OBV ย่อมาจากอะไร? เจาะลึกสัญญาณเทรดด้วย OBV

2025-08-07
สรุป

เรียนรู้ความหมายของ OBV ในการเทรด วิธีการทำงาน และวิธีใช้เครื่องมือวิเคราะห์จากปริมาณการซื้อขายนี้ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อขายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

ในการเทรด OBV ย่อมาจาก On-Balance Volume ซึ่งเป็นอินดิเคเตอร์สะสมปริมาณการซื้อขายที่ใช้ประเมินกิจกรรมการซื้อและขายทั้งหมดในตลาด


OBV ถูกพัฒนาโดย Joseph Granville ในช่วงปี 1960 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้ล่วงหน้า โดยอ้างอิงจากว่าปริมาณการซื้อขายนั้นสนับสนุนหรือสวนทางกับทิศทางของราคา


ในบทความนี้ เราจะอธิบายให้เข้าใจง่ายว่า OBV คืออะไร วิธีคำนวณและการตีความ ข้อดีและข้อจำกัด รวมถึงกลยุทธ์การใช้งาน OBV อย่างมีประสิทธิภาพในการเทรดของคุณ


OBV ย่อมาจากอะไร? ความหมายและที่มา

OBV ในการเทรด

ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ OBV ย่อมาจาก On-Balance Volume ซึ่งเป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ทรงพลัง โดยใช้วิเคราะห์แรงโมเมนตัมของตลาดผ่านพฤติกรรมของปริมาณการซื้อขาย


OBV ได้รับการพัฒนาโดย Joseph Granville นักวิเคราะห์การเงินชื่อดัง ซึ่งเปิดตัว OBV ครั้งแรกในหนังสือของเขาเมื่อปี 1963 ชื่อ Granville's New Key to Stock Market Profits


Granville มองว่าการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญมักเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ เขาเปรียบการเพิ่มขึ้นของ OBV ว่าเหมือนสปริงที่ถูกอัดแน่นพร้อมจะดีดตัว


วิธีคำนวณค่า OBV

วิธีการคำนวณ OBV

สูตรการคำนวณ OBV นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา:

หาก ราคาปิดวันนี้สูงกว่า เมื่อวาน:

  • OBV ปัจจุบัน = OBV ก่อนหน้า + ปริมาณการซื้อขายวันนี้


หาก ราคาปิดวันนี้ต่ำกว่า เมื่อวาน:

  • OBV ปัจจุบัน = OBV ก่อนหน้า – ปริมาณการซื้อขายวันนี้


หาก ราคาปิดของวันนี้เท่ากับ เมื่อวาน:

  • OBV ปัจจุบัน = OBV ก่อนหน้า


เนื่องจาก OBV เป็นค่าที่สะสมต่อเนื่อง ตัวเลข OBV ที่แน่นอนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางและความชันของเส้น OBV

  • หาก OBV มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แสดงถึงการสะสมหุ้น (แรงซื้อ)

  • หาก OBV มีแนวโน้มลดลง แสดงถึงการกระจายหุ้น (แรงขาย)


OBV เปิดเผยอะไรเกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาด?


หลักการสำคัญของ OBV คือ “ปริมาณนำหน้าราคา” กล่าวคือ หากมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าราคาจะยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็อาจเป็นสัญญาณล่วงหน้าของการปรับตัวขึ้น ในทางกลับกัน หากปริมาณลดลงในขณะที่ราคายังเพิ่มอยู่ อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังอ่อนแรง การเปรียบเทียบระหว่าง OBV กับกราฟราคาให้ผลลัพธ์ที่สำคัญ:

  • Convergence (OBV กับราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน) ยืนยันแนวโน้มที่แข็งแรง

  • Divergence (ราคาเพิ่มขึ้น แต่ OBV ลดลง หรือในทางกลับกัน) เป็นสัญญาณเตือนถึงการกลับตัวของราคา


นอกจากนี้ OBV ยังสามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันได้อีกด้วย เพราะผู้เล่นรายใหญ่มักจะเริ่ม "เข้าสะสม" โดยใช้ปริมาณการซื้อขายก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวตาม OBV จึงสามารถช่วยจับสัญญาณเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


วิธีใช้ OBV อย่างมีประสิทธิภาพในการเทรด

กลยุทธ์ OBV

การยืนยันแนวโน้ม

หากทั้งราคากับ OBV ต่างทำ “จุดสูงสุด” และ “จุดต่ำสุด” ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ถือเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรง ในทางกลับกัน หากทั้งราคากับ OBV ทำจุดต่ำลงเรื่อย ๆ ก็เป็นการยืนยันแนวโน้มขาลง


การวิเคราะห์ Divergence

หากราคาสูงขึ้น แต่ OBV กลับทรงตัวหรือลดลง แสดงว่าแรงซื้ออาจเริ่มอ่อนกำลัง และมีโอกาสเกิดการย่อตัวในเร็ว ๆ นี้ ในทางตรงข้าม ถ้า OBV เริ่มเพิ่มขึ้นขณะที่ราคายังนิ่ง แสดงถึงแรงซื้อแอบแฝง และอาจนำไปสู่การปรับตัวขึ้นในอนาคต


สัญญาณ Breakout

ในช่วงที่ราคาติดแนวรับ/แนวต้าน หรืออยู่ในช่วงพักตัว หาก OBV เกิดการเบรกขึ้นหรือลงก่อน มักเป็นสัญญาณล่วงหน้าว่าราคาจะเกิดการเบรกเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสนับสนุน


แม้ว่า OBV จะใช้ได้กับหุ้น ดัชนี ฟอเร็กซ์ และสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันไป:

  • หุ้นและดัชนี: OBV มักใช้ที่นี่มากที่สุด เนื่องจากความโปร่งใสของปริมาณมักสูงที่สุด

  • ฟอเร็กซ์และสินค้าโภคภัณฑ์: OBV อาจมีข้อจำกัดเพราะไม่มีข้อมูลปริมาณแบบรวมศูนย์ แพลตฟอร์มบางแห่งจึงประมวลผลจากข้อมูลราคาทดแทน


OBV มีประสิทธิภาพสูงสุดบนกราฟรายวันและรายสัปดาห์ เนื่องจากกรอบเวลาที่ยาวนานขึ้นช่วยลดสัญญาณรบกวนและปรับปรุงความถูกต้องของแนวโน้ม กราฟระยะสั้นอาจส่งสัญญาณผิดพลาดเนื่องจากความผันผวนของปริมาณการซื้อขายชั่วคราว


OBV: จุดแข็ง ข้อจำกัด และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด


จุดแข็ง

  • เข้าใจง่าย คำนวณไม่ซับซ้อน

  • ช่วยยืนยันแนวโน้มและหาสัญญาณซื้อสะสม

  • เพิ่มมุมมองเชิงปริมาณให้การวิเคราะห์ราคา

  • ตรวจจับ divergence ได้ เพื่อเตือนการกลับตัวล่วงหน้า


ข้อจำกัด

  • ลักษณะที่ล่าช้า: OBV สะท้อนการเคลื่อนไหวในอดีต ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่มองไปข้างหน้า

  • สัญญาณเท็จ: ในตลาดที่มีความผันผวนหรือมีขอบเขตจำกัด divergence อาจทำให้เข้าใจผิดได้

  • การพึ่งพาปริมาณการซื้อขาย: OBV มีความแข็งแกร่งเท่ากับข้อมูลปริมาณที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น และอาจทำให้เข้าใจผิดในสภาพแวดล้อมข้อมูลคุณภาพต่ำหรือข้อมูลสังเคราะห์


แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด :

เชื่อมโยง OBV เข้ากับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เช่น แนวโน้ม โมเมนตัม หรือการเคลื่อนไหวของราคา เพื่อการตรวจสอบสัญญาณที่ดีขึ้น ควรใช้ Divergence เฉพาะเมื่อบริบทเหมาะสม และใช้ในกรอบเวลาที่กว้างขึ้น อีกทั้งหลีกเลี่ยงการใช้มากเกินไปในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำ


ขั้นตอนการใช้ OBV แบบมือโปร


  1. เปิดใช้งาน OBV บนแพลตฟอร์มเทรด

  2. ตรวจสอบแนวโน้ม OBV ว่าเป็นไปตามราคาหรือไม่

  3. มองหาการเกิด Divergence

  4. ใช้ OBV ยืนยันสัญญาณ Breakout หรือการกลับตัว

  5. ผสม OBV กับ RSI, MACD หรือปริมาณการซื้อขายอื่น ๆ

  6. ทดสอบย้อนหลัง และบันทึกผลการใช้งานเพื่อประเมินประสิทธิภาพ


คำถามที่พบบ่อย


1. ในการเทรด OBV ย่อมาจากอะไร?

คำตอบ : OBV ย่อมาจาก On-Balance Volume เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้ปริมาณการซื้อขายสะสม เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น


2. OBV เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่?

คำตอบ : เหมาะมาก เพราะใช้งานง่าย ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน และเป็นตัวช่วยยืนยันแนวโน้มเมื่อใช้ร่วมกับ RSI หรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


3. OBV ต่างจากอินดิเคเตอร์ปริมาณทั่วไปอย่างไร?

คำตอบ : OBV พิจารณาปริมาณตามทิศทางของราคาแบบสะสม ขณะที่ปริมาณการซื้อขายทั่วไปแสดงเพียงปริมาณที่ซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา OBV ให้มุมมองเชิงพฤติกรรมของแรงซื้อ-ขายชัดเจนกว่า


สรุป


สรุปแล้ว OBV หรือ On-Balance Volume คือเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลังในการตีความ "แรงซื้อ-แรงขาย" เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา


แม้จะไม่ใช่เครื่องมือวิเศษ แต่ OBV เป็นเครื่องมือที่ควรมีติดกลยุทธ์ โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นและมีวินัยในการเทรดอย่างจริงจัง


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

รู้จัก S&P 500 คืออะไร ดัชนีที่ครองใจนักลงทุนทั่วโลก

รู้จัก S&P 500 คืออะไร ดัชนีที่ครองใจนักลงทุนทั่วโลก

ดัชนี S&P 500 คือกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทชั้นนำสหรัฐฯ ที่สะท้อนเศรษฐกิจอเมริกา เจาะลึกโครงสร้างเกณฑ์คัดเลือก พร้อมแนะนำกองทุน ETF S&P 500

2025-08-08
เปิดลิสต์ 5 ดัชนีหุ้นทั่วโลกน่าสนใจ พร้อมเจาะลึกตลาดเกิดใหม่ที่ต้องจับตามอง

เปิดลิสต์ 5 ดัชนีหุ้นทั่วโลกน่าสนใจ พร้อมเจาะลึกตลาดเกิดใหม่ที่ต้องจับตามอง

ดัชนีหุ้นทั่วโลกคือเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนภาพรวมราคาหุ้นจากหลากหลายประเทศ ช่วยบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ความเชื่อมั่นนักลงทุน และทิศทางตลาดทุนในแต่ละภูมิภาค

2025-08-08
ตลาดหลักทรัพย์คืออะไร และทำงานอย่างไร?

ตลาดหลักทรัพย์คืออะไร และทำงานอย่างไร?

เรียนรู้ว่าตลาดหลักทรัพย์ทำงานอย่างไรในฐานะตลาดที่มีการควบคุมสำหรับหลักทรัพย์ ส่งเสริมสภาพคล่อง ความโปร่งใส และราคาที่ยุติธรรม

2025-08-08