เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-05
ผลตอบแทน (Yield) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ตลาดยุคปัจจุบัน เพราะนักเทรดใช้มันเป็นตัวชี้วัดในการเปรียบเทียบความเสี่ยง ผลตอบแทน และศักยภาพในการสร้างรายได้จริงของสินทรัพย์แต่ละประเภท
สำหรับนักเทรด การเข้าใจผลตอบแทนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบสินทรัพย์ในสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ย หรือช่วงที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Credit Spreads) ขยายตัวท่ามกลางภาวะตลาดที่อ่อนไหวต่อความเสี่ยง

ผลตอบแทน (Yield) คือรายได้ที่เกิดจากการลงทุนภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยมักจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปีเมื่อเทียบกับต้นทุนของสินทรัพย์หรือมูลค่าตลาดของสินทรัพย์นั้น
ในการเทรด ผลตอบแทนช่วยให้นักลงทุนประเมินได้ว่าสินทรัพย์ให้รางวัลคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่ต้องรับหรือไม่ ปัจจุบันแนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น พันธบัตร หุ้นที่จ่ายเงินปันผล หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ กองทุนตลาดเงิน รวมถึงกลยุทธ์สร้างกระแสรายได้ที่ซับซ้อนในตลาดการเงินยุคใหม่
ผลตอบแทน ไม่ใช่ “กำไรจากราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น” แต่เน้นเฉพาะกระแสเงินสดที่ได้รับจริง เช่น ดอกเบี้ยพันธบัตร เงินปันผล หรือการจ่ายผลตอบแทนเป็นรอบๆ

แม้สูตรการคำนวณจะต่างกันไปตามประเภทของสินทรัพย์ แต่แนวคิดหลักยังคงเหมือนเดิม คือ:
ผลตอบแทน = รายได้สุทธิที่ได้รับ / จำนวนเงินลงทุน
สมมติว่าคุณซื้อพันธบัตรขนาดเล็กหนึ่งฉบับในราคา 100
ตลอดทั้งปี พันธบัตรนั้นจ่ายดอกเบี้ยให้คุณ 5%
โดยใช้สูตร:
ผลตอบแทน = รายได้สุทธิที่ได้รับ / จำนวนเงินลงทุน
เมื่อนำตัวเลขมาแทน:
ผลตอบแทน = 5 / 100 = 0.05 (5 %)
ดังนั้น การลงทุนนี้ให้ผลตอบแทน 5% ต่อปี จากรายได้ที่ได้รับจริงเท่านั้น ไม่รวมกำไรจากการขึ้นของราคา
ผลตอบแทนพันธบัตร: คำนวณจาก “ดอกเบี้ยคูปอง” หารด้วย “ราคาตลาดปัจจุบันของพันธบัตร”
อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล: คำนวณจาก “เงินปันผลต่อปีต่อหุ้น” หารด้วย “ราคาตลาดของหุ้นในปัจจุบัน”
ผลตอบแทนตลาดเงิน: คำนวณจากดอกเบี้ยที่ได้รับในสินทรัพย์อายุสั้น แล้วปรับให้อยู่ในรูปต่อปีเพื่อใช้เทียบเคียง
ผลตอบแทนถึงกำหนดไถ่ถอน (YTM): ตัวชี้วัดขั้นสูงของพันธบัตรที่รวมทั้ง “ดอกเบี้ยคูปอง” และ “กำไรหรือขาดทุนจากราคาพันธบัตร” หากถือจนถึงวันครบกำหนด
ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้นักเทรดสามารถเปรียบเทียบพันธบัตร หุ้นที่เน้นรายได้ และสินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ ผ่านโครงสร้างผลตอบแทน (Yield Curve) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลตอบแทนทำหน้าที่เป็นทั้งเกณฑ์อ้างอิงด้านราคา เครื่องมือวัดความเสี่ยง และตัวชี้วัดผลกำไรในตลาดการเงิน
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผลตอบแทนเป็นปัจจัยที่นักเทรดต้องจับตา:
ความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย: ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นเมื่อราคาสินทรัพย์ลดลง สภาพแวดล้อมที่ผลตอบแทนเพิ่มสูงมักบ่งชี้ถึงการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้น
การประเมินความเสี่ยง: ผลตอบแทนที่สูงขึ้นอาจสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านเครดิตที่มากขึ้น ความผันผวนในตลาด หรือความกังวลด้านสภาพคล่อง
การเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างสินทรัพย์: นักเทรดใช้ผลตอบแทนเพื่อเปรียบเทียบสินทรัพย์ที่มีอายุหรือระดับความเสี่ยงใกล้เคียงกันว่าตัวไหนคุ้มค่าน่าลงทุนกว่า
ผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ: ผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) = ผลตอบแทนที่ระบุ – อัตราเงินเฟ้อ ช่วยวัดกำลังซื้อจริงของนักลงทุน
การวัดประสิทธิภาพการลงทุน: ผู้จัดการพอร์ตใช้ผลตอบแทนเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกลยุทธ์ที่เน้นรายได้กับมาตรฐานตลาด เช่น ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
ความสัมพันธ์เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่นโยบายการเงินมีการเปลี่ยนแปลง หรือเมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระดับมหภาค ซึ่งมักทำให้เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ชันขึ้นหรือกลับด้าน ส่งผลโดยตรงต่อตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้
เน้นเฉพาะ “รายได้ที่ได้รับ” ไม่ใช่ผลตอบแทนรวม บอกให้นักเทรดรู้ว่าพวกเขาได้รับรายได้เท่าไรเมื่อเทียบกับราคาตลาดของพันธบัตร
เป็นตัวชี้วัดแบบครบถ้วน แสดงผลตอบแทนทั้งหมดที่ผู้ถือพันธบัตรจะได้รับหากถือจนถึงวันครบกำหนด รวมทั้งดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงของราคา และสมมติฐานการนำดอกเบี้ยไปลงทุนต่อ
ใช้กับพันธบัตรที่ผู้ออกสามารถไถ่คืนได้ก่อนกำหนด นักเทรดใช้ YTC ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยลดลง เพราะผู้ออกพันธบัตรอาจไถ่คืนเพื่อนำไปรีไฟแนนซ์ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า
ใช้กับหุ้น ช่วยให้นักเทรดประเมินว่าหุ้นตัวหนึ่งให้รายได้แข่งขันได้เมื่อเทียบกับพันธบัตรหรือสินทรัพย์เงินสดหรือไม่
เป็นผลตอบแทนที่ปรับเงินเฟ้อแล้ว เพื่อสะท้อนกำลังซื้อที่แท้จริง ผลตอบแทนประเภทนี้มีความสำคัญในตลาดเงิน สินทรัพย์เชื่อมโยงเงินเฟ้อ และกลยุทธ์มาโคร
ผลตอบแทนจะเคลื่อนไหวตามความคาดหวังทางเศรษฐกิจ เมื่อเทรดเดอร์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะสูงขึ้น ผลตอบแทนของตราสารหนี้มักเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากผลตอบแทนลดลง มักสะท้อนถึงความคาดหวังการเติบโตที่ชะลอตัว ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น หรือการไหลไปสู่สินทรัพย์เชิงป้องกัน (Defensive Assets)
พฤติกรรมของเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ที่พบบ่อย:

เส้นอัตราผลตอบแทนปกติ: ตราสารที่มีอายุนานกว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า เนื่องจากความเสี่ยงและผลกระทบจากเงินเฟ้อที่มากขึ้นตามระยะเวลา
เส้นอัตราผลตอบแทนแบนราบ: บ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต
เส้นอัตราผลตอบแทนกลับด้าน: มักถูกตีความว่าเป็นสัญญาณเตือนของเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งส่งผลต่อการปรับน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุน
เส้นอัตราผลตอบแทนทรงโดม: ตราสารอายุปานกลางให้ผลตอบแทนสูงที่สุด สะท้อนแรงกดดันทางเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อในช่วงเวลาหนึ่ง
รูปแบบต่าง ๆ ของเส้นอัตราผลตอบแทนเหล่านี้ช่วยชี้แนะแนวทางให้นักเทรดสร้างกลยุทธ์ เช่น การเลือกถือครองตามอายุพันธบัตร (Duration), กลยุทธ์ Steepener, Flattener และการทำ Arbitrage ข้ามตลาด
| ข้อดีของผลตอบแทน | ข้อจำกัดของผลตอบแทน |
|---|---|
| ช่วยให้เปรียบเทียบสินทรัพย์ต่างประเภทได้ง่ายขึ้น | ไม่รวมผลกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น เว้นแต่ใช้ตัวชี้วัดขั้นสูงอย่าง YTM |
| สื่อสารศักยภาพรายได้ได้อย่างชัดเจน | อาจทำให้เข้าใจผิดได้ หากสินทรัพย์มีความเสี่ยงด้านเครดิตหรือสภาพคล่อง |
| ช่วยประเมินความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน | ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาดอย่างมาก |
| รองรับการวิเคราะห์เชิงมหภาคและเชิงมูลค่า | อาจไม่สะท้อนผลตอบแทนรวมสำหรับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง |
อัตราคูปอง: อัตราดอกเบี้ยประจำปีคงที่ของพันธบัตร คำนวณจากมูลค่าที่ตราไว้
อัตราการจ่ายเงินปันผล: วัดสัดส่วนของกำไรบริษัทที่จ่ายออกเป็นเงินปันผล
เส้นอัตราผลตอบแทน: กราฟแสดงผลตอบแทนของพันธบัตรตามช่วงอายุที่ต่างกัน
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง: อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเงินเฟ้อแล้ว แสดงผลตอบแทนที่แท้จริง
ไม่เหมือน ผลตอบแทน (Yield) วัดเฉพาะรายได้ที่ได้รับ ส่วนผลตอบแทนรวม (Return) รวมทั้งรายได้และการเปลี่ยนแปลงของราคา
เพราะผลตอบแทนคำนวณจากรายได้เทียบกับราคาปัจจุบัน เมื่อราคาลดลง รายได้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
Yield to Maturity (YTM) เพราะสะท้อนผลตอบแทนรวมที่คาดว่าจะได้รับหากถือพันธบัตรจนถึงวันครบกำหนด
ผลตอบแทนเป็นแนวคิดสำคัญในการเทรด เพราะเป็นตัวชี้วัดว่าทรัพย์สินหนึ่งให้รายได้มีประสิทธิภาพเพียงใด
ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตร หุ้นที่จ่ายเงินปันผล หรือกลยุทธ์แบบหลายสินทรัพย์ นักเทรดใช้ผลตอบแทนในการเปรียบเทียบทางเลือก ประเมินความเสี่ยง ทำความเข้าใจสภาพเศรษฐกิจมหภาค และสร้างกรอบการวิเคราะห์ตลาดที่เป็นระบบ
การเข้าใจวิธีคำนวณผลตอบแทน พฤติกรรมของมันในสภาวะต่าง ๆ และบทบาทในการตัดสินใจ ช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์ได้อย่างรอบคอบยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มตลาดโลกกำลังเปลี่ยนแปลง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ