แท้จริงของบริษัท
ส่วนหุ้น Growth คือหุ้นของบริษัทที่คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดด บริษัทเหล่านี้มักจะนำกำไรกลับมาลงทุนขยายธุรกิจแทนการจ่ายเงินปันผล การลงทุนในหุ้นประเภทนี้น่าสนใจแต่มีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากผลการดำเนินงานในอนาคตขึ้นอยู่กับความคาดหวังที่อาจเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น Johnson & Johnson บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสุขภาพที่มีประวัติการดำเนินงานที่มั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในบางช่วงที่ตลาดไม่แน่นอน ราคาหุ้นอาจต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนที่เข้าใจพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทอาจมองว่าหุ้นนี้เป็นหุ้น Value และคาดหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไปตลาดจะเริ่มปรับราคาให้สะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ในทางตรงกันข้าม หุ้น Growth เช่น Tesla หรือ Amazon อาจดูน่าสนใจในช่วงที่ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจไม่สามารถบรรลุตามความคาดหวังที่สูงได้
ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ? เพราะหุ้น Value มักถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่มั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น Growth โดยทั่วไปแล้ว หุ้น Value อาจไม่ให้ผลตอบแทนที่สูงทันทีเหมือนหุ้น Growth แต่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และช่วยป้องกันความผันผวนของตลาดได้ดี เนื่องจากราคาหุ้นเหล่านี้ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นตามการรับรู้ศักยภาพของบริษัท
เมื่อใดควรลงทุนในหุ้นValue
การลงทุนในหุ้น Value ต้องอาศัยการจับจังหวะที่ดี ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของโชคเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการมองหาสภาวะตลาดที่เหมาะสมอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวหรือเมื่อราคาหุ้นเริ่มกลับตัวจากช่วงที่ตกต่ำ หุ้น Value มักมีโอกาสเติบโตที่ดี เพราะบริษัทที่มีมูลค่าต่ำจะได้รับความสนใจจากเทรดเดอร์เมื่อความเชื่อมั่นในตลาดเริ่มกลับมา เช่นเดียวกับ General Motors (GM) และ Bank of America ที่สามารถฟื้นตัวได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจของพวกเขายังคงแข็งแกร่งแม้เคยเผชิญปัญหาชั่วคราวก็ตาม
ในทางกลับกัน การลงทุนในหุ้น Value ช่วงตลาดกระทิง (bull market) อาจจะท้าทายขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากหุ้น Growth มักได้รับความนิยมมากกว่า นักลงทุนมองหาผลตอบแทนที่รวดเร็วจากหุ้นเหล่านี้ ขณะที่หุ้น Value อาจถูกมองข้ามไป
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอนหรือในตลาดหมี (bear market) นักลงทุนหลายคนมักจะหันไปลงทุนในหุ้น Growth เพื่อหวังผลตอบแทนที่เร็ว แต่ในช่วงนี้หุ้น Value มักจะราคาถูกที่สุด เช่นเดียวกับบริษัทพลังงานอย่าง Chevron และ ExxonMobil ที่มักมีมูลค่าต่ำเมื่อราคาน้ำมันตกต่ำ แต่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อความต้องการกลับมา หากคุณมีมุมมองการลงทุนระยะยาวและอดทนรอให้ตลาดตระหนักถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท คุณอาจได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำหรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง หุ้น Value มักเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดีสำหรับผู้ที่พร้อมทนต่อความผันผวนของตลาดจนกว่าจะฟื้นตัว
ผลการดำเนินงานของหุ้น Value ในตลาดกระทิงและตลาดหมี
การเข้าใจผลการดำเนินงานของหุ้น Value ในสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในตลาดกระทิงและตลาดหมี จะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจน ในตลาดกระทิง ซึ่งเศรษฐกิจกำลังเติบโต และความรู้สึกของนักลงทุนมักเป็นไปในทางบวก หุ้น Growth มักจะได้รับความนิยมมากกว่า เพราะนักลงทุนมักพร้อมที่จะรับความเสี่ยงเพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทำให้ความสนใจส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่บริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าหุ้น Growth จะได้รับความนิยมในช่วงตลาดกระทิง แต่หุ้น Value ก็ยังสามารถทำผลงานได้ดีโดยเฉพาะในช่วงท้ายของตลาดกระทิง เมื่อเศรษฐกิจเติบโตมาสักระยะหนึ่ง นักลงทุนบางส่วนเริ่มมองหาหุ้นที่ราคาถูกลงซึ่งจะดึงความสนใจกลับไปที่บริษัทที่มีมูลค่าต่ำ ตัวอย่างเช่น Berkshire Hathaway ซึ่งเป็นหุ้น Value แบบคลาสสิก มักได้รับความสนใจเมื่อสภาวะตลาดเริ่มร้อนเกินไป เนื่องจากนักลงทุนมองหาธุรกิจที่มั่นคงราคาถูกและมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เมื่อถึงจุดนี้ตลาดอาจมีการปรับตัว หุ้น Value มักจะได้รับประโยชน์จากการที่นักลงทุนหันไปหาตัวเลือกที่มั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำกว่า
ในทางตรงกันข้าม ในช่วงตลาดหมี ซึ่งเศรษฐกิจกำลังหดตัว และราคาหุ้นตกต่ำ หุ้น Value มักให้ความมั่นคงมากกว่า เทรดเดอร์มักหันมาสนใจหุ้นประเภทนี้ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและคาดเดาผลลัพธ์ได้ดีกว่าในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอน ตัวอย่างเช่น Walmart ในช่วงที่ตลาดตกต่ำ ความต้องการสินค้าจำเป็นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ราคาหุ้นของ Walmart สามารถรักษามูลค่าได้ดีกว่าหุ้น Growth ที่มักมีความผันผวนสูง เช่น เดียวกับ Procter & Gamble บริษัทสินค้าผู้บริโภคชั้นนำที่มักทำผลงานได้ดีในช่วงตลาดหมี เนื่องจากความต้องการสินค้าภายในบ้านของพวกเขายังคงสม่ำเสมอ
ข้อคิดสำคัญคือ หุ้น Value สามารถช่วยปกป้องการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน แม้จะไม่โดดเด่นในช่วงตลาดกระทิง แต่ในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอนหรือในตลาดหมี มักจะทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นที่มีความผันผวนสูง
การรวมหุ้น Value เข้ากับกลยุทธ์การลงทุนอื่น ๆ
แม้ว่าหุ้น Value จะเป็นตัวเลือกที่มีคุณค่าในตัวเอง แต่สามารถเสริมประสิทธิภาพให้กับกลยุทธ์การลงทุนอื่น ๆ ได้ เช่น การลงทุนในหุ้น Growth หรือหุ้นปันผล การรวมหุ้น Value เข้ากับการลงทุนประเภทต่าง ๆ ช่วยให้พอร์ตการลงทุนของคุณมีความหลากหลายและสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเลือกลงทุนในหุ้น Value ร่วมกับหุ้น Growth เพื่อกระจายความเสี่ยง และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาหุ้นตัวเดียวมากเกินไป ในขณะที่หุ้น Growth ให้โอกาสผลตอบแทนสูง หุ้น Value จะช่วยป้องกันความเสี่ยง หากตลาดเกิดการตกต่ำ หากมุ่งเน้นแค่หุ้น Growth อาจทำให้คุณพลาดความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาวที่หุ้น Value สามารถมอบให้ได้
อีกทางเลือกหนึ่งคือการเสริมหุ้น Value ที่จ่ายปันผลเข้าไปในพอร์ตของคุณ นอกจากจะสร้างรายได้แบบ Passive แล้ว คุณยังสามารถได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นได้อีกด้วย หุ้นที่จ่ายปันผลมักมีความเสถียรสูง ซึ่งเหมาะสมกับหุ้น Value ที่เน้นความมั่นคงและไม่ผันผวนมาก
นอกจากนี้ หุ้น Value ยังสามารถรวมเข้ากับกองทุนดัชนีหรือ ETF เพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังบริษัทต่าง ๆ ทำให้คุณสามารถผ่านช่วงเวลาที่หุ้นบางตัวมีผลการดำเนินงานไม่ดี และยังสามารถเข้าถึงอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่บางครั้งอาจมีหุ้นที่มีมูลค่าต่ำซ่อนอยู่
พลังของการผสมผสานหุ้น Value เข้ากับกลยุทธ์การลงทุนอื่น ๆ คือการปรับให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้และเป้าหมายทางการเงินของคุณ ไม่ว่าคุณจะมองหาการเติบโต รายได้ หรือความมั่นคง การเพิ่มประเภทนี้เข้าไปในพอร์ตการลงทุนจะช่วยให้การกระจายความเสี่ยงและการสร้างสมดุลในพอร์ตของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สรุปได้ว่า หุ้น Value ถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุน แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้สร้างความตื่นเต้นในทันทีเหมือนหุ้น Growth แต่หุ้น Value มอบเส้นทางที่มั่นคงและเชื่อถือได้ในการสร้างกำไรระยะยาว หากคุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างหุ้น 2 ประเภทนี้ รวมถึงรู้ว่าเมื่อใดควรลงทุนในหุ้น Value และเข้าใจการทำงานของมันในสภาวะตลาดต่าง ๆ คุณจะสามารถตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้นและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกับกลยุทธ์การลงทุนอื่น ๆ สิ่งสำคัญคือความอดทน ติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะคว้าโอกาสเมื่อมันมาถึง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์หรือเพิ่งเริ่มต้น หุ้น Value สามารถมอบความมั่นคงและโอกาสในการเติบโตที่คุณต้องการในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่สมดุลและหลากหลาย
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้วิธีการซื้อขายทองคำล่วงหน้าด้วยคู่มือที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นนี้ ค้นพบพลวัตของตลาด ปัจจัยด้านราคา ประเภทของสัญญา กลยุทธ์ และการจัดการความเสี่ยง
2025-03-25เรียนรู้วิธีตั้งค่าคำสั่ง trailing stop สำหรับหุ้นและการซื้อขายฟอเร็กซ์ ค้นหาวิธีปรับ stop-loss แบบไดนามิกเพื่อล็อกกำไรและลดการสูญเสีย
2025-03-25เรียนรู้ Money Flow Index (MFI) ด้วยกลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เรียนรู้วิธีการระบุสภาวะซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไปเพื่อการซื้อขายที่ดีขึ้น
2025-03-25