เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-16
Scalping Trading คือกลยุทธ์การเทรดที่นี้อาศัยการเปิด–ปิดออร์เดอร์ในเวลาสั้น ๆ ตั้งแต่วินาทีจนถึงไม่เกิน 15 นาที โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือการเก็บกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของราคา แต่ทำซ้ำหลายครั้งต่อวันที่อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน ซึ่งในบทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติ ตั้งแต่ข้อดี จุดเด่น กราฟและช่วงเวลาที่เหมาะสม ไปจนถึงอินดิเคเตอร์ที่ Scalper มืออาชีพเลือกใช้จริง
Scalping Trading คือกลยุทธ์การซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินที่เน้นการเปิดและปิดออร์เดอร์ภายในช่วงเวลาสั้นมาก ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีจนถึงไม่เกิน 15 นาที เป้าหมายหลักคือการเก็บกำไรเล็ก ๆ แต่หลายครั้งต่อวัน วิธีนี้เหมาะกับตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ฟอเร็กซ์, ดัชนีหุ้น, และตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
หลักการของ Scalping Trading คือการจับจังหวะความเคลื่อนไหวของราคาแบบเฉียบพลัน นักลงทุนจะต้องใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างเข้มข้น ทั้งการดูกราฟแท่งเทียน, ระดับแนวรับแนวต้าน, อินดิเคเตอร์ เช่น Moving Average และ RSI เพื่อระบุจุดเข้าออกที่เหมาะสม
ข้อดีของ Scalping Trading คือ ความสามารถในการสร้างผลกำไรอย่างรวดเร็วและลดความเสี่ยงจากความผันผวนระยะยาว แต่ก็มีความท้าทายสูง เช่น ต้องมีสมาธิและวินัยในการปิดออร์เดอร์ตรงเวลา การใช้เลเวอเรจสูงอาจทำให้ขาดทุนทันทีหากประเมินผิดพลาด
ทำกำไรได้รวดเร็ว – เก็บกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสั้น ๆ หลายครั้งต่อวัน
ลดความเสี่ยงจากแนวโน้มระยะยาว – ไม่ต้องกังวลกับข่าวใหญ่หรือการถือครองข้ามคืน
ใช้ได้กับตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น Forex, ดัชนีหุ้น, คริปโต
มีโอกาสทำกำไรต่อเนื่อง เพราะสามารถเปิดออร์เดอร์ได้หลายรอบ
ยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ ตอบสนองต่อสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ทันที
ไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก หากมีการใช้เลเวอเรจอย่างเหมาะสม
หนึ่งในหัวใจของ Scalping Trading คือการเลือกกราฟ (Timeframe) และช่วงเวลา (Trading Session) ที่เหมาะสม เพราะแม้กลยุทธ์จะอาศัยความเร็ว แต่ถ้าเลือกกราฟผิดหรือเข้าเทรดในช่วงที่ตลาดไม่มีสภาพคล่อง โอกาสทำกำไรจะลดลงทันที นักเทรดสาย Scalper ส่วนใหญ่ใช้กราฟสั้นมาก โดยมี 3 ระดับที่นิยมมากที่สุด ได้แก่
กราฟ 1 นาที (M1): เน้นความเร็วสูงสุด จับกำไรจากการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่จุด แต่มี Noise มาก เหมาะกับคนที่ชำนาญจริง ๆ
กราฟ 5 นาที (M5): ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ Scalper ส่วนใหญ่ เพราะบาลานซ์ระหว่างความเร็วกับความแม่นยำ
กราฟ 15 นาที (M15): ใช้กับ Scalper ที่ไม่ต้องการจ้องหน้าจอตลอดเวลา แต่ยังคงหาจังหวะสั้น ๆ ได้ต่อเนื่อง
นอกจากการเลือกกราฟแล้ว การเลือกตลาดที่มีสภาพคล่องสูงก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะ Scalping ต้องการให้ราคาเคลื่อนไหวต่อเนื่องและมีสเปรดต่ำเพื่อลดต้นทุน ตัวอย่างตลาดที่นิยมคือ 1) Forex Majors เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, 2) ดัชนีหุ้น Futures อย่าง S&P 500 หรือ NASDAQ, 3) คริปโตเคอร์เรนซี เช่น Bitcoin และ Ethereum รวมถึง 4) ทองคำ (XAU/USD) ที่มักตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจทันที
ขณะเดียวกัน “เวลา” ก็เป็นอีกตัวแปรที่ชี้ขาดความสำเร็จในการ Scalping เพราะแม้ตลาดจะเปิด 24 ชั่วโมง แต่บางช่วงแทบไม่มีความผันผวนเลย โดยทั่วไปช่วงเวลาที่เหมาะสมมี 3 ระดับ ได้แก่
London Session (14:00 – 23:00 น. ตามเวลาไทย): ช่วงตลาดยุโรป เปิดทำการ ราคาคู่เงิน EUR/USD และ GBP/USD เคลื่อนไหวแรง
New York Session (19:00 – 04:00 น.): โดยเฉพาะช่วง Overlap กับลอนดอน (19:00 – 23:00 น.) เป็นเวลาทองของ Scalper เพราะสภาพคล่องและความผันผวนสูงสุด
Asian Session (06:00 – 15:00 น.): แม้จะเงียบกว่า แต่คู่เงิน USD/JPY หรือ AUD/JPY ยังให้โอกาสสำหรับ Scalper ที่ชอบความเคลื่อนไหวช้า
เมื่อเชื่อมโยงทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะเห็นว่า Scalping Trading ที่ได้ผลจริงไม่ใช่แค่ “เข้าเร็วออกเร็ว” แต่ต้องประกอบด้วยการเลือก กราฟที่เหมาะสม (M1, M5, M15), ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง และ เวลาที่ราคามีการเคลื่อนไหวแรง โดยเฉพาะช่วง London – New York Overlap ซึ่งถือเป็น Golden Time ของนัก Scalper ทั่วโลก
การทำ Scalping Trading ไม่ได้อาศัยแค่ความเร็วและการกดปุ่มซื้อขายทันใจเท่านั้น แต่ยังต้องพึ่งพาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Indicators) ที่ช่วยให้เห็นสัญญาณและแนวโน้มชัดเจนยิ่งขึ้น อินดิเคเตอร์ที่เลือกใช้ไม่จำเป็นต้องเยอะ แต่ควรตรงกับลักษณะของ Scalping ที่เน้นจังหวะสั้น กำไรเล็ก และจำนวนออร์เดอร์หลายครั้งต่อวัน ในส่วนนี้เราจะมาดูอินดิเคเตอร์สำคัญที่นัก Scalper มืออาชีพใช้บ่อยที่สุด พร้อมวิธีการนำไปปรับใช้จริง
Moving Average ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สุด แต่ก็ทรงพลังสำหรับการทำ Scalping เพราะช่วยบอกได้ว่า “แนวโน้มสั้น ๆ ตอนนี้เป็นอย่างไร” การใช้ MA แบบระยะสั้น เช่น EMA 9 หรือ EMA 20 จะช่วยให้นักเทรดเห็นทิศทางราคาอย่างทันที ถ้าราคาวิ่งเหนือเส้น MA ระยะสั้น อาจเป็นสัญญาณซื้อ ขณะที่ถ้าราคาต่ำกว่าเส้น MA ก็อาจบ่งบอกถึงแรงขาย
นอกจากนี้การใช้ MA แบบคู่ เช่น EMA 9 และ EMA 20 ช่วยสร้างสัญญาณเข้าออกที่เฉียบพลัน เช่น หากเส้น EMA 9 ตัดขึ้นเหนือ EMA 20 อาจใช้เป็นจังหวะเข้าซื้อทันที ในกราฟ 1 หรือ 5 นาที สัญญาณเหล่านี้สามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอแนวโน้มใหญ่ ๆ เหมือนเทคนิคการเทรดแบบอื่น
RSI เป็นอินดิเคเตอร์ยอดนิยมที่ช่วยวัดภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ขายมากเกินไป) ซึ่งสำคัญมากใน Scalping เพราะราคาในกรอบเวลาสั้น ๆ มักแกว่งแรงและกลับทิศทางบ่อย หาก RSI อยู่เหนือ 70 แสดงว่าตลาดอาจร้อนแรงเกินไป และมีโอกาสกลับตัวลง ขณะที่หาก RSI ต่ำกว่า 30 มักบ่งบอกแรงขายเกิน อาจเตรียมดีดกลับขึ้น
การใช้ RSI ใน Scalping มักตั้งค่าให้สั้นกว่าเดิม เช่น 7 หรือ 9 แทนค่า 14 มาตรฐาน เพื่อให้ตอบสนองต่อราคาที่เปลี่ยนเร็วในกราฟเล็ก วิธีนี้ช่วยให้ Scalper หาจังหวะสวนสั้น ๆ ได้แม่นยำขึ้น เช่น เข้าซื้อเมื่อ RSI หลุดต่ำกว่า 30 แล้วตีกลับขึ้นเหนือเส้น หรือขายเมื่อ RSI พุ่งเกิน 70 แล้วเริ่มอ่อนแรง
Bollinger Bands ถูกออกแบบมาเพื่อวัดความผันผวนของราคา และเหมาะมากกับ Scalping เพราะนักเทรดต้องการรู้ว่าตลาดกำลัง “สงบ” หรือ “รุนแรง” เส้นขอบบนและล่างของ Bollinger Bands จะบีบเข้าหากความผันผวนลดลง และจะกว้างออกหากตลาดเริ่มสวิงแรง
สำหรับ Scalper การดูว่าราคากำลัง “ชนขอบ” มีประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น หากราคาขึ้นไปแตะเส้นบนขณะที่ตลาดเงียบก่อนหน้านี้ อาจใช้เป็นจังหวะขายสวน หรือถ้าราคาหลุดเส้นล่างแล้วย้อนกลับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ก็อาจเป็นสัญญาณซื้อสั้น ๆ การใช้ Bollinger Bands จึงเหมาะทั้งกับการเล่นตามเทรนด์และสวนกลับในจังหวะที่ตลาดเคลื่อนไหวแรง
Stochastic Oscillator เป็นเครื่องมือที่เน้นโมเมนตัมระยะสั้น โดยเปรียบเทียบราคาปิดกับช่วงราคาที่ผ่านมา การใช้ Stochastic ใน Scalping ช่วยให้เห็นว่าราคาใกล้สุดขั้วแค่ไหน และมีโอกาสกลับตัวหรือไม่ หากเส้น Stochastic ขึ้นไปเหนือ 80 บ่งบอกว่าอยู่ในโซนซื้อมากเกินไป และถ้าต่ำกว่า 20 มักหมายถึงขายมากเกินไป
สำหรับ Scalper การใช้ Stochastic บนกราฟ 1–5 นาทีเป็นที่นิยม เพราะให้สัญญาณเร็วและละเอียดมาก นักเทรดมักรอสัญญาณ “เส้นตัดกัน” (Crossover) ของ %K และ %D เป็นตัวบอกจังหวะเข้าออก เช่น หากเส้น %K ตัดขึ้นเหนือ %D ที่โซน Oversold อาจเป็นจังหวะซื้อสวนกลับทันที
ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ Scalper ไม่ควรมองข้าม เพราะแม้สัญญาณจากอินดิเคเตอร์อื่นจะชัดเจน แต่หากไม่มี Volume รองรับ การเคลื่อนไหวอาจเป็นเพียงการ “เด้งชั่วคราว” Volume Indicators เช่น On-Balance Volume (OBV) หรือ Volume Weighted Average Price (VWAP) มักใช้ยืนยันว่าแนวโน้มสั้น ๆ มีแรงซื้อขายจริงหรือไม่
สำหรับการ Scalping การเห็นว่าปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นพร้อมกับสัญญาณทางเทคนิค เช่น การตัดขึ้นของ Moving Average หรือ RSI ดีดกลับ ถือเป็นการยืนยันที่แข็งแรงมาก ทำให้นักเทรดมั่นใจได้ว่าการเข้าซื้อหรือขายในจังหวะนั้นมีโอกาสได้ผลจริง ไม่ใช่สัญญาณหลอกที่มักเกิดในตลาดสั้น ๆ
A: โดยทั่วไป Scalping Trading ต้องการสมาธิสูงและความเข้าใจเครื่องมือวิเคราะห์ หากมือใหม่ควรเริ่มจากบัญชีทดลองก่อน
A: กราฟ 1 นาที, 5 นาที และ 15 นาทีเป็นที่นิยม เพราะสามารถจับความผันผวนเล็ก ๆ ได้อย่างแม่นยำ
A: ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น Forex (EUR/USD), ดัชนีหุ้น (S&P 500), และคริปโตเคอร์เรนซี (Bitcoin)
Scalping Trading เป็นกลยุทธ์การเทรดระยะสั้นที่เน้นทำกำไรจากความผันผวนเล็ก ๆ ของราคา ด้วยกรอบเวลาสั้น, สภาพคล่องสูง และการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค นักลงทุนสามารถทำกำไรได้หลายครั้งต่อวัน แต่ต้องมีวินัยสูงและสมาธิเต็มร้อย เทคนิคนี้เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถเฝ้าตลาดตลอดเวลาและเข้าใจความเสี่ยงของการใช้เลเวอเรจ ข้อดีคือการทำกำไรเร็วและลดความเสี่ยงจากแนวโน้มระยะยาว ข้อเสียคือความเครียดสูงและผลกำไรแต่ละรอบอาจน้อย หากไม่บริหารจัดการดีอาจขาดทุนได้
นอกจากนี้ Scalping Trading ยังต้องเลือกตลาดและช่วงเวลาที่เหมาะสม รวมถึงใช้เครื่องมืออินดิเคเตอร์ช่วยวิเคราะห์ เพื่อให้การตัดสินใจซื้อขายแม่นยำและสอดคล้องกับสภาพตลาดจริง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ