ราคาทองคำร่วง 8%: กังวลฟองสบู่หรือการย่อตัวที่ดี?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ราคาทองคำร่วง 8%: กังวลฟองสบู่หรือการย่อตัวที่ดี?

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-22   
อัปเดตเมื่อ: 2025-10-24


ทองคำเพิ่งเผชิญกับการร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 12 ปี โดยร่วงลงกว่า 8% ภายในวันเดียว หลังจากเพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่เหนือระดับ 4,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ราคาทอง


ในขณะเดียวกัน ราคาเงิน (Silver) ปรับตัวลงสู่ระดับ 48.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ลดลงเกือบ 9%

ราคาเงิน

ตลาดเผชิญกับการเทขายโลหะมีค่าหลายตัว ส่งผลให้มีการประเมินความเสี่ยงใหม่ในวงกว้างและมีการขายทำกำไรจำนวนมาก


ด้านล่างนี้เราจะอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเกิดขึ้น ใครได้รับผลกระทบ และนักลงทุนควรจับตาดูอะไรต่อไป


สิ่งที่เกิดขึ้นและความสำคัญของเหตุการณ์นี้


1) การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงสามวันที่ผ่านมา

ราคาทองในช่วง 3 วันที่ผ่านมา

ราคาทองคำมีความผันผวนสูงในช่วงสามวันที่ผ่านมา โดยมีการแกว่งตัวอย่างรุนแรงระหว่างวัน


ในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม ทองคำแตะระดับสูงสุดที่ 4,368.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก่อนจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงในวันถัดมา


ภายในเย็นวันอังคาร ราคาทองคำลดลงสู่ระดับ 4,038.27 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ คิดเป็นการลดลงประมาณ 7.6% เนื่องจากแรงขายทำกำไรและความเชื่อมั่นด้านความเสี่ยงที่เริ่มผ่อนคลาย ส่งผลให้ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง


ในวันพุธที่ 22 ตุลาคม ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวอย่างผันผวน โดยหลังจากดีดตัวขึ้นแตะระดับ 4,149.59 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงเช้าตลาดเอเชีย ราคาทองกลับอ่อนตัวลงสู่ระดับ 4,016.17 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงเช้าของตลาดนิวยอร์ก ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาที่ระดับ 4,083.37 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เมื่อปิดตลาด


ณ เวลา 04:51:12 น. ของวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2025 ตามเวลานิวยอร์ก ราคาทองคำซื้อขายอยู่ที่ 4,068 ดอลลาร์ต่อออนซ์


โดยรวมแล้ว ราคาทองคำทรงตัวใกล้ระดับ 4,070 ดอลลาร์ หลังจากเกิดการปรับฐานรุนแรงในช่วงต้นสัปดาห์ ซึ่งสะท้อนถึงการเข้าสู่ช่วงพักฐานทางเทคนิคในระยะสั้น ท่ามกลางแรงดึงระหว่างการขายทำกำไรและแรงซื้อเพื่อถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย


2) ทำไมถึงสำคัญ

การกลับตัวอย่างรวดเร็วครั้งนี้เน้นย้ำถึงความเปราะบางของการพุ่งขึ้นของราคาทองคำในปัจจุบันและเน้นย้ำถึงความอ่อนไหวของตลาดต่อการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติความเสี่ยงระดับโลก


เป็นเวลาหลายเดือนที่ทองคำได้รับประโยชน์จากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ การคาดการณ์การเติบโตที่ชะลอตัว และการซื้อของธนาคารกลางในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

6 Month Gold Price in USD per oz


อย่างไรก็ตาม เมื่อความต้องการรับความเสี่ยงของนักลงทุนเริ่มฟื้นตัว และค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า นักลงทุนก็เร่งปรับพอร์ตออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างรวดเร็ว


ระดับราคาปัจจุบันที่ใกล้เคียง 4,070 ดอลลาร์สหรัฐ บ่งชี้ว่าตลาดกำลังทดสอบแนวรับระยะสั้น โดยนักวิเคราะห์มีความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย บางส่วนมองว่านี่อาจเป็นสัญญาณสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น ขณะที่อีกส่วนมองว่าเป็นเพียงการปรับฐานที่แข็งแรงภายในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว


การร่วงลงแรงกว่าของราคาเงินยิ่งตอกย้ำมุมมองว่าอาจมีการเก็งกำไรเกินจริงเกิดขึ้นในตลาดโลหะมีค่า


สำหรับนักลงทุนสถาบัน ตอนนี้ถือเป็นการเตือนใจถึงธรรมชาติสองด้านของทองคำ: การป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน แต่ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงซึ่งอาจเกิดภาวะสภาพคล่องที่ลดลงอย่างกะทันหันอีกด้วย


สัปดาห์ที่จะถึงนี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญในการตัดสินว่าแรงซื้อจะกลับเข้ามาในระดับราคาที่ต่ำกว่านี้ หรือว่าตลาดกำลังเข้าสู่กระบวนการปรับมูลค่าความเสี่ยงของโลหะมีค่าในเชิงลึกมากขึ้น


การเคลื่อนไหวของทองคำและเงินโดยสังเขป
ตัวชี้วัด
การเคลื่อนไหว (ระหว่างวัน) ระดับที่น่าสังเกต
การปรับตัวลงของราคาทองคำสปอต ประมาณ 6.3% ต่ำสุดที่ 4,082.03 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
การปรับตัวลงของราคาเงินสปอต ประมาณ 8.7% ต่ำสุดที่ประมาณ 47.89 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
สถิติสูงสุดก่อนหน้านี้ ราคาทองคำเคยซื้อขายเหนือระดับ 4,300–4,400 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงไม่กี่วันก่อนการร่วงลง
ปฏิกิริยาของตลาด มีแรงเคลื่อนไหวรุนแรงในกองทุน ETF และตราสารอนุพันธ์ ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองทองคำปรับตัวลงอย่างมาก


ทำไมราคาทองคำจึงร่วงลง

กองแท่งทองคำ

การร่วงลงของราคาทองคำครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์เดียว แต่เป็นผลจากปัจจัยหลายประการที่รวมกันและทำให้ความเชื่อมั่นของตลาดเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว


1) การขายทำกำไรหลังจากราคาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรง จนตัวชี้วัดทางเทคนิคหลายตัวเข้าสู่เขต “ซื้อมากเกินไป” (Overbought)


ทั้งนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยที่เข้าซื้อในช่วงปลายของการปรับขึ้น ต่างใช้โอกาสนี้เพื่อทำกำไร ส่งผลให้เกิดคำสั่งขายจำนวนมากต่อเนื่องกัน จนแรงขายมีมากเกินกว่าที่แรงซื้อจะรับไว้ได้ในระดับราคานั้น


2) ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและความต้องการรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

การฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทำให้ความต้องการซื้อทองคำจากผู้ลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่นลดลง เนื่องจากทองคำมีการกำหนดราคาซื้อขายเป็นดอลลาร์สหรัฐในตลาดโลก ในเวลาเดียวกัน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มดีขึ้น เช่น สัญญาณความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งลดความจำเป็นในการถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะสั้น


การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลโดยตรงให้ความต้องการทองคำลดลงตามลำดับ


3) ข่าวเฉพาะเกี่ยวกับภาคธนาคารและปัจจัยด้านเครดิต

ข่าวที่เกี่ยวข้องกับกรณีการทุจริตและการขาดทุนของธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนต้องปรับพอร์ตและประเมินความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและเครดิตใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารธนาคารระดับสูงหลายรายระบุว่า เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นกรณีเฉพาะตัว (Idiosyncratic) ไม่ได้เป็นปัญหาในเชิงระบบโดยรวมของภาคการเงิน


โดยสรุป ข่าวด้านธนาคารช่วยเพิ่มความผันผวนให้ตลาด แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักของการร่วงลงในครั้งนี้


4) การปรับตัวทางเทคนิคและสถานะของตราสารอนุพันธ์

การถือครองตราสารอนุพันธ์ขนาดใหญ่และการใช้เลเวอเรจสามารถขยายขนาดของการเคลื่อนไหวของราคาได้มากกว่าปกติ


เมื่อราคาทองคำปรับลงจนกระทบระดับ Stop Loss และเกิดการเรียกหลักประกัน (Margin Call) จำนวนมาก ผู้ดูแลสภาพคล่องและกองทุนต่าง ๆ อาจจำเป็นต้องขายต่อเนื่อง ซึ่งยิ่งเร่งให้ราคาทองคำร่วงแรงกว่าที่ปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียวจะอธิบายได้


ผลกระทบต่อตลาดโดยรวมจากการลดลงของราคาทองคำ

Gold Bars


1) สำหรับนักลงทุน

  • ผู้ถือระยะสั้น และ ผู้ซื้อขายตามโมเมนตัม ประสบกับการสูญเสียฉับพลัน และความผันผวนเพิ่มสูงขึ้น

  • ผู้ถือครองระยะยาว ได้รับการเตือนว่า แม้จะมีชื่อเสียงในด้านทองคำ แต่ก็สามารถลดลงอย่างรวดเร็วได้ และควรได้รับการปฏิบัติในฐานะผู้กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ไม่ใช่สินทรัพย์ที่ไม่มีความผันผวน


2) สำหรับบริษัทเหมืองทองคำและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม

  • หุ้นในกลุ่มเหมืองแร่ โดยเฉพาะผู้ผลิตที่มีต้นทุนสูง ร่วงลงตามราคาทองคำแท่ง เนื่องจากอัตรากำไรมีความอ่อนไหวต่อราคาตลาด

  • ราคาทองคำที่ลดลง อาจทำให้การสำรวจและโครงการที่มีต้นทุนสูงบางโครงการล่าช้า ขณะเดียวกันก็ช่วยบรรเทาปัญหาให้กับผู้ผลิตเครื่องประดับที่ต้องเผชิญกับต้นทุนปัจจัยการผลิตที่ลดลง


3) สำหรับนโยบายและธนาคารกลาง

  • การซื้อของธนาคารกลางและอุปสงค์อย่างเป็นทางการในระยะยาว ยังคงเป็นรากฐานโครงสร้างที่สำคัญ นักวิเคราะห์เตือนว่ารูปแบบการซื้ออย่างเป็นทางการอาจลดทอนการปรับฐานที่ลึกลงไปในระยะยาว


ปัจจัยขับเคลื่อนและผลกระทบในระยะใกล้ที่อาจเกิดขึ้นจากการร่วงลงของราคาทองคำ
แรงขับเคลื่อน เหตุผลที่มีความสำคัญ ผลกระทบระยะสั้นที่คาดการณ์
การขายทำกำไร / ภาวะซื้อมากเกินไปทางเทคนิค การปรับขึ้นก่อนหน้ามากเกินไปทำให้ตลาดอยู่ในสภาวะเปราะบาง ความผันผวนยังคงสูง มีโอกาสเกิดการดีดตัวระยะสั้น (Relief Rally) หรือการบีบให้ซื้อคืน (Short Squeeze) เพิ่มเติม
ความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ทองคำมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น กดดันความต้องการซื้อจริงของทองคำ เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของราคา
การผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า / การยอมรับความเสี่ยงที่ดีขึ้น ลดแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย กดดันราคาทองคำในระยะสั้น เว้นแต่ความเสี่ยงจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ข่าวในภาคธนาคาร กระทบส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและการรับรู้ด้านสภาพคล่อง เพิ่มความผันผวนของตลาดและขยายการตอบสนองต่อข่าวในทางลบ


บทสรุป


การร่วงลงของราคาทองคำและเงินในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนถึงความผันผวนที่แท้จริงของตลาดโลหะมีค่า แม้การปรับตัวลงจะรุนแรง แต่โดยรวมแล้วมองว่าเป็น “การปรับฐานที่ดี” มากกว่าจะเป็นจุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น


นักลงทุนควรรักษาวินัยในการลงทุน ติดตามตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมหภาคอย่างใกล้ชิด และใช้โอกาสจากการปรับฐานครั้งนี้เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนอย่างมีกลยุทธ์


คำถามที่พบบ่อย


คำถามที่ 1: ทำไมราคาทองคำและเงินจึงลดลง?

การขายทำกำไร ดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น และความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่คลี่คลายลง ส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง


คำถามที่ 2: การร่วงลงครั้งนี้รุนแรงแค่ไหน?

ราคาทองคำและซิลเวอร์ปรับตัวลงอย่างรุนแรงและชัดเจน โดยราคาทองคำสปอตลดลงสู่ระดับ 4,068 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ คิดเป็นการร่วงลงกว่า 8% ขณะที่เงินปรับตัวลงสู่ระดับ 48.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ลดลงเกือบ 9% สะท้อนถึงแรงขายทำกำไรและความกังวลในตลาดอย่างกว้างขวาง


คำถามที่ 3: แนวโน้มขาขึ้นของทองคำสิ้นสุดแล้วหรือยัง?

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าการปรับฐานครั้งนี้เป็นเพียงการพักตัวระยะสั้น ขณะที่แนวโน้มระยะยาวของทองคำยังคงแข็งแกร่ง ปัจจัยอย่างการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ยังคงเป็นแรงสนับสนุนให้ราคาทองคำมีโอกาสฟื้นตัวในอนาคต


คำถามที่ 4: นักลงทุนควรรับมืออย่างไร?

การปรับฐานครั้งนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ปกติของตลาด นักลงทุนระยะยาวสามารถพิจารณาเข้าซื้อสะสมทองคำหรือซิลเวอร์ในระดับราคาที่ต่ำกว่า ขณะที่นักลงทุนระยะสั้นควรระมัดระวังมากขึ้น โดยติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และสัญญาณจากธนาคารกลาง ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางราคาทองคำในอนาคต


คำถามที่ 5: โลหะมีค่าประเภทอื่นได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่?

ได้รับผลกระทบเช่นกัน เงินและโลหะมีค่าประเภทอื่นมักมีความผันผวนสูงกว่าทองคำในช่วงที่ตลาดเผชิญแรงขาย ราคามักเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงตามความเชื่อมั่นของนักลงทุน การไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย และการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐหรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร ซึ่งยิ่งขยายผลกระทบของการปรับฐานในตลาดโดยรวม


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ราคาซิลเวอร์ทำสถิติสูงสุด: ควรซื้อ เพิ่มถือ หรือถึงเวลาทำกำไร?
ตลาดร่วงแรงวันนี้เพราะอะไร? วิเคราะห์ปัจจัยกระทบและสัญญาณสำคัญ
ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรง จากความกังวล AI และกระแสเงินทุนไหลออก
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่น 20 ปีพุ่งแตะระดับสูงสุดรอบปี 1999 นักลงทุนควรอ่านอะไรจากสัญญาณนี้?
ตลาดจับตาแรง! งบการเงิน Nvidia และตัวเลข CPI เขย่าทิศทางการลงทุน