เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-11
หุ้น Oracle ปิดการซื้อขายในช่วงตลาดปกติวันนี้ด้วยการขยับขึ้นเล็กน้อย แต่กลับพลิกดิ่งอย่างรุนแรงในช่วงซื้อขายหลังปิดตลาด โดยร่วงประมาณ 11.5% จากราว 223.01 ดอลลาร์ ณ ราคาปิด ลงมาใกล้ระดับ 197 ดอลลาร์ หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปีงบประมาณและแผนการใช้จ่ายที่ปรับเพิ่มขึ้น
การเทขายครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนว่าการพลาดเป้ายอดรายได้ ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายลงทุนเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลด้าน AI อาจกดดันกระแสเงินสดและผลตอบแทนของ Oracle ในระยะสั้น แม้บริษัทจะเน้นย้ำว่ามียอดคำสั่งซื้อที่รอส่งมอบด้าน AI อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก็ตาม
ราคาปิดช่วงตลาดปกติ: ประมาณ 223.01 ดอลลาร์ (+0.67%)
ราคาหลังปิดตลาด (After-hours): ร่วงแรงราว 11.5% ลงมาใกล้ 197 ดอลลาร์ (ประมาณ −25.71 ดอลลาร์)
รายได้รวม: ประมาณ 16.1 พันล้านดอลลาร์ (เติบโต ~14% YoY) — ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์บางรายคาดไว้เล็กน้อย
กำไรต่อหุ้น (Adjusted EPS): 2.26 ดอลลาร์ — สูงกว่าคาดการณ์ตลาด โดยได้รับแรงหนุนบางส่วนจากกำไรพิเศษ 2.7 พันล้านดอลลาร์จากการขายหุ้นในบริษัท Ampere
ยอดคำสั่งซื้อคงค้าง (RPO / ยอดที่รอรับรู้รายได้): อยู่ที่ระดับสูงสุดใหม่ 523 พันล้านดอลลาร์ โดยมีสัญญาที่เกี่ยวข้องกับ AI จำนวนมากเป็นแรงขับเคลื่อน
แนวโน้มการใช้จ่ายลงทุน (CapEx): Oracle เปิดเผยว่าการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สู่ระดับหลายพันล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ และมีรายงานว่าบริษัทมีแผนลงทุนรายปีใกล้ 50 พันล้านดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนรู้สึกกังวลอย่างมาก
ในมุมแรก ผลประกอบการดูเหมือนจะออกมาแบบ “ก้ำกึ่ง” คือกำไรต่อหุ้นแบบปรับปรุงสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่รายได้รวมกลับต่ำกว่าประมาณการที่นักลงทุนส่วนใหญ่ตั้งความหวังไว้ อีกทั้งตัวเลข EPS ที่ออกมาดีบางส่วนมาจากกำไรครั้งเดียวจากการขายหุ้นใน Ampere ทำให้นักลงทุนบางรายมองว่ากำไรนี้อาจไม่สะท้อนแรงขับเคลื่อนของธุรกิจหลักอย่างแท้จริง
การผสมกันของประเด็นเรื่อง “คุณภาพของกำไร” และยอดรายได้ที่พลาดเป้า มักเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความผันผวนที่รุนแรงกว่าปกติในช่วงซื้อขายหลังปิดตลาด โดยเฉพาะเมื่อสถาบันขนาดใหญ่และผู้เล่นในตลาดอนุพันธ์ต้องเร่งปรับพอร์ตตามข้อมูลใหม่ทันทีที่ประกาศออกมา

Oracle กำลังเร่งขยายศักยภาพของศูนย์ข้อมูลอย่างหนักเพื่อรองรับงานด้าน AI ให้กับลูกค้ารายใหญ่ ผู้บริหารเปิดเผยว่าการใช้จ่ายลงทุน (CapEx) ในไตรมาสล่าสุดพุ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก และมีรายงานระบุว่า Oracle อาจเตรียมทุ่มงบลงทุนเกือบ 50 พันล้านดอลลาร์ ในปีหน้าเพื่อสร้างและเช่าพื้นที่ศูนย์ข้อมูลรองรับลูกค้า AI ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำให้ตลาดตกใจไม่น้อย
การลงทุนแบบเร่งล่วงหน้าลักษณะนี้อาจกดดันกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) และสร้างความกังวลด้านภาระหนี้ในระยะสั้น แม้ว่าจะช่วยรองรับรายได้ระยะยาวก็ตาม นักลงทุนจำนวนมากจึงเริ่มประเมินว่าผลตอบแทนจากการลงทุนมหาศาลนี้อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้กว่าจะเห็นผลจริง
Oracle รายงานยอดคำสั่งซื้อคงค้าง (RPO) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 523 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงศักยภาพรายได้ก้อนใหญ่ในอนาคตจากสัญญา AI ขนาดมหึมา รวมถึงดีลที่เกี่ยวข้องกับ Nvidia และ Meta แต่ยอดคำสั่งซื้อจำนวนมากนี้ยังไม่สามารถบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับรายได้ปัจจุบันและแรงกดดันด้านกระแสเงินสดได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตลาดยอมรับ “ภาพอนาคตที่สวยงาม” แต่ไม่ยอมแลกกับ “ภาระทางการเงินในปัจจุบัน” หรือความเสี่ยงที่งบดุลจะอ่อนแอลง ความตึงเครียดระหว่างคำสัญญาระยะยาว กับต้นทุนระยะสั้น นี่เองที่อธิบายได้ว่าทำไม Oracle แม้จะประกาศยอดคำสั่งซื้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่หุ้นกลับดิ่งลงอย่างหนักในช่วงซื้อขายหลังปิดตลาด

หลังการประกาศผลประกอบการ มี 2 ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา:
สัญญาบางส่วนมีลักษณะ “พึ่งพาซึ่งกันและกัน” ระหว่าง Oracle กับพันธมิตรบางราย เช่น ซัพพลายเออร์ที่เป็นลูกค้าด้วย ทำให้ภาพรวมด้านรายได้และอัตรากำไรซับซ้อนขึ้น
แผนของ Oracle ที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดมหาศาลเพื่อรองรับลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ใครจะเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และ Oracle จะเริ่มเห็นผลตอบแทนที่น่าดึงดูดเมื่อใด? ขนาดและความเร็วของการเพิ่มขึ้นของ CapEx ครั้งนี้ ทำให้นักเทรดหลายรายต้องปรับประมาณการระยะสั้นหรือเพิ่มน้ำหนักความเสี่ยงขาลงในโมเดลของตนทันที
การเทรดหลังปิดตลาด (After-hours) มีสภาพคล่องน้อยกว่าช่วงปกติ ทำให้ราคามีความผันผวนตามข่าวได้ง่าย ตลาดออปชั่นได้สะท้อนการเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะมีแรงอยู่แล้ว จึงเมื่อรายได้ต่ำกว่าคาดและตัวเลข CapEx ทำให้นักลงทุนตกใจ อัลกอริทึมและกลไกป้องกันความเสี่ยงของออปชั่นจึงยิ่งเร่งให้ราคาดิ่งลง คาดว่าจะมีความผันผวนระหว่างวันสูงขึ้นในวันถัดไป เมื่อราคาตลาดปรับตัวเข้าหาจุดสมดุลใหม่ภายใต้สภาวะการซื้อขายปกติ
หากคุณติดตาม Oracle อยู่ ต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญที่ควรเฝ้าดู:
แผนการใช้จ่ายลงทุน (CapEx) และแนวทางการจัดหาเงินทุน:
ควรติดตามความเห็นของผู้บริหารเกี่ยวกับจังหวะการลงทุน และช่วงเวลาที่คาดว่าจะเริ่มสร้างกระแสเงินสดได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการประเมินมูลค่าบริษัท
การปรับแนวโน้มประมาณการสำหรับปีงบประมาณ 2026:
แม้ตัวเลขรายได้รวมอาจไม่เปลี่ยนมาก แต่การปรับมุมมองเกี่ยวกับอัตรากำไรหรือกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) อาจมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาด
ความกระจุกตัวของลูกค้าและโครงสร้างสัญญา:
นักลงทุนต้องการรู้ว่าคำสั่งซื้อในยอดค้างเป็นสัญญาที่มั่นคงและมีกำไรสูงจริงหรือไม่ หรือเป็นรายได้ที่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เชิงผู้ขาย–ลูกค้าและวิธีการบันทึกบัญชี ซึ่งอาจผันผวนได้
ตัวชี้วัดด้านเครดิตและระดับหนี้:
การเพิ่ม CapEx มักต้องอาศัยการกู้เงินเพิ่มหรือทำสัญญาเช่า ดังนั้นควรจับตาดูระดับหนี้ของ Oracle และสเปรดเครดิตว่ามีสัญญาณความตึงตัวทางการเงินหรือไม่
Oracle กำลังวางตำแหน่งตัวเองในตลาด AI Cloud ด้วยการขยายขีดความสามารถและคว้าลูกค้ารายใหญ่หลายราย หากบริษัทสามารถยึดส่วนแบ่งตลาดในความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่กำลังเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ผลตอบแทนในระยะยาวอาจสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากยอดคำสั่งซื้อคงค้างระดับสถิติที่ผู้บริหารรายงานไว้
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงก็มีมากเช่นกัน การลงทุนขนาดใหญ่ล่วงหน้าสามารถกดดันผลตอบแทนในระยะสั้น และเพิ่มความเสี่ยงด้านภาระหนี้ได้ หากรายได้หรืออัตรากำไรเติบโตไม่เป็นไปตามคาด สำหรับนักลงทุนสายเน้นมูลค่า คำถามสำคัญคือ การร่วงของราคาหุ้นครั้งนี้คือโอกาสในการเข้าซื้อระยะยาว หรือเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่าเดิม? ส่วนสำหรับนักเทรด ระยะสั้นน่าจะยังถูกกำหนดโดย ความผันผวน และข่าวที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง จากบริษัท
หุ้น Oracle ดิ่งลงเพราะรายได้ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ประกอบกับการเพิ่มขึ้นอย่างมากของค่าใช้จ่ายลงทุน (CapEx) เพื่อขยายศูนย์ข้อมูลด้าน AI ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลเรื่องกระแสเงินสดระยะสั้น แม้ยอดคำสั่งซื้อระยะยาวจะเติบโตแข็งแกร่งก็ตาม
ใช่ Oracle รายงานกำไรต่อหุ้นแบบปรับปรุงสูงกว่าที่คาด แต่ตัวเลขนี้ได้รับแรงหนุนจากกำไรครั้งเดียวจากการขายหุ้นใน Ampere นักลงทุนบางรายจึงมองว่าผลประกอบการไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อรายได้ออกมาต่ำกว่าคาดและต้นทุนการลงทุนเพิ่มสูงขึ้น
ประเด็นใหญ่ที่สุดคือแผนการเพิ่มค่าใช้จ่ายลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างก้าวกระโดด นักลงทุนกังวลว่าการทุ่มลงทุนหนักล่วงหน้าอาจบีบอัตรากำไรและกระแสเงินสดอิสระ ทำให้บริษัทเผชิญแรงกดดันระยะสั้นด้านงบดุล แม้จะมีสัญญารายได้ในอนาคตอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ก็ตาม
Oracle รายงานการเติบโตของธุรกิจคลาวด์ที่แข็งแกร่งและความต้องการด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อคงค้างพุ่งขึ้นเป็นสถิติใหม่ที่ 523 พันล้านดอลลาร์ แต่ตลาดกลับให้ความสำคัญกับคำถามว่า Oracle จะสามารถแปลงความต้องการเหล่านี้ให้เกิดรายได้และกำไรอย่างมีประสิทธิภาพในระยะสั้นได้หรือไม่ มากกว่าภาพอนาคตระยะยาว
ปัจจัยสำคัญได้แก่ การปรับแนวโน้มอัตรากำไร, ทิศทางกระแสเงินสดอิสระ, จังหวะการลงทุน (CapEx Timing) และรายละเอียดสัญญา AI ฉบับใหญ่ นอกจากนี้ยังต้องติดตามระดับหนี้ของบริษัท เพราะการขยายโครงสร้างพื้นฐานในวงกว้างอาจต้องพึ่งพาการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติม
การร่วงลงราว 11.5% ของหุ้น Oracle ในช่วงซื้อขายหลังปิดตลาดสะท้อนปฏิกิริยาคลาสสิกของตลาดต่อสัญญาณที่ปะปนกัน โดยมียอดคำสั่งซื้ออนาคตที่แข็งแกร่งและกำไรต่อหุ้นสูงกว่าคาด (แม้จะมีส่วนที่มาจากรายการครั้งเดียว) แต่ในขณะเดียวกันก็มีรายได้ที่พลาดเป้า และการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของค่าใช้จ่ายลงทุน ซึ่งล้วนสร้างความกังวลเกี่ยวกับกระแสเงินสดและภาระหนี้ในระยะสั้น
ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนที่เคยเชื่อมั่นในเรื่องราวการเติบโตด้าน AI ของ Oracle ต่างหยุดเพื่อทบทวนใหม่ถึงกรอบเวลาและความเสี่ยงของการลงทุนเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดแรงขายอย่างรวดเร็วและรุนแรงในช่วงซื้อขายขยายเวลา
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ