ความแตกต่าง (Divergence) ในการเทรดคืออะไร?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ความแตกต่าง (Divergence) ในการเทรดคืออะไร?

ผู้เขียน: Charon N.

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-09

ความแตกต่าง (Divergence) ในการเทรดถือเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่เชื่อถือได้มากที่สุด ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถระบุโอกาสที่แนวโน้มอาจกลับตัวได้อย่างมั่นใจมากขึ้น


โดยแก่นของความแตกต่าง คือการศึกษามโมเมนตัมของราคา เมื่อราคาเกิดจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดใหม่ แต่ตัวชี้วัดไม่สามารถยืนยันการเคลื่อนไหวนั้นได้ หมายความว่าแรงซื้อหรือแรงขายเริ่มอ่อนกำลังลง


นักเทรดมักใช้ความแตกต่างควบคู่กับการวิเคราะห์แนวโน้ม โครงสร้างแท่งเทียน และบริเวณแนวรับ–แนวต้าน เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรด


คำนิยาม

ความแตกต่างในการเทรดหมายถึงสถานการณ์ที่ราคาของสินทรัพย์ทางการเงินเคลื่อนไปในทิศทางหนึ่ง ขณะที่ตัวชี้วัดทางเทคนิคเคลื่อนไปในอีกทิศทางหนึ่ง


ความไม่สอดคล้องกันระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและพฤติกรรมของตัวชี้วัดนี้ มักเป็นสัญญาณว่าความแข็งแกร่งของแนวโน้มปัจจุบันอาจเริ่มอ่อนตัวลง


ความแตกต่างถูกใช้อย่างแพร่หลายในตลาดฟอเร็กซ์ หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีต่าง ๆ และมีคุณค่ามากเพราะสามารถเตือนนักเทรดถึงการเปลี่ยนทิศทางที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะเห็นชัดบนกราฟ


ความแตกต่างในชีวิตประจำวันรู้สึกอย่างไร?

ลองนึกถึงคนสองคนเดินขึ้นเขาด้วยกัน คนหนึ่งยังเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างมั่นคง แต่อีกคนเริ่มเดินช้าลงและตามไม่ทัน


จากระยะไกลอาจดูเหมือนว่าพวกเขายังเดินไปด้วยจังหวะเดียวกัน แต่เมื่อมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าแรงของทั้งสองไม่เท่ากันอีกต่อไป


ความแตกต่างในตลาดก็เช่นนั้น โดยราคายังเคลื่อนขึ้นหรือลง แต่ตัวชี้วัดเผยให้เห็นว่าพลังขับเคลื่อนกำลังอ่อนตัวลง ซึ่งมักเป็นสัญญาณแรกที่บอกว่าทิศทางอาจใกล้เปลี่ยน


อะไรเป็นตัวผลักดันให้เกิดความแตกต่าง?

ความแตกต่างเกิดขึ้นเพราะอินดิเคเตอร์โมเมนตัม เช่น RSI, MACD หรือ Stochastic วัดความเร็วและความแข็งแรงของการเคลื่อนไหว ไม่ใช่ราคาจริงโดยตรง


เมื่อโมเมนตัมเริ่มอ่อนลงแม้ราคายังเดินหน้าต่อ ตัวชี้วัดจะสร้างยอดหรือก้นที่ไม่ตรงกับกราฟราคา ความต่างนี้ช่วยบ่งชี้ว่าแนวโน้มเดิมเริ่มเหนื่อยล้า

อะไรทำให้เกิดความแตกต่าง?

ตัวอย่างเช่น หากคู่เงินสร้างจุดสูงสุดใหม่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ RSI กลับสร้างจุดสูงสุดที่ต่ำลง แสดงว่าโมเมนตัมไม่ได้สนับสนุนแนวโน้มอีกต่อไป


แรงที่อ่อนลงนี้มักเกิดก่อนการพักตัวหรือการกลับตัว ทำให้ความแตกต่างถูกมองว่าเป็น “สัญญาณชี้นำ” มากกว่า “สัญญาณตามหลัง”


ที่ที่ความแตกต่างมักปรากฏบ่อยที่สุด

ความแตกต่างมักเกิดขึ้นในสภาพตลาดที่โมเมนตัมเปลี่ยนเร็วกว่าราคา เช่น:

  • ปลายแนวโน้มที่แข็งแกร่ง: เมื่อแรงซื้อหรือแรงขายเริ่มอ่อนลง ตัวชี้วัดมักเคลื่อนไหวช้าตามไม่ทันราคา

  • ระหว่างการย่อตัวหรือพักฐาน (Corrections): ความแตกต่างแบบซ่อนเร้นมักเกิดขึ้นเมื่อราคาย้อนทางจากแนวโน้มหลักชั่วคราว

  • บริเวณแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ: โมเมนตัมเริ่มเปลี่ยนแม้ราคาจะมีการเบรกระดับชั่วคราว

  • ระหว่างการเคลื่อนไหวแรงจากข่าว (News-driven spikes): ราคาวิ่งเร็วเกินจริงจนเกิดความแตกต่างที่อาจอยู่ไม่นาน


ประเภทของความแตกต่าง

มีความแตกต่างหลักอยู่สองรูปแบบที่นักเทรดมักศึกษา:


1. ความแตกต่างแบบปกติ (Regular Divergence)

ความแตกต่างแบบปกติเป็นสัญญาณ “เตือนการกลับตัว” ของแนวโน้ม หากราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) แต่อินดิเคเตอร์ทำจุดสูงสุดใหม่ (Lower High) แสดงว่าแรงขายกำลังเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม


สิ่งนี้เรียกว่า Bearish regular divergence ในทางกลับกัน หากราคาทำจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าเดิม แต่อินดิเคเตอร์กลับสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น เรียกว่า Bulish regular divergence ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มขาลงอาจสูญเสียความแข็งแกร่ง


2. ความแตกต่างแบบซ่อนเร้น (Hidden Divergence)

ความแตกต่างแบบซ่อนเร้นเป็นสัญญาณ “การต่อเนื่องของแนวโน้ม” (Trend continuation) พบได้บ่อยในช่วงพักตัวของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง หากราคาทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น ขณะที่อินดิเคเตอร์ทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลง แสดงว่ามีแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง


หากราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (lower high) ขณะที่อินดิเคเตอร์ทำจุดสูงสุดใหม่ (higher high) แสดงว่ามีแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง ภาวะ Hidden Divergence ช่วยให้เทรดเดอร์ยังคงสอดคล้องกับทิศทางตลาดหลัก


วิธีที่ความแตกต่างสามารถเปลี่ยนการเทรดของคุณ

ผลกระทบต่อการเข้า ออก และความเสี่ยง

ความแตกต่างสามารถเปลี่ยนมุมมองการเทรดของคุณได้อย่างมาก


Bullish Divergence ออาจช่วยหยุดคุณไม่ให้ “ไล่ซื้อ” ในช่วงท้ายของแนวโน้มขาขึ้น Bullish divergence อาจช่วยหลีกเลี่ยงการเปิดชอร์ตในแนวโน้มขาลงที่กำลังอ่อนแรง มันยังมีผลต่อ “จังหวะปิดสถานะ” ด้วย หากเกิดความแตกต่างขณะถือออเดอร์อยู่ มักบอกว่าโมเมนตัมเริ่มลดลง นักเทรดจึงมัก ขยับจุด Stop ทยอยปิดบางส่วน หรือทำกำไรออกมา


สเปรดและค่าธรรมเนียมการซื้อขายโดยตรงไม่เปลี่ยนเพราะความแตกต่าง แต่ความเสี่ยงเปลี่ยนแน่นอน


ความแตกต่างเตือนว่าแนวโน้มอาจเปราะบางกว่าเดิม ทำให้การเบรกเอาต์ไม่น่าเชื่อถือ และการกลับตัวมีโอกาสมากขึ้น นั่นหมายความว่านักเทรดควรปรับขนาดสัญญา หรือเลือกจังหวะเข้าอย่างระมัดระวังมากขึ้น เมื่อพบความแตกต่างในตลาด


สถานการณ์ที่ดี:

  • ความแตกต่างเกิดหลังจากราคามี Swing ที่ชัดเจนและสวยงามในแนวโน้ม

  • ราคากำลังเข้าใกล้โซนสำคัญที่มีโอกาสเกิดการกลับตัว

  • ตัวชี้วัดและราคามีรูปแบบที่อ่านง่าย สอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ


สถานการณ์ที่ไม่ดี:

  • ความแตกต่างเกิดในตลาดที่แกว่งตัวไร้ทิศทาง (Sideways) และมีสัญญาณรบกวนสูง

  • การเคลื่อนไหวของตัวชี้วัดไม่ชัดเจน หรือมีความล่าช้ามาก

  • นักเทรดเข้าใจผิด คิดว่าความแตกต่างคือ “สัญญาณกลับตัวแบบการันตี” ทั้งที่จริงเป็นเพียง “สัญญาณเตือน”


ตัวอย่างจริงของความแตกต่าง

ลองนึกภาพว่า GBP/USD ขึ้นจาก 1.2500 ไปที่ 1.2700 และดันขึ้นต่อเล็กน้อยไปที่ 1.2730 บนกราฟราคาดูเหมือนยังคงแข็งแรง แต่ RSI กลับบอกอีกเรื่องหนึ่ง: ที่ 1.2700 RSI พุ่งสูงสุดที่ 68 และที่ 1.2730 พุ่งสูงสุดที่ 60 เท่านั้น

ตัวอย่างความแตกต่างในการเทรด

ราคาทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher High) แต่โมเมนตัมทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High) นี่คือสัญญาณ Bearish Divergence


หากคุณซื้อที่ 1.2730 เพราะคิดว่าแนวโน้มขาขึ้นจะไปต่อ คุณอาจติดดอยได้เมื่อ GBP/USD ย่อลงไปแถว 1.2650 แต่หากคุณเห็นความแตกต่างนี้ล่วงหน้า คุณอาจรอจังหวะดีย่อตัวก่อน หรือหลีกเลี่ยงการเข้าออเดอร์ไปเลย

ราคาพยายามดันขึ้น แต่ “แรง” ที่อยู่เบื้องหลังอ่อนลงแล้วราคาพยายามที่จะผลักดัน แต่แรงผลักดันเบื้องหลังกลับอ่อนกำลังลง

วิธีการระบุความแตกต่าง

  • นักเทรดมักใช้ความแตกต่างร่วมกับ “Oscillator” เพราะอินดิเคเตอร์ประเภทนี้แสดงโมเมนตัมโดยธรรมชาติ

  • RSI เป็นหนึ่งในตัวที่นิยมที่สุด เพราะรูปแบบทำให้เห็นความแตกต่างได้ง่าย

  • MACD ให้สัญญาณโมเมนตัมชัดเจนผ่าน Histogram และเส้นสัญญาณ

  • Stochastic Oscillator ให้ข้อมูลคล้ายกัน โดยเฉพาะในภาวะ Overbought หรือ Oversold


แม้สูตรของอินดิเคเตอร์แต่ละตัวจะแตกต่างกัน แต่หน้าที่เหมือนกันในการวิเคราะห์ความแตกต่าง คือช่วยให้นักเทรดตรวจจับได้ว่า “โมเมนตัมเริ่มไม่ไปในทิศเดียวกับราคา” การเปรียบเทียบนี้ช่วยให้เห็นรูปแบบได้ชัดเจนขึ้นและส่งเสริมการวิเคราะห์แบบมีวินัย


วิธีตรวจสอบความแตกต่างก่อนกด Buy หรือ Sell

  • เปิดกราฟและดูโครงสร้างการสวิงของราคา

  • เปรียบเทียบจุดสูง–ต่ำของอินดิเคเตอร์กับจุดสูง–ต่ำของราคา

  • หากเป็นแนวโน้มปกติที่แข็งแรง อินดิเคเตอร์และราคาควรเคลื่อนที่ไปในทิศเดียวกัน

  • หากมีความเสี่ยง ราคาอาจทำจุดสุดใหม่ แต่อินดิเคเตอร์ไม่ยืนยัน

  • ใช้หลาย Timeframe เพื่อกรองสัญญาณรบกวน

  • ตรวจดูความแตกต่างให้ดี โดยเฉพาะก่อนเข้าใกล้จุดสุดของแนวโน้ม


เคล็ดลับ: ตรวจสอบความแตกต่างทุกครั้งที่เตรียมเข้าออเดอร์ใกล้โซนแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ


คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

  • การกลับตัวของแนวโน้ม: การกลับตัวของแนวโน้มเกิดขึ้นเมื่อทิศทางหลักของตลาดเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือจากขาลงเป็นขาขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมราคาโดยรวม

  • อินดิเคเตอร์โมเมนตัม: อินดิเคเตอร์โมเมนตัมใช้วัด “ความเร็ว” และ “ความแข็งแรง” ของการเคลื่อนไหวราคา เพื่อช่วยให้นักเทรดประเมินว่าแนวโน้มกำลังแข็งแรงขึ้นหรืออ่อนแรงลง

  • พฤติกรรมราคา : การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาจริงโดยไม่พึ่งพาตัวชี้วัดมากนัก แต่เน้นศึกษารูปแบบ โครงสร้างตลาด และพฤติกรรมของแท่งเทียนเป็นหลัก


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ความแตกต่างบอกอะไรในเชิงการเทรด?

ความแตกต่างบ่งบอกว่าโมเมนตัมที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคากำลังอ่อนแรงลง ซึ่งอาจนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้ม หรือทำให้แนวโน้มเดิมเดินหน้าต่อได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของความแตกต่าง (Regular หรือ Hidden)


2. ความแตกต่างเป็นสัญญาณการเทรดที่เชื่อถือได้หรือไม่?

ความแตกต่างถือเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับ แต่ไม่สามารถใช้เดี่ยว ๆ ได้อย่างแม่นยำเสมอไป นักเทรดจึงมักใช้ร่วมกับแนวรับ–แนวต้าน การประเมินแนวโน้ม หรืออินดิเคเตอร์ยืนยันอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ


3. อินดิเคเตอร์ไหนดีที่สุดสำหรับดูความแตกต่าง?

RSI เป็นตัวที่นิยมมากเพราะมีจุดสวิงที่ชัดเจน แต่ MACD และ Stochastic ก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน ตัวเลือกที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสไตล์การวิเคราะห์ของนักเทรดแต่ละคน


สรุป

ความแตกต่างเป็นแนวคิดสำคัญในโลกการเทรด เพราะช่วยชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างราคาและโมเมนตัม เมื่อใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างมีวินัย ความแตกต่างสามารถช่วยเตือนนักเทรดถึงสัญญาณกลับตัว และช่วยยืนยันรูปแบบการต่อเนื่องของแนวโน้มได้ 


การเข้าใจโครงสร้างของความแตกต่าง การอ่านสัญญาณให้ถูกต้อง และการเชื่อมโยงกับบริบทของตลาดรอบด้าน จะช่วยให้นักเทรดทั้งมือใหม่และผู้ที่กำลังพัฒนาทักษะ สามารถเสริมสร้างความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ