เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-15 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-16
รูปแบบ Rally Base Rally (RBR) คือโครงสร้างของ Price Action ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่นักเทรดที่ศึกษาแนวคิดเรื่อง อุปสงค์และอุปทาน (Supply & Demand) โดยแก่นหลักของรูปแบบนี้คือ การที่ราคามีการ “พุ่งขึ้น – หยุดพัก – แล้วพุ่งขึ้นต่อ” ซึ่งสร้าง โซนอุปสงค์ (Demand Zone) ที่สามารถใช้เป็นจุดเข้าเทรดได้อย่างมีการควบคุมความเสี่ยงอย่างชัดเจน
บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดของรูปแบบ RBR กลไกตลาดที่อยู่เบื้องหลัง วิธีระบุโซนที่มีความน่าจะเป็นสูง กฎการเข้า–ออกเทรดเชิงปฏิบัติ ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย และแนวทางการประยุกต์ใช้รูปแบบนี้ในหลายกรอบเวลาและสินทรัพย์ต่าง ๆ
รูปแบบ RBR คือโครงสร้างราคาที่ประกอบด้วย 3 ช่วงหลัก ได้แก่
Rally (พุ่งขึ้น): การเคลื่อนไหวของราคาที่พุ่งขึ้นอย่างชัดเจน แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
Base (พักตัว): ช่วงที่ราคาหยุดพักและเคลื่อนไหวในกรอบแคบ มีความผันผวนน้อย แสดงถึงช่วงสะสมออเดอร์
Rally (พุ่งขึ้นอีกครั้ง): การกลับมาพุ่งขึ้นอย่างมีแรงอีกครั้ง ยืนยันว่า “ฐานราคา (Base)” นั้นทำหน้าที่เป็นโซนอุปสงค์ (Demand Zone)
เมื่อรูปแบบ RBR ปรากฏอย่างชัดเจน “ฐาน” มักบ่งบอกถึงโซนอุปสงค์ที่มีการสะสมคำสั่งซื้อไว้ในช่วงพักตัว ซึ่งคำสั่งเหล่านี้สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับ (Support) เมื่อราคากลับมาทดสอบอีกครั้งในภายหลัง ดังนั้น นักเทรดมักมองฐานนี้เป็นบริเวณที่เหมาะสมในการ “เข้าซื้อ” โดยตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ต่ำกว่าโซนนั้นอย่างมีเหตุผล
พฤติกรรมของสถาบัน: ผู้เล่นรายใหญ่ เช่น สถาบันการเงินหรือกองทุน มักเป็นผู้สร้างการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง (Rally) แล้ว “หยุดพัก” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายย่อยเข้ามา หรือเพื่อดูดซับสภาพคล่องในตลาด ช่วงพักตัวนั้น หรือ Base มักเป็นบริเวณที่ยังมีคำสั่งซื้อของสถาบันที่ยังไม่ถูกจับคู่ (Unfilled Orders) และในเวลาเดียวกันก็มีคำสั่งซื้อใหม่สะสมเพิ่มขึ้น เมื่อแรงซื้อกลับมาอีกครั้ง โครงสร้างราคาจะปรากฏเป็น Rally ครั้งที่สอง
ความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทาน: การพุ่งขึ้นครั้งแรกบ่งบอกว่า “แรงซื้อ” มีอำนาจเหนือ “แรงขาย” ชั่วคราว ส่วนช่วง Base เป็นระยะสมดุลระยะสั้นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย และเมื่อราคาพุ่งขึ้นอีกครั้ง แสดงว่าแรงซื้อกลับมาครอบงำตลาดอีกครั้ง ส่งผลให้เกิดโมเมนตัมขาขึ้น
การรวมสภาพคล่อง: ช่วง Base มักเป็นบริเวณที่สะสมคำสั่ง Stop Loss และ Limit Orders จำนวนมาก เมื่อราคากลับมาทดสอบโซนนั้นอีกครั้ง คำสั่งเหล่านี้จะกลายเป็นสภาพคล่อง (Liquidity) ที่ช่วยขับเคลื่อนราคาขึ้นต่อ
ใช้เช็กลิสต์ต่อไปนี้เมื่อคุณพบรูปแบบ RBR ที่อาจเกิดขึ้นได้ ยิ่งมีเงื่อนไขตรงตามมากเท่าไร โอกาสที่เซตอัพนั้นจะมีความแข็งแกร่งและน่าเทรดก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
รายการตรวจสอบ (Checklist) | เหตุผลที่สำคัญ |
---|---|
การพุ่งขึ้นเริ่มต้นชัดเจน — มีแท่งเทียนแรง หรือความชันสูง | แสดงถึงแรงซื้อจริง ไม่ใช่การเคลื่อนตัวช้าแบบไม่มีแรง |
ฐานราคาเห็นได้ชัด — กรอบแคบ แท่งเทียนตัวเล็ก ความผันผวนต่ำ | บ่งบอกถึงการพักตัวและการสะสม ไม่ใช่ตลาดที่ผันผวนแบบไร้ทิศทาง |
ระยะเวลาฐานสั้นถึงปานกลาง (ไม่ยืดเยื้อเกินไป) | ฐานที่นานเกินไปมักลดความแม่นยำของโซน |
โปรไฟล์ปริมาณการซื้อขาย — ปริมาณลดลงในช่วงฐาน และเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดการเบรกหรือพุ่งขึ้นอีกครั้ง | ปริมาณยืนยันถึงการกลับมาของแรงซื้อจากสถาบัน |
บบริบท — รูปแบบสอดคล้องกับแนวโน้มใหญ่ขึ้นหรือตรงกับแนวรับหลัก | รูปแบบที่อยู่ในแนวโน้มหลักมีโอกาสต่อเนื่องสูงกว่า |
โครงสร้างเป็นระเบียบ — ไม่มีรูปแบบตรงข้าม (เช่น RBD) แทรกอยู่ | เพื่อยืนยันว่าฐานนั้นเป็น “โซนอุปสงค์” จริง ไม่ใช่โซนกระจาย (Distribution) |
ด้านล่างนี้คือกฎการเทรดที่ใช้กันทั่วไปและสามารถปรับให้เหมาะกับกรอบเวลาและขนาดพอร์ตของคุณได้ โดยหลักเกณฑ์เหล่านี้ออกแบบมาให้ “อนุรักษ์นิยม” เพื่อให้ความเสี่ยงถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน
รอให้ราคากลับมาทดสอบบริเวณฐาน (Base) หรือโซนอุปสงค์ (Demand Zone) จากนั้นตั้งคำสั่ง Buy Limit หรือ Buy Stop เหนือแท่งเทียนขาขึ้นแรงแท่งแรกที่แสดงถึงการเริ่มพุ่งขึ้นอีกครั้ง (Re-Rally)
เข้าเทรดเมื่อราคา “ทะลุ” กรอบพักตัวขึ้นไป พร้อมการยืนยันด้วยแท่งเทียนเบรกเอาต์ (และอาจรอให้มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นยืนยันอีกชั้น) รูปแบบนี้มีความ “เชิงรุก” มากกว่า แต่ให้ความเสี่ยง-ผลตอบแทน (R:R) แย่ลงหากพลาดการรีเทสต์กลับมา
เข้าซื้อบางส่วนเมื่อราคาเบรกออก (หรือรีเทสต์ครั้งแรก) แล้วเพิ่มปริมาณการซื้อเมื่อราคากลับมาทดสอบอีกครั้งในจุดที่ดีกว่า
อนุรักษ์นิยม: ตั้ง Stop ไว้ “ต่ำกว่าไส้เทียนที่ต่ำสุดของฐาน” หรือ “ต่ำกว่าระดับราคาต่ำสุดของฐาน”
แบบแน่น: ตั้ง Stop ต่ำกว่าโครงสร้างย่อยภายในฐาน (Micro-structure Low) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจำกัดความเสี่ยง แต่ยอมรับได้หากถูก Stop ก่อนที่ราคาจะไปต่อ
แบบตัดสินชัดเจน: วาง Stop ในตำแหน่งที่โครงสร้างจะ “สูญเสียความถูกต้อง” เช่น หากราคาปิดต่ำกว่าฐานอย่างชัดเจน
ใช้ระดับราคาสูงก่อนหน้า (Prior Swing High) หรือใช้ Measured Move ความสูงของการพุ่งขึ้นครั้งแรก (Rally แรก) ฉายขึ้นจากฐาน รวมถึงสามารถใช้ Fibonacci Extension เพื่อประเมินเป้าหมายเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงขั้นต่ำที่ 1.5:1 ถึง 3:1 ขึ้นอยู่กับอัตราชนะ (Win Rate) และวิธีบริหารจัดการเทรดของคุณ
พารามิเตอร์ | ตัวอย่างอนุรักษ์นิยม | ตัวอย่างเชิงรุก |
---|---|---|
Entry | ซื้อเมื่อราคากลับมาทดสอบฐาน | ซื้อเมื่อแท่งเทียนเบรกออกปิดเหนือฐาน |
Stop | ต่ำกว่าฐาน 8–12 pips (ในตลาด FX) / 0.5–1% (ในหุ้น) | ต่ำกว่าโครงสร้างย่อย 4–6 pips / 0.2–0.5% |
Target | Swing High ก่อนหน้า / 1.5× ความเสี่ยง | Fibonacci 1.618 / 3× ความเสี่ยง |
ขนาดการเปิดสถานะ (Position Sizing) | เสี่ยง 0.5–1% ของพอร์ตต่อการเทรด | เสี่ยง 1–2% ของพอร์ตต่อการเทรด |
หมายเหตุ: ปรับระยะ Stop และขนาดการเทรดให้เหมาะสมกับความผันผวนของสินทรัพย์ที่คุณเทรดเสมอ
แม้ว่าอินดิเคเตอร์อย่างปริมาณการซื้อขายและโมเมนตัมจะไม่จำเป็นต้องมี แต่การใช้สามารถเพิ่ม “ความน่าจะเป็นของความสำเร็จ” ได้อย่างมาก
ปริมาณ: รูปแบบ RBR ที่แข็งแรงมักจะแสดงให้เห็นว่า ช่วง Base มีปริมาณการซื้อขาย “ลดลง” ขณะที่ Rally ครั้งที่สอง หรือ ช่วง Breakout มีปริมาณ “เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน”สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าตลาดได้ดูดซับออเดอร์ในช่วงพักตัวแล้ว และแรงซื้อกำลังกลับมาอย่างมีพลัง
โมเมนตัม (RSI/MACD): ควรใช้โมเมนตัมเพื่อ “ยืนยัน” มากกว่าหา Divergence หากเห็นโมเมนตัม “สนับสนุน” การพุ่งขึ้นครั้งที่สอง (Re-Rally) ถือเป็นสัญญาณบวก แต่ถ้าเห็น Divergence (เช่น RSI ไม่ขึ้นตามราคา) ให้ใช้เป็น “สัญญาณเตือน” แทนการเข้าเทรด
การยืนยันจาก Price Action: หากในช่วง Rally ครั้งที่สองปรากฏแท่งเทียนขาขึ้นแรง เช่น Bullish Engulfing หรือชุดแท่งเทียนเร่งตัวต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่ม “ความมั่นใจ” ในการเข้าเทรด
รูปแบบ RBR เป็นแนวคิดที่ใช้ได้ในหลายกรอบเวลา และ “บริบทของกรอบเวลาที่สูงกว่า” มีความสำคัญมาก
กรอบเวลาที่สูงขึ้น (รายวัน/รายสัปดาห์): ใช้เพื่อระบุแนวโน้มหลักของตลาด (Trend Bias) และหาพื้นที่อุปสงค์ขนาดใหญ่ RBR บนกราฟรายวันมีน้ำหนักมากกว่ารูปแบบเดียวกันบนกราฟ 15 นาที
กรอบเวลาที่ต่ำกว่า (H1/15 นาที): ใช้หาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำขึ้น เช่น การรีเทสต์ หรือฐานขนาดเล็กภายในโซนใหญ่
RBR แบบซ้อน: มักพบว่า RBR รายวันหนึ่งรูปแบบ ประกอบด้วย RBR ย่อยหลายชุดบนกราฟรายวัน การเข้าเทรดที่สอดคล้องกับโซนของกรอบเวลาที่ใหญ่กว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จ
เข้าใจผิดว่าความผันผวนคือ Base: หาก “ฐาน” มีแท่งเทียนกว้างหรือซ้อนทับกันมาก แสดงถึงความผันผวน ไม่ใช่การสะสมจริง ควรเลือกฐานที่ชัดเจนและกรอบแคบ
เทรดสวนแนวโน้มของกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า: เช่น เข้า RBR รายชั่วโมงในขาลงรายวัน มักมีโอกาสสำเร็จน้อย ควรเทรดไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก
ไม่สนใจปริมาณการซื้อขาย: หากการพุ่งขึ้นครั้งที่สองเกิดขึ้นโดยไม่มีปริมาณสนับสนุน แสดงถึงแรงซื้ออ่อนและมีโอกาสล้มเหลวสูง
ตั้ง Stop แน่นเกินไป: การวาง Stop ภายใน “เสียงรบกวนของโครงสร้างราคา” (Noise) ทำให้โดนตัดขาดทุนก่อนเวลา ควรวาง Stop ในตำแหน่งที่ “โครงสร้างหมดความถูกต้องจริง ๆ” เช่น ราคาปิดต่ำกว่าฐานอย่างชัดเจน
Forex: โซน RBR เกิดขึ้นบ่อยในตลาดฟอเร็กซ์ และสามารถให้ “ความเสี่ยงที่แคบ” ได้หากเข้าเทรดในทิศทางเดียวกับช่วงเวลาการซื้อขายหลัก (เช่น London / New York Session) และคำนึงถึงความผันผวนของคู่เงินนั้น ๆ ใช้เครื่องมือ Average True Range (ATR) เพื่อกำหนดระยะ Stop Loss ให้เหมาะสมกับความผันผวนของตลาด
หุ้น: รูปแบบ RBR บนกราฟรายวันมักสะท้อนถึง “การสะสมหุ้นโดยสถาบัน” (Institutional Accumulation) โดยปริมาณการซื้อขาย (Volume) จะเป็นตัวช่วยยืนยันที่ชัดเจนกว่าตลาดอื่น
สินค้าโภคภัณฑ์และคริปโต: ตลาดเหล่านี้มีความผันผวนสูง จึงมักเกิด RBR ได้รวดเร็วและอาจมี “สัญญาณหลอก (False Breakout)”ดังนั้นควรเน้นเข้าเทรดแบบ Retest Entry และใช้ Stop ที่ “กว้างขึ้น” เพื่อป้องกันการโดนตัดขาดทุนก่อนเวลา
Confluence กับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: หากฐาน (Base) เกิดใกล้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 ช่วง (EMA50) ที่กำลังชันขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น จะช่วยเพิ่มแรงสนับสนุนของโซนนั้น
Fibonacci Confluence: หากฐานของ RBR อยู่ในช่วงย้อนกลับ (Retracement) 38.2%–61.8% ของ Swing ใหญ่ จะเพิ่ม “คุณภาพของโซน” และความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
Price-Volume Profile / Market Profile: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์โปรไฟล์ปริมาณการซื้อขายเพื่อดูว่า Base อยู่ในบริเวณที่มี High-Volume Node หรือไม่ เพราะบริเวณที่มีการซื้อขายหนาแน่นมักทำหน้าที่เป็นโซนอุปสงค์ที่แข็งแรง
ทดสอบย้อนหลัง (Backtest) กฎ RBR ของคุณ: สร้างสเปรดชีตง่าย ๆ เพื่อบันทึกข้อมูลทุกครั้งที่เทรดตามรูปแบบ RBR ได้แก่ สินทรัพย์ที่เทรด กรอบเวลา วันที่ ประเภทการเข้า (Retest / Breakout) ระยะ Stop และ Target พฤติกรรมของ Volume และผลลัพธ์การเทรด เมื่อบันทึกไปเรื่อย ๆ คุณจะรู้ว่ารูปแบบ RBR แบบใดให้ “ความได้เปรียบ” ที่เหมาะกับสไตล์ของคุณมากที่สุด
การทบทวนหลังการเทรด: วิเคราะห์กรณีที่ RBR ล้มเหลว โดยใส่บันทึกกำกับว่าเพราะเหตุใด เช่น บริบทของตลาดไม่สนับสนุน ข่าวเศรษฐกิจสร้างความผันผวนสูง มีโซนอุปทานขนาดใหญ่ตรงข้ามแนวทางเทรด สาเหตุเหล่านี้คือจุดที่ทำให้หลาย ๆ เซตอัพล้มเหลว การทบทวนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณปรับปรุงและพัฒนา “ความแม่นยำ” ของระบบเทรดได้ในระยะยาว
ระบุการพุ่งขึ้นครั้งแรก (Impulsive Rally) ให้ชัดเจน
ยืนยันว่ามี “ฐานราคา” (Base) ที่ชัดเจน — กรอบแคบ แท่งเทียนตัวเล็ก
ตรวจสอบแนวโน้มในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า (Higher Timeframe) เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในทิศทางเดียวกัน
สังเกตพฤติกรรมของปริมาณการซื้อขาย — ต่ำในช่วงฐาน และสูงขึ้นในช่วงพุ่งขึ้นครั้งที่สอง (Re-Rally)
เลือกวิธีเข้าเทรด: Retest Entry (แนะนำ) หรือ Breakout Entry
วางจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ในตำแหน่งที่โครงสร้างจะ “หมดความถูกต้อง”
ตั้งเป้าหมายกำไร (Target) อย่างสมเหตุสมผล และบริหารความเสี่ยงต่อเทรดให้ชัดเจน
หลังปิดออเดอร์ ให้ทบทวนผลลัพธ์และบันทึกข้อสังเกตไว้
RBR เป็นเครื่องมือเชิงโครงสร้างที่ช่วยให้นักเทรดเข้าใจว่า “แรงซื้อ” อยู่ตรงจุดใดในกราฟ อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่สูตรวิเศษที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับ บริบทของตลาด วินัย และการจัดการความเสี่ยง
ควรใช้รูปแบบ RBR ร่วมกับการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) การประเมินแนวโน้มในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า และการกำหนดขนาดการเปิดสถานะ (Position Sizing) ที่เหมาะสม เมื่อใช้อย่างระมัดระวัง โดยเน้นการเข้าแบบ Retest และตั้ง Stop Loss ตามโครงสร้างราคาอย่างมีเหตุผล RBR จะกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ให้โอกาสเทรดที่ “ทำซ้ำได้” และ “มีความเสี่ยงจำกัด” อย่างมืออาชีพ
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ