รู้จัก Fear of Missing Out ในการเทรด ว่าทำไมถึงมีผลต่อการตัดสินใจ พร้อมตัวอย่างเทรดด้วยอารมณ์ที่ทำให้ขาดทุนจริง
หนึ่งในอารมณ์ที่ทรงพลังและพบบ่อยที่สุดที่ส่งผลต่อเทรดเดอร์คือ Fear of Missing Out (FOMO) หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการเห็นหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือได้ยินข่าวลือถึงกระแสฮิตใหม่ ๆ ที่กำลัง "พุ่งสูงจนสุดขอบฟ้า" ความรู้สึกอยากเข้าไปลงทุนโดยไม่มีแผนนั้นมักจะครอบงำใจได้ง่าย
Fear of Missing Out ในการเทรดหมายถึงปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ทำให้นักเทรดซื้อหรือขายโดยไม่ทันคิด เนื่องจากกลัวว่าจะพลาดโอกาส แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะรู้สึกตื่นเต้นในช่วงตลาดเคลื่อนไหวแรง แต่การตัดสินใจโดยไม่มีกลยุทธ์มักนำไปสู่การขาดทุน
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกว่า Fear of Missing Out คืออะไร ทำไมเนักเทรดถึงได้รับผลกระทบ พร้อมตัวอย่างจริง และแนวทางการรับมือเพื่อให้คุณเทรดด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่ความตื่นตระหนก
Fear of Missing Out (FOMO) คือความกลัวที่จะพลาดโอกาสดี ๆ ที่คนอื่นกำลังทำกำไรอยู่ ในการเทรดจะหมายถึงความรู้สึกวิตกกังวลว่าเราอาจพลาดโอกาสทำกำไรเมื่อตลาดกำลังเคลื่อนไหวแรง ๆ ความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้นเมื่อ:
ราคาหุ้นหรือสินทรัพย์พึ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกคนบนโซเชียลมีเดียกำลังพูดถึงการเทรดนั้นอย่างคึกคัก
ข่าวสารต่าง ๆ สร้างความฮือฮาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของตลาด
นักเทรดที่มีอาการ FOMO มักจะรีบเข้าเทรดโดยไม่วิเคราะห์อย่างรอบคอบ มองข้ามการบริหารความเสี่ยง และมักจบลงด้วยการซื้อในราคาสูงหรือขายต่ำ
ทำไมเราถึงมีอาการ FOMO? ปัจจัยกระตุ้นทางจิตวิทยา
FOMO เกิดจากพฤติกรรมและความรู้สึกทางจิตใจหลายอย่าง เช่น:
1. Herd Mentality (พฤติกรรมตามฝูงชน)
แม้ว่าการขึ้นลงของราคาจะไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน แต่เมื่อเห็นคนส่วนใหญ่ซื้อกันก็เกิดแรงกดดันให้เราต้องตาม
2. อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย
แพลตฟอร์มเช่น Twitter, Reddit หรือ Discord ทำให้ข่าวลือและกระแสหุ้นกระจายอย่างรวดเร็ว
3. อคติต่อความเคลื่อนไหวล่าสุด
การเคลื่อนไหวของราคาล่าสุดมีอิทธิพลมากต่อการตัดสินใจ หากสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 20% นักเทรดมักคาดหวังว่าจะขึ้นต่อเนื่อง
4. ความโลภ
ความอยากได้กำไรเร็ว ๆ ทำให้เราตัดสินใจแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
5. กลัวเสียใจ
กลัวว่าถ้าไม่รีบเข้าเทรดแล้วตลาดกลับพุ่งขึ้น จะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าร่วม
1) FOMO ในการเทรด Forex
ในตลาด Forex มักจะเกิดอาการ FOMO ในช่วง:
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประกาศออกมา (เช่น การจ้างงานนอกภาคเกษตร การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย)
คู่สกุลเงินที่ทะลุแนวต้านอย่างกะทันหัน (เช่น EUR/USD ทะลุแนวต้าน)
ตัวอย่างพฤติกรรม FOMO :
เข้าเทรดทันทีหลังจากเห็นแท่งเทียนขนาดใหญ่ โดยกลัวว่าจะพลาดแนวโน้มสำคัญ
การใช้เลเวอเรจมากเกินไปในช่วงที่มีข่าวผันผวน โดยไตั้งจุดตัดขาดทุน
สลับคู่บ่อยๆ เพื่อจับคู่ที่กำลัง "เคลื่อนไหว"
ความเสี่ยง : ตลาด Forex มีเลเวอเรจสูงและเคลื่อนไหวรวดเร็ว FOMO อาจทำให้โดนเรียกเพิ่มเงินหรือโดนตัดขาดทุนเร็วมาก
2) FOMO ในการเทรดหุ้น
ในตลาดหุ้น FOMO มักเกิดในช่วง:
การประกาศผลประกอบการ
หุ้น Meme (เช่น GME, AMC)
กระแสข่าว IPO หรือข่าวดัง
ตัวอย่างพฤติกรรม FOMO :
การซื้อหุ้นหลังจากที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 30% ภายในหนึ่งวัน ตามกระแสข่าว
ทำตามโซเชียลโดยไม่ตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานหรือเทคนิค
ถือหุ้นนานเกินไป โดยหวังราคาจะขึ้นต่อ
ความเสี่ยง : หุ้นอาจปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว และการซื้อแบบ FOMO มักเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาหุ้นพุ่งสูง ซึ่งนักลงทุนสถาบันเริ่มทำกำไร
3) FOMO ในการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์
ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ น้ำมัน เงิน ฯลฯ) FOMO มักเกิดจาก:
ความผันผวนของอุปสงค์และอุปทาน (เช่น การประกาศของ OPEC ภัยแล้ง การเก็บเกี่ยวล้มเหลว)
ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อหรือเศรษฐกิจมหภาค
ตัวอย่างพฤติกรรม FOMO :
วิ่งตามราคาทองคำในช่วงวิกฤตโดยไม่รอการปรับฐาน
เข้าเทรดน้ำมันดิบยาว หลังราคาพุ่งขึ้น 10% อย่างรวดเร็ว
การละเลยธรรมชาติของสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฏจักร
ความเสี่ยง : สินค้าโภคภัณฑ์มีความผันผวนและไวต่อข่าวสาร FOMO อาจนำไปสู่การซื้อในระดับสูงสุดและประสบกับการพลิกกลับอย่างรุนแรง
4) FOMO ในการเทรดดัชนี
ในการเทรดดัชนี (S&P 500, Nasdaq, DAX เป็นต้น) FOMO มักปรากฏในช่วง:
การบูมของตลาดกระทิง (เช่น หลังจากการกระตุ้นของเฟดหรือหุ้นเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้น)
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งหนุนดัชนีทั้งหมด
เมื่อตลาดดัชนีแตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์
ตัวอย่างพฤติกรรม FOMO :
ซื้อ CFD หรือฟิวเจอร์สดัชนีในช่วงท้ายของรอบขาขึ้นโดยไม่ควบคุมความเสี่ยง
เข้าเทรดตามกระแสบวกที่เห็นในสื่อและโซเชียล
ถือสถานะขาดทุน หวังว่าจะได้จังหวะราคาขึ้นอีกครั้ง
ความเสี่ยง : ดัชนีมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในระยะยาว แต่การเทรดด้วย FOMO โดยไม่มีการตั้งค่าทางเทคนิคหรือจุดหยุดขาดทุน อาจเสี่ยงสูงเมื่อตลาดปรับฐานหรือเกิดการแกว่งตัว
ตัวอย่างที่ 1: Bitcoin Bull Run (2020–2021)
เมื่อราคา Bitcoin พุ่งสูงเกิน 20,000 ดอลลาร์ ไปจนถึง 40,000 ดอลลาร์ และต่อไปถึง 60,000 ดอลลาร์ นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากรีบกระโดดเข้าตลาดเพราะกลัวพลาดโอกาสทำกำไร แต่เมื่อราคาปรับฐานลง หลายคนก็ต้องเผชิญกับการขาดทุนอย่างหนัก
ตัวอย่างที่ 2: GameStop (GME) Short Squeeze (2021)
กระแสจากกลุ่ม WallStreetBets บน Reddit ทำให้ราคาหุ้น GME พุ่งจากประมาณ 20 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นไปแตะมากกว่า 400 ดอลลาร์ ความรู้สึก FOMO ทำให้นักลงทุนรายใหม่หลายพันคนแห่ซื้อใกล้จุดสูงสุด ก่อนที่ราคาจะร่วงลงในเวลาไม่กี่วัน
ตัวอย่างที่ 3: Meme Coins (Dogecoin, Shiba Inu)
กระแสโซเชียลมีเดียทำให้ราคา Dogecoin และ Shiba Inu พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง หลายคนรีบซื้อตามช่วงที่ราคากำลังสูงสุด แต่สุดท้ายต้องเผชิญกับการขาดทุนหลังจากราคากลับตัวลงอย่างรวดเร็ว
คุณอาจกำลังประสบกับอาการ FOMO หากคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้:
ตรวจดูกราฟหรือข่าวตลอดเวลา เพราะกลัวพลาดสิ่งสำคัญ
รู้สึกเครียดหรือกดดันเมื่อเห็นคนอื่นอวดกำไร
ละทิ้งแผนการเทรดเดิมเพื่อรีบเข้าตลาดก่อนจะ “สายเกินไป”
เข้าซื้อขายโดยไม่วิเคราะห์ความเสี่ยงหรือไม่ตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss)
รู้สึกเสียดายหรือเสียใจหลังจากเทรดแต่ละครั้ง
อันตรายจาก FOMO
1. จุดเข้าเทรดที่ไม่ดี
การรีบเข้าซื้อช่วงที่ราคากำลังพุ่งสูง มักนำไปสู่การซื้อที่ระดับราคาสูงเกินจริง และเสี่ยงต่อการกลับตัวของราคา
2. การตัดสินใจด้วยอารมณ์
FOMO ทำให้นักเทรดมองข้ามการวิเคราะห์กราฟหรือแผนการเทรดที่วางไว้
3. ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
คนที่เทรดจากความกลัวพลาดโอกาส มักเพิ่มขนาดการเทรดมากกว่าปกติส่งผลให้ขาดทุนมากขึ้น
4. มองแต่กำไรในระยะสั้น
จุดสนใจเปลี่ยนจากกลยุทธ์ระยะยาว ไปสู่การไล่ล่ากำไรระยะสั้นแทน
5.ความมั่นใจลดลง
เมื่อขาดทุนซ้ำ ๆ จากการเทรดแบบไม่มีเหตุผล ความมั่นใจจะค่อย ๆ หายไป อาจนำไปสู่การเทรดแบบแก้แค้น (Revenge Trading) หรือภาวะหมดไฟจากการเทรด
ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลในการจัดการและเอาชนะ FOMO:
1. ยึดมั่นในแผนการเทรด
แผนที่ชัดเจนจะระบุจุดเข้า จุดออก และการบริหารความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ตามอารมณ์
2. ใช้ระบบบริหารความเสี่ยง
จำกัดความเสี่ยงไว้ที่ 1–2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้การตัดสินใจจาก FOMO เพียงครั้งเดียวทำให้พอร์ตเสียหายหนัก
3. ตั้งการแจ้งเตือนแทนการจ้องกราฟตลอดเวลา
ใช้ระบบแจ้งเตือนหรือคำสั่งล่วงหน้าที่จุดราคาสำคัญ แทนการเฝ้ากราฟตลอดเวลา ซึ่งมักนำไปสู่การตัดสินใจแบบเร่งด่วน
4. ใช้กราฟในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น
เช่น กราฟรายวัน (1D) หรือ 4 ชั่วโมง (4H) ซึ่งช่วยลดสัญญาณรบกวนและกระแสชั่วคราวในกราฟรายนาที และสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่มั่นคงมากขึ้น
5. หลีกเลี่ยงการเทรดตามข่าวหรือกระแสโซเชียล
อย่าวิ่งตามทวีต เทรนด์จาก Reddit หรือ "สัญญาณ" ที่ไวรัล จงรอให้เกิดรูปแบบที่ตรงกับการวิเคราะห์ของคุณเอง
6. บันทึกการเทรดอย่างสม่ำเสมอ
จดบันทึกทุกครั้งที่เทรด รวมถึงเหตุผลในการเข้าออก เพื่อช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมที่เกิดจากอารมณ์และปรับปรุงให้ดีขึ้น
7. ยอมรับว่าคุณไม่สามารถจับทุกโอกาสได้
คุณจะพลาดบางเทรดที่ให้กำไรแน่นอน และนั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะในตลาดมีโอกาสใหม่เกิดขึ้นเสมอ
กลยุทธ์ที่ใช้แทน FOMO ด้วยวินัยในการเทรด
เทคนิคสร้างวินัย | ประโยชน์ที่ได้รับ |
---|---|
กำหนดกฎการเข้าเทรดไว้ล่วงหน้า |
ช่วยหลีกเลี่ยงการเข้าเทรดแบบไร้ทิศทางเมื่อเกิดกระแส |
ยึดมั่นกับเป้าหมายรายวันหรือรายสัปดาห์ |
ทำให้คุณโฟกัสที่กระบวนการไม่ใช่แค่กำไร |
จำกัดเวลาที่ใช้ดูหน้าจอ |
ลดโอกาสการเทรดมากเกินไปและความเครียดจากตลาด |
ฝึกสติหรือทำสมาธิ |
ช่วยควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจได้ดีขึ้น |
ใช้บัญชีทดลอง |
ทดสอบกลยุทธ์ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินและลดอารมณ์มาเกี่ยวข้อง |
Fear of Missing Out คือหนึ่งในกับดักทางจิตวิทยาที่พบบ่อยที่สุดในการเทรด และสามารถเกิดขึ้นได้กับเนักเทรดทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่รีบซื้อหุ้นกระแสแรง หรือมืออาชีพที่หลงไปกับภาวะตลาดคึกคัก ก็ล้วนมีโอกาสเผชิญกับ FOMOได้ทั้งสิ้น
สิ่งสำคัญไม่ใช่การพยายามกำจัดอารมณ์ให้หมดไป แต่คือการเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์เหล่านั้น ด้วยแผนการเทรดที่ชัดเจน การบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม และความตระหนักรู้ในสัญญาณของ FOMO คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดราคาแพง และเทรดได้อย่างมีวินัยและมั่นใจมากขึ้น
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ต้องการทราบหรือไม่ว่า Quad Witching จะเกิดขึ้นเมื่อใดในปี 2025? รับปฏิทินฉบับสมบูรณ์และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบต่อหุ้นและอนุพันธ์
2025-05-29สนใจ NYSE: GOLD หรือไม่? ค้นพบว่า Barrick Gold คืออะไร มีมูลค่าเท่าไร สร้างรายได้อย่างไร และเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดในปี 2025 หรือไม่
2025-05-29ค้นพบว่า ATH (All-Time High) หมายความว่าอย่างไรในการซื้อขาย และเหตุใดจึงเป็นแนวคิดสำคัญสำหรับผู้ลงทุนในหุ้น ฟอเร็กซ์ ดัชนี และสินค้าโภคภัณฑ์
2025-05-29