简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

โบรกเกอร์ C-Book (C-Book Broker) คืออะไร?

เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-05

โบรกเกอร์แบบ C-Book ผสานโมเดล A-Book และ B-Book เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเข้าถึงตลาดที่โปร่งใสกับการบริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด


บทนำ


โบรกเกอร์ C-Book ใช้โมเดลบริหารความเสี่ยงแบบปรับเปลี่ยนได้ โดยจำแนกประเภทการเทรดและจัดการคำสั่งซื้อขายแตกต่างกันไป


โบรกเกอร์ประเภทนี้สามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างยืดหยุ่น เช่น การส่งคำสั่งซื้อขายบางส่วนไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องภายนอก (รูปแบบ A-Book) ขณะที่เก็บคำสั่งอื่นไว้ภายในบริษัท (แบบ B-Book) โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ประสิทธิภาพของลูกค้า ขนาดการเทรด หรือสภาวะตลาดในขณะนั้น


คำนิยาม

โบรกเกอร์ C-Book คืออะไร?

โบรกเกอร์ C-Book ใช้โมเดลบริหารความเสี่ยงแบบปรับเปลี่ยนได้ โดยจำแนกประเภทการเทรดและจัดการคำสั่งซื้อขายแตกต่างกันไป


สำหรับเทรดเดอร์ที่มีกำไรสม่ำเสมอหรือมีปริมาณการเทรดสูง คำสั่งของพวกเขาอาจถูกส่งไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง (เหมือนในโมเดล A-Book) ขณะที่สำหรับเทรดเดอร์รายย่อยหรือเทรดไม่สม่ำเสมอ คำสั่งอาจถูกเก็บไว้ภายในบริษัท (รูปแบบ B-Book)


โมเดลแบบยืดหยุ่นนี้ช่วยให้โบรกเกอร์สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไร ขณะเดียวกันก็ให้บริการการส่งคำสั่งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม


โบรกเกอร์ C-Book ทำงานอย่างไร?


โมเดล C-Book ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างระบบการประมวลผลคำสั่งของ A-Book และ B-Book เพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างสมดุล


ระบบของโบรกเกอร์จะทำการวิเคราะห์พฤติกรรมของเทรดเดอร์อย่างต่อเนื่อง เช่น อัตราการชนะ ระยะเวลาในการถือออเดอร์ หรือปริมาณการเทรด เพื่อพิจารณาว่าจะส่งคำสั่งไปที่ใด


ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอมักจะถูกย้ายไปยังเส้นทาง A-Book โดยคำสั่งของพวกเขาจะถูกส่งต่อไปยังตลาดจริง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงขาดทุนของโบรกเกอร์


ในขณะเดียวกัน เทรดเดอร์ที่ยังไม่มีประสบการณ์หรือเทรดไม่บ่อย อาจยังอยู่ในฝั่ง B-Book ซึ่งคำสั่งจะถูกจัดการภายในบริษัท


โมเดลนี้ช่วยให้โบรกเกอร์มีความยืดหยุ่นในการควบคุมความเสี่ยง ปกป้องธุรกิจในช่วงตลาดผันผวน และยังคงสามารถให้ราคาที่แข่งขันได้แก่ลูกค้า


ตัวอย่าง


ลองจินตนาการถึงโบรกเกอร์ Forex ที่ใช้ระบบ C-Book


เทรดเดอร์มืออาชีพที่ทำกำไรได้สม่ำเสมอจากการเทรดคู่เงิน EUR/USD จะถูกจัดให้อยู่ในเส้นทาง A-Book ซึ่งคำสั่งของเขาจะถูกส่งต่อไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง เพื่อให้มั่นใจว่ามีการส่งคำสั่งในตลาดจริงและโปร่งใส


ในขณะที่เทรดเดอร์มือใหม่ที่มีขนาดการเทรดเล็กและมีการเทรดไม่สม่ำเสมอ จะยังคงอยู่ในฝั่ง B-Book โดยคำสั่งของพวกเขาจะถูกโบรกเกอร์จัดการภายในบริษัทเอง


ระบบนี้ช่วยให้โบรกเกอร์สามารถเฮดจ์ความเสี่ยงเฉพาะส่วนได้ และบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพตามโปรไฟล์ของเทรดเดอร์แต่ละคน ทำให้โบรกเกอร์ยังคงมีกำไร พร้อมทั้งมอบความโปร่งใสให้แก่ลูกค้าไปพร้อมกัน


ข้อดีและความเสี่ยง


ข้อดี / ประโยชน์ ข้อเสีย / ความเสี่ยง
ช่วยสร้างสมดุลความเสี่ยงระหว่าง A-Book และ B-Book ความโปร่งใสอาจลดลง หากไม่เปิดเผยกฎการจัดสรรคำสั่ง
มีความยืดหยุ่นในช่วงตลาดผันผวน เทรดเดอร์อาจไม่ทราบว่าคำสั่งของตนถูกส่งไปที่ไหน
รองรับทั้งผู้เริ่มต้นและเทรดเดอร์มืออาชีพ อาจยังมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในฝั่ง B-Book
ให้โบรกเกอร์บริหารความเสี่ยงได้อย่างไดนามิก โครงสร้างที่ซับซ้อนอาจทำให้มือใหม่สับสน


คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง


  • A-Book Broker: โบรกเกอร์ที่ส่งคำสั่งเทรดของลูกค้าไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง เพื่อให้มีการเทรดในตลาดจริง

  • B-Book Broker: โบรกเกอร์ที่เก็บคำสั่งเทรดของลูกค้าไว้ภายในบริษัท ซึ่งโบรกเกอร์อาจได้กำไรจากการขาดทุนของลูกค้า

  • โมเดลไฮบริด (Hybrid Model): โมเดลผสมผสานระหว่าง A-Book และ B-Book เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง

  • ผู้ให้บริการสภาพคล่อง: ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ให้ราคาซื้อ/ขายแก่โบรกเกอร์


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)


1. โบรกเกอร์ C-Book ดีกว่า A-Book หรือ B-Book หรือไม่?

ขึ้นอยู่กับแต่ละระบบ โบรกเกอร์ C-Book ผสมผสานข้อดีของทั้งสองระบบ ทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่บางครั้งอาจมีความโปร่งใสน้อยลง


2. จะรู้ได้อย่างไรว่าโบรกเกอร์ใช้โมเดล C-Book?

ส่วนใหญ่โบรกเกอร์จะไม่ประกาศเรื่องนี้อย่างเปิดเผย แต่คุณสามารถตรวจสอบนโยบายการประมวลผลคำสั่งของพวกเขา หรือสอบถามตรงๆ เกี่ยวกับวิธีจัดการคำสั่งของลูกค้าได้


3. ทำไมโบรกเกอร์ถึงใช้ระบบ C-Book?

เพื่อบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการส่งคำสั่งของเทรดเดอร์ที่ทำกำไรสม่ำเสมอไปยังตลาดจริง (A-Book) และจัดการคำสั่งของผู้ที่เทรดไม่สม่ำเสมอภายในบริษัท (B-Book)


สรุป


โบรกเกอร์ C-Book ผสานโมเดล A-Book และ B-Book เข้าด้วยกัน เพื่อบริหารความเสี่ยงแบบปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ โดยจะเลือกส่งคำสั่งเทรดตามประสิทธิภาพของเทรดเดอร์และสภาพตลาด ทำให้สามารถสร้างสมดุลระหว่างความโปร่งใสและความสามารถในการทำกำไร


แม้จะมีความยืดหยุ่นสูง แต่โครงสร้างนี้ก็ไม่เรียบง่ายเท่าระบบ A-Book หรือ B-Book แบบเดี่ยว และอาจทำให้ผู้เทรดมองไม่เห็นรายละเอียดการส่งคำสั่งแบบเต็มรูปแบบ


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ