เรียนรู้ความหมายของ OBV ในการเทรด วิธีการทำงาน และวิธีใช้เครื่องมือวิเคราะห์จากปริมาณการซื้อขายนี้ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อขายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
ในการเทรด OBV ย่อมาจาก On-Balance Volume ซึ่งเป็นอินดิเคเตอร์สะสมปริมาณการซื้อขายที่ใช้ประเมินกิจกรรมการซื้อและขายทั้งหมดในตลาด
OBV ถูกพัฒนาโดย Joseph Granville ในช่วงปี 1960 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้ล่วงหน้า โดยอ้างอิงจากว่าปริมาณการซื้อขายนั้นสนับสนุนหรือสวนทางกับทิศทางของราคา
ในบทความนี้ เราจะอธิบายให้เข้าใจง่ายว่า OBV คืออะไร วิธีคำนวณและการตีความ ข้อดีและข้อจำกัด รวมถึงกลยุทธ์การใช้งาน OBV อย่างมีประสิทธิภาพในการเทรดของคุณ
ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ OBV ย่อมาจาก On-Balance Volume ซึ่งเป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ทรงพลัง โดยใช้วิเคราะห์แรงโมเมนตัมของตลาดผ่านพฤติกรรมของปริมาณการซื้อขาย
OBV ได้รับการพัฒนาโดย Joseph Granville นักวิเคราะห์การเงินชื่อดัง ซึ่งเปิดตัว OBV ครั้งแรกในหนังสือของเขาเมื่อปี 1963 ชื่อ Granville's New Key to Stock Market Profits
Granville มองว่าการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญมักเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ เขาเปรียบการเพิ่มขึ้นของ OBV ว่าเหมือนสปริงที่ถูกอัดแน่นพร้อมจะดีดตัว
สูตรการคำนวณ OBV นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา:
หาก ราคาปิดวันนี้สูงกว่า เมื่อวาน:
OBV ปัจจุบัน = OBV ก่อนหน้า + ปริมาณการซื้อขายวันนี้
หาก ราคาปิดวันนี้ต่ำกว่า เมื่อวาน:
OBV ปัจจุบัน = OBV ก่อนหน้า – ปริมาณการซื้อขายวันนี้
หาก ราคาปิดของวันนี้เท่ากับ เมื่อวาน:
OBV ปัจจุบัน = OBV ก่อนหน้า
เนื่องจาก OBV เป็นค่าที่สะสมต่อเนื่อง ตัวเลข OBV ที่แน่นอนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางและความชันของเส้น OBV
หาก OBV มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แสดงถึงการสะสมหุ้น (แรงซื้อ)
หาก OBV มีแนวโน้มลดลง แสดงถึงการกระจายหุ้น (แรงขาย)
หลักการสำคัญของ OBV คือ “ปริมาณนำหน้าราคา” กล่าวคือ หากมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าราคาจะยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็อาจเป็นสัญญาณล่วงหน้าของการปรับตัวขึ้น ในทางกลับกัน หากปริมาณลดลงในขณะที่ราคายังเพิ่มอยู่ อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังอ่อนแรง การเปรียบเทียบระหว่าง OBV กับกราฟราคาให้ผลลัพธ์ที่สำคัญ:
Convergence (OBV กับราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน) ยืนยันแนวโน้มที่แข็งแรง
Divergence (ราคาเพิ่มขึ้น แต่ OBV ลดลง หรือในทางกลับกัน) เป็นสัญญาณเตือนถึงการกลับตัวของราคา
นอกจากนี้ OBV ยังสามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันได้อีกด้วย เพราะผู้เล่นรายใหญ่มักจะเริ่ม "เข้าสะสม" โดยใช้ปริมาณการซื้อขายก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวตาม OBV จึงสามารถช่วยจับสัญญาณเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การยืนยันแนวโน้ม
หากทั้งราคากับ OBV ต่างทำ “จุดสูงสุด” และ “จุดต่ำสุด” ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ถือเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรง ในทางกลับกัน หากทั้งราคากับ OBV ทำจุดต่ำลงเรื่อย ๆ ก็เป็นการยืนยันแนวโน้มขาลง
การวิเคราะห์ Divergence
หากราคาสูงขึ้น แต่ OBV กลับทรงตัวหรือลดลง แสดงว่าแรงซื้ออาจเริ่มอ่อนกำลัง และมีโอกาสเกิดการย่อตัวในเร็ว ๆ นี้ ในทางตรงข้าม ถ้า OBV เริ่มเพิ่มขึ้นขณะที่ราคายังนิ่ง แสดงถึงแรงซื้อแอบแฝง และอาจนำไปสู่การปรับตัวขึ้นในอนาคต
สัญญาณ Breakout
ในช่วงที่ราคาติดแนวรับ/แนวต้าน หรืออยู่ในช่วงพักตัว หาก OBV เกิดการเบรกขึ้นหรือลงก่อน มักเป็นสัญญาณล่วงหน้าว่าราคาจะเกิดการเบรกเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสนับสนุน
แม้ว่า OBV จะใช้ได้กับหุ้น ดัชนี ฟอเร็กซ์ และสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันไป:
หุ้นและดัชนี: OBV มักใช้ที่นี่มากที่สุด เนื่องจากความโปร่งใสของปริมาณมักสูงที่สุด
ฟอเร็กซ์และสินค้าโภคภัณฑ์: OBV อาจมีข้อจำกัดเพราะไม่มีข้อมูลปริมาณแบบรวมศูนย์ แพลตฟอร์มบางแห่งจึงประมวลผลจากข้อมูลราคาทดแทน
OBV มีประสิทธิภาพสูงสุดบนกราฟรายวันและรายสัปดาห์ เนื่องจากกรอบเวลาที่ยาวนานขึ้นช่วยลดสัญญาณรบกวนและปรับปรุงความถูกต้องของแนวโน้ม กราฟระยะสั้นอาจส่งสัญญาณผิดพลาดเนื่องจากความผันผวนของปริมาณการซื้อขายชั่วคราว
จุดแข็ง
เข้าใจง่าย คำนวณไม่ซับซ้อน
ช่วยยืนยันแนวโน้มและหาสัญญาณซื้อสะสม
เพิ่มมุมมองเชิงปริมาณให้การวิเคราะห์ราคา
ตรวจจับ divergence ได้ เพื่อเตือนการกลับตัวล่วงหน้า
ข้อจำกัด
ลักษณะที่ล่าช้า: OBV สะท้อนการเคลื่อนไหวในอดีต ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่มองไปข้างหน้า
สัญญาณเท็จ: ในตลาดที่มีความผันผวนหรือมีขอบเขตจำกัด divergence อาจทำให้เข้าใจผิดได้
การพึ่งพาปริมาณการซื้อขาย: OBV มีความแข็งแกร่งเท่ากับข้อมูลปริมาณที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น และอาจทำให้เข้าใจผิดในสภาพแวดล้อมข้อมูลคุณภาพต่ำหรือข้อมูลสังเคราะห์
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด :
เชื่อมโยง OBV เข้ากับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เช่น แนวโน้ม โมเมนตัม หรือการเคลื่อนไหวของราคา เพื่อการตรวจสอบสัญญาณที่ดีขึ้น ควรใช้ Divergence เฉพาะเมื่อบริบทเหมาะสม และใช้ในกรอบเวลาที่กว้างขึ้น อีกทั้งหลีกเลี่ยงการใช้มากเกินไปในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำ
เปิดใช้งาน OBV บนแพลตฟอร์มเทรด
ตรวจสอบแนวโน้ม OBV ว่าเป็นไปตามราคาหรือไม่
มองหาการเกิด Divergence
ใช้ OBV ยืนยันสัญญาณ Breakout หรือการกลับตัว
ผสม OBV กับ RSI, MACD หรือปริมาณการซื้อขายอื่น ๆ
ทดสอบย้อนหลัง และบันทึกผลการใช้งานเพื่อประเมินประสิทธิภาพ
1. ในการเทรด OBV ย่อมาจากอะไร?
คำตอบ : OBV ย่อมาจาก On-Balance Volume เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้ปริมาณการซื้อขายสะสม เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น
2. OBV เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่?
คำตอบ : เหมาะมาก เพราะใช้งานง่าย ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน และเป็นตัวช่วยยืนยันแนวโน้มเมื่อใช้ร่วมกับ RSI หรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
3. OBV ต่างจากอินดิเคเตอร์ปริมาณทั่วไปอย่างไร?
คำตอบ : OBV พิจารณาปริมาณตามทิศทางของราคาแบบสะสม ขณะที่ปริมาณการซื้อขายทั่วไปแสดงเพียงปริมาณที่ซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา OBV ให้มุมมองเชิงพฤติกรรมของแรงซื้อ-ขายชัดเจนกว่า
สรุปแล้ว OBV หรือ On-Balance Volume คือเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลังในการตีความ "แรงซื้อ-แรงขาย" เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา
แม้จะไม่ใช่เครื่องมือวิเศษ แต่ OBV เป็นเครื่องมือที่ควรมีติดกลยุทธ์ โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นและมีวินัยในการเทรดอย่างจริงจัง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ดัชนี S&P 500 คือกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทชั้นนำสหรัฐฯ ที่สะท้อนเศรษฐกิจอเมริกา เจาะลึกโครงสร้างเกณฑ์คัดเลือก พร้อมแนะนำกองทุน ETF S&P 500
2025-08-08ดัชนีหุ้นทั่วโลกคือเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนภาพรวมราคาหุ้นจากหลากหลายประเทศ ช่วยบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ความเชื่อมั่นนักลงทุน และทิศทางตลาดทุนในแต่ละภูมิภาค
2025-08-08เรียนรู้ว่าตลาดหลักทรัพย์ทำงานอย่างไรในฐานะตลาดที่มีการควบคุมสำหรับหลักทรัพย์ ส่งเสริมสภาพคล่อง ความโปร่งใส และราคาที่ยุติธรรม
2025-08-08