มาร์จิ้น (Margin) คืออะไรในการเทรด?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

มาร์จิ้น (Margin) คืออะไรในการเทรด?

ผู้เขียน: Charon N.

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-26   
อัปเดตเมื่อ: 2025-12-29

มาร์จิ้น (Margin) เป็นหนึ่งในแนวคิดแรก ๆ ที่นักเทรดจะได้เรียนรู้ และก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุด หลายคน โดยเฉพาะมือใหม่ มักคิดว่ามาร์จิ้นคือค่าธรรมเนียม หรือเป็นเงินที่ยืมมาแล้วต้องนำไปคืน


ในความเป็นจริงแล้ว มาร์จิ้นคือเงินสำรอง (cash buffer) ที่ช่วยให้สถานะการเทรดยังคงเปิดอยู่ได้


ทุกครั้งที่คุณเปิดการเทรดแบบมาร์จิ้น เงินบางส่วนจากยอดเงินในบัญชีของคุณจะถูกกันไว้เพื่อรองรับสถานะนั้น ข้อกำหนดนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณสามารถเปิดออเดอร์ได้ขนาดใหญ่แค่ไหน บัญชีของคุณสามารถรับความผันผวนของราคาได้มากเพียงใด และเมื่อใดที่สถานะการเทรดอาจถูกบังคับปิด


การเข้าใจมาร์จิ้นอย่างชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันส่งผลต่อความเสี่ยงของทุกการเทรด ไม่ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวช้าหรือผันผวนรุนแรงก็ตาม


คำนิยาม

มาร์จิ้น (Margin) หรือที่เรียกว่า เลเวอเรจ (Leverage) คือจำนวนเงินที่นักเทรดต้องกันไว้ในบัญชีซื้อขาย เพื่อใช้ในการเปิดและคงสถานะการเทรดไว้ มาร์จิ้นไม่ใช่ค่าธรรมเนียม และไม่ใช่ต้นทุน



แต่ทำหน้าที่เป็นเงินประกัน (security deposit) ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมขนาดการเทรดที่ใหญ่กว่ายอดเงินสดในบัญชีของตนเองตามปกติได้


เมื่อคุณเทรดด้วยมาร์จิ้น โบรกเกอร์จะจัดสรรเงินเพิ่มเติมให้ชั่วคราวเพื่อรองรับสถานะนั้น ตราบใดที่ออเดอร์ยังคงเปิดอยู่ เงินบางส่วนในบัญชีของคุณจะถูกล็อกไว้เป็นมาร์จิ้น และไม่สามารถนำไปใช้เปิดการเทรดอื่นได้


เหตุใดมาร์จิ้นจึงสำคัญต่อนักเทรด?

เหตุใดมาร์จิ้นจึงสำคัญต่อนักเทรด มาร์จิ้นส่งผลต่อ:

  • ขนาดของสถานะการเทรดที่คุณสามารถเปิดได้

  • จำนวนออเดอร์ที่คุณสามารถถือพร้อมกันได้

  • ระดับการเคลื่อนไหวของราคาที่บัญชีของคุณสามารถรับไหว


หากใช้อย่างระมัดระวัง มาร์จิ้นจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเทรด แต่หากใช้โดยขาดการควบคุม ก็จะเพิ่มโอกาสในการขาดทุนอย่างรวดเร็ว


ประเภทของมาร์จิ้นในการเทรด

1. มาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin)

มาร์จิ้นเริ่มต้น คือจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในการเปิดออเดอร์ใหม่ โดยคำนวณเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของขนาดสถานะทั้งหมด นี่คือมาร์จิ้นประเภทแรกที่นักเทรดจะได้พบ และเป็นตัวกำหนดว่าคุณสามารถเปิดออเดอร์นั้นได้หรือไม่


2. มาร์จิ้นที่ใช้งานอยู่ (Used Margin)

มาร์จิ้นที่ใช้งานอยู่ คือส่วนของยอดเงินในบัญชีที่ถูกล็อกไว้เพื่อรองรับสถานะการเทรดที่เปิดอยู่ ขณะที่มาร์จิ้นส่วนนี้ถูกใช้งาน จะไม่สามารถนำไปใช้เปิดออเดอร์ใหม่ได้


3. มาร์จิ้นคงเหลือ (Free Margin)

มาร์จิ้นคงเหลือ คือเงินที่ยังสามารถใช้งานได้ในบัญชี หลังจากกันมาร์จิ้นที่ใช้งานอยู่ไว้แล้ว เงินส่วนนี้ทำหน้าที่เป็นกันชนสำหรับรับผลขาดทุน และช่วยให้คุณสามารถเปิดการเทรดเพิ่มเติมได้


4. มาร์จิ้นคงรักษา (Maintenance Margin)

มาร์จิ้นคงรักษา คือระดับเงินทุนขั้นต่ำ (Equity) ที่จำเป็นต้องมีเพื่อคงสถานะการเทรดไว้ หากเงินทุนในบัญชีลดลงต่ำกว่าระดับนี้จากการขาดทุน บัญชีจะเริ่มอยู่ในภาวะเสี่ยง


5. ระดับมาร์จิ้นคอล (Margin Call Level)

แม้จะไม่ใช่ประเภทของมาร์จิ้น แต่เป็นระดับเตือน เมื่อเงินทุน (Equity) ลดลงเข้าใกล้ระดับมาร์จิ้นคงรักษา โบรกเกอร์อาจแจ้งเตือนหรือจำกัดการเปิดออเดอร์ใหม่


6. ระดับ Stop Out (Stop-Out Margin)

ระดับ Stop Out คือจุดที่สถานะการเทรดจะถูกปิดโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนเพิ่มเติม ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเงินทุนในบัญชีลดลงต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับมาร์จิ้นที่ใช้งานอยู่


7. มาร์จิ้นแปรผัน (Variation Margin – ใช้ในบางตลาด)

ในตลาดฟิวเจอร์สและตลาดมืออาชีพบางประเภท มาร์จิ้นแปรผันหมายถึงกำไรหรือขาดทุนรายวันที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของราคา โดยกำไรจะถูกเพิ่มเข้าในบัญชี และขาดทุนจะถูกหักออกอย่างสม่ำเสมอ


ตัวอย่างการใช้งานมาร์จิ้นในการเทรด

ตัวอย่างที่ 1: การเปิดออเดอร์ Forex

คุณมีเงินในบัญชี $1,000 และโบรกเกอร์กำหนดให้ใช้มาร์จิ้น 5% ต่อการเทรดหนึ่งรายการ


  • ขนาดการเทรด: $10,000

  • มาร์จิ้นที่ต้องใช้: $500


โบรกเกอร์จะล็อกเงิน $500 ไว้เป็นมาร์จิ้น ส่วนเงินที่เหลืออีก $500 จะยังคงเป็นมาร์จิ้นคงเหลือ (Free Margin) สำหรับเปิดออเดอร์อื่น หรือใช้รองรับการขาดทุน หากปิดออเดอร์แล้ว เงินมาร์จิ้น $500 จะถูกปลดล็อกและกลับมาใช้ได้ตามปกติ


ตัวอย่างที่ 2: มาร์จิ้นเปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนไหวของราคา

คุณเปิดออเดอร์โดยใช้มาร์จิ้น $300 หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณและเริ่มขาดทุน มาร์จิ้นคงเหลือในบัญชีจะลดลงเรื่อย ๆ หากการขาดทุนเข้าใกล้ระดับเงินที่เหลืออยู่ โบรกเกอร์อาจส่งสัญญาณเตือนมาร์จิ้น (Margin Warning) หรือปิดสถานะบางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อป้องกันการขาดทุนเพิ่มเติม


ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า มาร์จิ้นมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโดยตรง ไม่ใช่แค่ขนาดการเทรดเท่านั้น


มาร์จิ้นเปลี่ยนแปลงอย่างไรขณะออเดอร์ยังเปิดอยู่

มาร์จิ้นไม่ใช่ตัวเลขคงที่หลังจากคุณเข้าออเดอร์แล้ว แต่ความสำคัญของมันจะเปลี่ยนไปตามการเคลื่อนไหวของราคา


เมื่อราคาเคลื่อนไหวเป็นบวกกับคุณ การขาดทุนจะลดลงหรือกลายเป็นกำไร เงินคงเหลือในบัญชีเพิ่มขึ้น แรงกดดันด้านมาร์จิ้นลดลง คุณจะมีพื้นที่มากขึ้นในการถือออเดอร์ต่อหรือเปิดออเดอร์ใหม่


เมื่อราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณ การขาดทุนจะกินเงินคงเหลือในบัญชี แม้มาร์จิ้นที่ต้องใช้ยังเท่าเดิม แต่มาร์จิ้นคงเหลือจะลดลง หากขาดทุนมากเกินไป บัญชีอาจมีเงินไม่เพียงพอรองรับสถานะนั้น ซึ่งเป็นจุดที่อาจเกิดมาร์จิ้นคอลหรือการปิดออเดอร์อัตโนมัติ


นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักเทรดต้องติดตามระดับมาร์จิ้น ไม่ใช่ดูแค่จุดเข้าและจุดออกการเทรด เพราะมาร์จิ้นสะท้อน “สุขภาพของบัญชี” แบบเรียลไทม์ การเผื่อเงินสำรองไว้ช่วยรองรับความผันผวนปกติของราคา และลดความเสี่ยงจากการถูกปิดออเดอร์กะทันหันในช่วงตลาดผันผวนแรง


การบริหารมาร์จิ้นอย่างปลอดภัยของนักเทรด

การจัดการมาร์จิ้นที่ดีควรประกอบด้วย:

  • ใช้ขนาดการเทรดที่เล็กลง

  • เผื่อมาร์จิ้นคงเหลือไว้ให้มากพอ

  • หลีกเลี่ยงการเปิดออเดอร์มากเกินไป (Overtrading)

  • ติดตามสถานะการเทรดอย่างสม่ำเสมอ


มาร์จิ้นจะมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมความเสี่ยง ไม่ใช่เป็นวิธีเพิ่มขนาดเดิมพันเกินตัว


เหตุใดข้อกำหนดมาร์จิ้นจึงแตกต่างกันในแต่ละตลาด

  • สินทรัพย์แต่ละประเภทมีระดับความเสี่ยงแตกต่างกัน ดังนั้นมาร์จิ้นจึงถูกกำหนดให้สูงขึ้นในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว หรือมีโอกาสเกิดช่องว่างราคา (Gap) บ่อยครั้ง

  • โดยทั่วไป คู่เงินหลักจะใช้มาร์จิ้นต่ำกว่า เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงและมีปริมาณการซื้อขายจำนวนมาก

  • ในขณะที่ สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี และสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ต้องใช้มาร์จิ้นมากกว่า เพราะราคามีการแกว่งตัวรุนแรงและคาดการณ์ได้ยากกว่า

  • ข้อกำหนดมาร์จิ้นอาจถูกปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือภาวะตลาดตึงเครียด แม้ว่าสินทรัพย์นั้นโดยปกติจะมีความเสถียรก็ตาม

  • มาร์จิ้นที่สูงขึ้นทำหน้าที่เป็นกันชนด้านความปลอดภัย เพื่อปกป้องบัญชีจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ฉับพลันและรุนแรง

  • ดังนั้น นักเทรดควรตรวจสอบกฎและเงื่อนไขเกี่ยวกับมาร์จิ้นทุกครั้งก่อนเข้าออเดอร์ โดยเฉพาะในช่วงที่มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญ


คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

  • เลเวอเรจ : อัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่าขนาดของสถานะการเทรดใหญ่กว่ามาร์จิ้นที่ใช้เปิดออเดอร์กี่เท่า

  • มาร์จิ้นคงเหลือ (Free Margin) : ส่วนของเงินในบัญชีที่ยังไม่ถูกล็อกกับออเดอร์ที่เปิดอยู่ และสามารถใช้รองรับการขาดทุนได้

  • มาร์จิ้นคอล (Margin Call) : สัญญาณเตือนว่าเงินในบัญชีของคุณเริ่มไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับสถานะการเทรดที่เปิดอยู่

  • ยอดเงินในบัญชี (Account Balance) : จำนวนเงินทั้งหมดในบัญชี ก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากออเดอร์ที่ยังเปิดอยู่

  • เงินทุน (Equity) : มูลค่าบัญชีแบบเรียลไทม์ ซึ่งรวมกำไรหรือขาดทุนจากออเดอร์ที่เปิดอยู่แล้ว

  • ขนาดสัญญา : มูลค่ารวมของการเทรด ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าต้องใช้มาร์จิ้นเท่าใด


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. มาร์จิ้นเหมือนกับเลเวอเรจหรือไม่?

ไม่เหมือนกัน มาร์จิ้นและเลเวอเรจมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน มาร์จิ้นคือเงินที่คุณวางเป็นหลักประกัน ส่วนเลเวอเรจคืออัตราส่วนที่บอกว่าขนาดการเทรดใหญ่กว่าเงินที่วางไว้กี่เท่า ตัวอย่างเช่น มาร์จิ้น 5% เท่ากับเลเวอเรจ 20:1 การเข้าใจมาร์จิ้นก่อนจะช่วยให้นักเทรดควบคุมการใช้เลเวอเรจได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น


2. จะเสียเงินมาร์จิ้นหรือไม่?

ตัวมาร์จิ้นเองไม่ได้หายไป สิ่งที่คุณอาจเสียคือกำไรหรือขาดทุนจากการเทรด หากออเดอร์ปิดที่ขาดทุน ความขาดทุนนั้นจะถูกหักจากยอดเงินในบัญชี รวมถึงเงินที่ใช้เป็นมาร์จิ้นด้วย แต่หากออเดอร์ปิดโดยไม่ขาดทุน เงินมาร์จิ้นจะถูกคืนกลับมาเต็มจำนวน


3. มาร์จิ้นคอล (Margin Call) คืออะไร?

มาร์จิ้นคอลเกิดขึ้นเมื่อเงินในบัญชีลดลงจนไม่เพียงพอรองรับออเดอร์ที่เปิดอยู่ ซึ่งมักเกิดจากการขาดทุน โบรกเกอร์อาจขอให้คุณเติมเงินเพิ่ม หรือปิดสถานะบางส่วนหรือทั้งหมดโดยอัตโนมัติ นี่เป็นกลไกด้านความปลอดภัยเพื่อจำกัดการขาดทุน และปกป้องทั้งนักเทรดและโบรกเกอร์


4. ข้อกำหนดมาร์จิ้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?

ได้ โบรกเกอร์สามารถปรับเพิ่มข้อกำหนดมาร์จิ้นในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง มีข่าวสำคัญ หรือเกิดความตึงเครียดในตลาด ซึ่งหมายความว่าคุณอาจต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อถือสถานะการเทรดขนาดเดิม นักเทรดควรตรวจสอบกฎมาร์จิ้นทุกครั้งก่อนเทรด โดยเฉพาะในช่วงประกาศข่าวสำคัญ


5. การเทรดด้วยมาร์จิ้นมีความเสี่ยงสำหรับมือใหม่หรือไม่?

มีความเสี่ยงได้ มาร์จิ้นจะขยายทั้งกำไรและขาดทุน การเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อยอดเงินในบัญชี สำหรับมือใหม่ มักเหมาะที่จะเริ่มจากขนาดการเทรดที่เล็ก และทำความเข้าใจผลกระทบของมาร์จิ้นให้ชัดเจนก่อนเพิ่มขนาดการเทรด


สรุป

มาร์จิ้นคือเงินที่กันไว้เพื่อรองรับการเทรด มันช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น แต่ก็มาพร้อมความรับผิดชอบที่สูงขึ้น นักเทรดที่เข้าใจว่ามาร์จิ้นทำงานอย่างไร เปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างไร และส่งผลต่อความเสี่ยงอย่างไร จะมีความพร้อมมากกว่าในการเทรดอย่างสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงจากแรงกดดันต่อบัญชีอย่างฉับพลัน


ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ