เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-23 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-24
มาร์จิ้น (Margin) คือเสมือน “สายเลือด” ของการเทรดแบบมีเลเวอเรจ เปรียบได้กับออกซิเจนที่ทำให้ทุกดีลของคุณยังมีชีวิตอยู่ เพราะหากมาร์จิ้นไม่เพียงพอ แม้กลยุทธ์ที่ชนะก็อาจ “ขาดอากาศ” จนพอร์ตพังภายใต้แรงกดดันของตลาดได้ ทุกครั้งที่คุณเปิดสถานะในตลาด Forex สินค้าโภคภัณฑ์ หรือดัชนี ส่วนหนึ่งของเงินทุนจะถูกใช้เป็น มาร์จิ้น (Margin) ซึ่งเป็นตัวกำหนดขนาดความเสี่ยงและศักยภาพในการทำกำไร การจัดการมาร์จิ้นอย่างถูกวิธีจึงเป็นตัวชี้ชะตาว่าเส้นทางเทรดของคุณจะ “เติบโต” หรือ “จบลงก่อนเวลา”
ในยุคที่ตลาดผันผวนได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และสภาพคล่องอาจหายไปทันทีเมื่อมีข่าวสำคัญ การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Free Margin และ Used Margin กลายเป็นสิ่งจำเป็น หลายคนเพิ่งจะตระหนักถึงมันก็ต่อเมื่อได้รับ “Margin Call” จากโบรกเกอร์ ซึ่งมักจะสายเกินไปแล้ว การเข้าใจและควบคุมสมดุลระหว่าง Free Margin กับ Used Margin ได้อย่างชำนาญ จะช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยง ป้องกันการถูกปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติ และสร้างวินัยในการเทรดแบบมืออาชีพอย่างแท้จริง

มาร์จิ้น (Margin) คือเงินทุนที่โบรกเกอร์ต้องการให้คุณกันไว้เป็น “หลักประกัน” เมื่อคุณเปิดออเดอร์ที่ใช้เลเวอเรจ เปรียบเสมือนเงินวางค้ำประกันที่ช่วยให้มั่นใจว่าคุณสามารถรับมือกับความเสี่ยงจากการขาดทุนได้
ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้เลเวอเรจ 1:100 คุณจะต้องใช้เพียง 1% ของมูลค่าการเทรดทั้งหมดเป็นมาร์จิ้น หมายความว่าเงินฝากเพียง 1,000 ดอลลาร์ สามารถควบคุมสถานะมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ ได้ แต่เลเวอเรจนี้จะ “ขยาย” ทั้งกำไรและขาดทุน ดังนั้นการบริหารมาร์จิ้นอย่างมีวินัยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
เมื่อคุณเห็นตัวเลขอย่าง Balance, Equity, Used Margin, และ Free Margin บนแพลตฟอร์มเทรด ตัวเลขเหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์กันแบบเรียลไทม์ ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง มาร์จิ้นที่ต้องใช้ต่อออเดอร์จะยิ่งน้อย แต่ Free Margin ของคุณก็อาจหายไปอย่างรวดเร็วหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง
มาร์จิ้นที่ถูกใช้ (Used Margin) คือจำนวนเงินทั้งหมดที่ถูกกันไว้สำหรับออเดอร์ที่เปิดอยู่ เปรียบได้กับเงินที่ถูก “ล็อก” ไว้เพื่อค้ำประกันการเทรดของคุณให้คงอยู่
สูตรคำนวณ:
Used Margin = ผลรวมของมาร์จิ้นที่ต้องใช้ในทุกออเดอร์ที่เปิดอยู่
ตัวอย่างเช่น:
เทรดเดอร์เปิดสองออเดอร์ ได้แก่ EUR/USD (1 ล็อต) ต้องใช้มาร์จิ้น 500 ดอลลาร์ USD/JPY (1 ล็อต) ต้องใช้มาร์จิ้น 500 ดอลลาร์ ดังนั้น Used Margin = 1,000 ดอลลาร์
ตราบใดที่ออเดอร์เหล่านี้ยังเปิดอยู่ เงิน 1,000 ดอลลาร์นี้จะไม่สามารถนำไปใช้เปิดออเดอร์ใหม่ได้ หากโบรกเกอร์เพิ่มข้อกำหนดมาร์จิ้นในช่วงตลาดผันผวน เช่น ตอนประกาศอัตราดอกเบี้ย มูลค่า Used Margin ก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Free Margin ที่เหลือลดลง
ดังนั้น Used Margin บ่งบอกว่าคุณได้ใช้เงินทุนไปเท่าไหร่ในการรักษาออเดอร์ การมี Used Margin สูงเกินไปอาจทำให้คุณขาดความยืดหยุ่น โดยเฉพาะเมื่อ Equity เริ่มลดลง
มาร์จิ้นที่เหลือ (Free Margin) คือเงินทุนที่เหลืออยู่ในบัญชีหลังจากหัก Used Margin แล้ว มันคือ “พื้นที่หายใจทางการเงิน” ของคุณ
สูตรคำนวณ:
Free Margin = Equity – Used Margin
ตัวอย่าง:
หาก Equity ในบัญชีของคุณคือ 5,000 ดอลลาร์ และ Used Margin คือ 1,500 ดอลลาร์ คุณจะเหลือ Free Margin = 3,500 ดอลลาร์ คุณสามารถใช้เงินส่วนนี้เพื่อเปิดออเดอร์ใหม่ หรือรองรับผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากออเดอร์ที่เปิดอยู่
หากออเดอร์ของคุณมีกำไร Equity จะเพิ่มขึ้น ทำให้ Free Margin มากขึ้น แต่หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง Equity จะลดลง และ Free Margin ก็จะหดตัวตามไป เมื่อ Free Margin ลดลงจนถึงศูนย์ โบรกเกอร์อาจส่ง “Margin Call” เพื่อเตือนให้เติมเงิน หรือในบางกรณีอาจปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันบัญชีติดลบ
ในปี 2025 โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ตั้งระดับ Margin Call ไว้ที่ประมาณ 50%–70% และระดับ Stop-Out — ซึ่งเป็นจุดที่ระบบปิดออเดอร์อัตโนมัติ — มักอยู่ที่ราว 20%
Free Margin และ Used Margin จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเมื่อราคาตลาดเคลื่อนไหว ทั้งสองเป็นเหมือน “สองด้านของเหรียญเดียวกัน” ด้านหนึ่งสะท้อน ภาระผูกพัน (Commitment) ของคุณ ส่วนอีกด้านคือ ความยืดหยุ่น (Flexibility) ที่คุณเหลืออยู่ในการเทรด
ลองจินตนาการถึง กระดานหก (Seesaw) เมื่อฝั่งหนึ่ง (Used Margin) สูงขึ้นจากการเปิดออเดอร์ใหม่ ฝั่งอีกด้าน (Free Margin) ก็จะลดลง แต่ถ้าออเดอร์ของคุณมีกำไร กระดานจะเอนไปอีกฝั่ง กำไรที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ Equity สูงขึ้น และ Free Margin ก็เพิ่มตามไปด้วย ในทางกลับกัน เมื่อเกิดการขาดทุน Equity จะลดลง ทำให้ Free Margin หดตัวและเพิ่มความเสี่ยงในการถูกบังคับปิดออเดอร์
ตัวอย่าง:
สมมติว่าคุณมี Equity 10,000 ดอลลาร์ และเปิดสองออเดอร์ที่ใช้มาร์จิ้นรวม 2,000 ดอลลาร์ หากทั้งสองออเดอร์มีกำไรเพิ่มขึ้น 1,000 ดอลลาร์ Equity จะกลายเป็น 11,000 ดอลลาร์ และ Free Margin จะเพิ่มเป็น 9,000 ดอลลาร์ แต่หากตลาดกลับทิศและขาดทุน 1,500 ดอลลาร์ Equity จะลดเหลือ 8,500 ดอลลาร์ และ Free Margin จะลดลงเหลือ 6,500 ดอลลาร์
หัวใจสำคัญของการอยู่รอดในการเทรด คือการรักษา Free Margin ให้เพียงพอสำหรับรับมือกับการขาดทุนชั่วคราว และควบคุม Used Margin ให้อยู่ในระดับที่จัดการได้
ความสำคัญของการบริหารมาร์จิ้นถูกตอกย้ำอย่างชัดเจนในช่วงวิกฤตตลาดที่ผ่านมา
ในเดือนมีนาคม 2020 เมื่อโควิด-19 ระบาด ตลาดทั่วโลกเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง ส่งผลให้โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์และ CFD รายงานจำนวน “Margin Call” พุ่งสูง เทรดเดอร์รายย่อยที่ใช้เลเวอเรจสูงเห็น Free Margin ของตนหายไปในพริบตา เนื่องจากราคาทองคำ น้ำมัน และสกุลเงินหลักผันผวนกว่า 5% ภายในวันเดียว ผู้ที่ใช้ Used Margin มากเกินไปถูกปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติ
ในปี 2022 เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ความผันผวนกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในคู่เงิน USD และ GBP ทำให้เกิด Margin Call จำนวนมาก เทรดเดอร์บางรายที่ไม่ได้รักษา Free Margin ให้เพียงพอ สูญเสียบัญชีทั้งหมด เนื่องจากโบรกเกอร์ต้องปิดสถานะเพื่อป้องกันบัญชีติดลบ
เทรดเดอร์มืออาชีพจึงได้บทเรียนว่า ควรรักษา Free Margin ให้อยู่ที่ 50–70% ของ Equity เพื่อดูดซับความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งในปี 2025 แนวทางนี้กลายเป็นมาตรฐานของการบริหารความเสี่ยง
การเข้าใจคณิตศาสตร์เบื้องหลังมาร์จิ้นช่วยให้คุณวางแผนความเสี่ยงได้อย่างมีระบบ
คำนวณมาร์จิ้นที่ต้องใช้:
Margin = (ขนาดล็อต × ขนาดสัญญา) ÷ เลเวอเรจ
ตัวอย่าง: สำหรับ 1 ล็อตของ EUR/USD (100,000 หน่วย) ที่เลเวอเรจ 1:100 ต้องใช้มาร์จิ้น = 1,000 ดอลลาร์
คำนวณ Used Margin:
รวมมาร์จิ้นที่ใช้ทั้งหมดจากทุกออเดอร์ที่เปิดอยู่
คำนวณ Free Margin:
Free Margin = Equity – Used Margin
คำนวณระดับมาร์จิ้น (%):
Margin Level = (Equity ÷ Used Margin) × 100
ตัวอย่าง:
Equity = 5,000 ดอลลาร์
Used Margin = 1,000 ดอลลาร์
Margin Level = (5,000 ÷ 1,000) × 100 = 500%
หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง และ Equity ลดลงเหลือ 1,200 ดอลลาร์ Margin Level = (1,200 ÷ 1,000) × 100 = 120% ซึ่งเข้าใกล้ “โซนอันตราย”
เกณฑ์สำคัญของ Margin Level
200%: ปลอดภัย
100%: เริ่มน่ากังวล
ต่ำกว่า 50%: เสี่ยงถูก Stop-Out
แพลตฟอร์มเทรดยุคใหม่จะแสดงตัวเลขเหล่านี้แบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์สามารถติดตามความเสี่ยงได้ทันทีและตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน
ตลาดการเงินทั่วโลกในปี 2025 ยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง จากแรงกดดันของเงินเฟ้อ, อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติ (AI-Driven Trading) และ ความคาดหวังอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เหวี่ยงแรงในระยะเวลาอันสั้น ตามรายงานของ FCA (Financial Conduct Authority) ปี 2024 ระบุว่า กว่า 70% ของเทรดเดอร์รายย่อยขาดทุน ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก การบริหารมาร์จิ้นที่ผิดพลาด
เมื่อเทรดเดอร์ใช้เลเวอเรจเกินตัว หรือไม่รักษา Free Margin ให้เพียงพอ แม้ความเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยก็สามารถล้างพอร์ตได้ในพริบตา ในทางกลับกัน เทรดเดอร์มืออาชีพมองว่า “มาร์จิ้น” ไม่ใช่เครื่องมือในการเพิ่มความเสี่ยง แต่คือ เกราะป้องกันความปลอดภัยของพอร์ต การรักษา สัดส่วน Free Margin ให้อยู่ในระดับสูง ช่วยให้พวกเขาทนต่อความผันผวนได้มากกว่า อยู่ในตลาดได้นานขึ้น และมีโอกาสพลิกกลับมาทำกำไรจากการรีบาวด์ของตลาด แทนที่จะถูกปิดออเดอร์ก่อนเวลา

รักษา Free Margin ให้อยู่เหนือระดับ 50–70%:
เพื่อให้มีพื้นที่รับแรงผันผวนระยะสั้นของตลาด
ใช้คำสั่ง Stop-Loss:
เพื่อปกป้อง Equity ของคุณจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่คาดคิด
หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจมากเกินไป:
เพราะเลเวอเรจไม่ได้เพิ่มแค่กำไร แต่ยัง “ขยาย” ความเสี่ยงขาดทุนด้วย
กระจายพอร์ตการเทรด:
อย่าเปิดหลายออเดอร์ในคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์กันมาก เพราะอาจเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันและเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว
ติดตามค่ามาร์จิ้นแบบเรียลไทม์:
ใช้แพลตฟอร์ม MT4 หรือ MT5 เพื่อตรวจสอบตัวเลขสำคัญ เช่น Margin, Equity และ Free Margin แบบทันที เพื่อให้คุณควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อ Free Margin = 0 คุณจะไม่สามารถเปิดออเดอร์ใหม่ได้อีกต่อไป และหากการขาดทุนยังดำเนินต่อ โบรกเกอร์จะส่ง “Margin Call” เพื่อเตือนให้เพิ่มเงินในบัญชี หรือในบางกรณีอาจเริ่ม ปิดสถานะอัตโนมัติ (Stop-Out) เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีติดลบ
คุณสามารถเพิ่ม Free Margin ได้โดยการ:
เติมเงินเข้าบัญชี (Deposit เพิ่มทุน)
ปิดบางออเดอร์เพื่อลดการใช้มาร์จิ้น
ใช้ขนาดล็อต (Lot Size) ที่เล็กลง
หรือลดเลเวอเรจ (Leverage) ลง ซึ่งจะทำให้ความต้องการมาร์จิ้นต่อออเดอร์ลดลงและมี Equity เหลือมากขึ้นสำหรับใช้เทรดอย่างยืดหยุ่น
เพราะ Used Margin แสดงถึง “จำนวนเงินที่คุณได้ผูกไว้กับออเดอร์ที่เปิดอยู่” หากมี Used Margin สูงเกินไป คุณจะมีพื้นที่รับความเสี่ยงน้อยลง และไม่สามารถเปิดออเดอร์ใหม่ได้อย่างปลอดภัย
สมดุลระหว่าง Free Margin และ Used Margin คือ “จังหวะการเต้นของหัวใจ” Free Margin คือ “พื้นที่ปลอดภัยและความยืดหยุ่น” ส่วน Used Margin คือ “ภาระผูกพันและความเสี่ยงที่คุณรับไว้”การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งนี้ จะช่วยให้คุณควบคุมความเสี่ยง รับมือกับความผันผวน และตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์
เทรดเดอร์มืออาชีพไม่กลัวมาร์จิ้น แต่บริหารจัดการมันได้ พวกเขารักษา Free Margin ให้อยู่ในระดับปลอดภัย ใช้เลเวอเรจอย่างเหมาะสม และเตรียมแผนรับมือกรณีแย่ที่สุด เพื่อให้กลยุทธ์สามารถอยู่รอดได้ในตลาดโลกที่ไม่แน่นอน
ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity): มูลค่ารวมของบัญชี รวมทั้งกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่ปิดสถานะ
เลเวอเรจ: ตัวคูณที่ช่วยให้เทรดเดอร์ควบคุมสถานะขนาดใหญ่ด้วยเงินทุนน้อย
การเรียกหลักประกัน (Margin Call): การแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เมื่อ Free Margin ต่ำเกินไปจนไม่สามารถรักษาออเดอร์ที่เปิดอยู่ได้
ระดับการหยุดการซื้อขาย: จุดที่โบรกเกอร์จะเริ่มปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนเกินยอดเงินในบัญชี
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ