เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-08
อัปเดตเมื่อ: 2025-12-09
ตลาดทุน (Capital Market) ถือเป็นเสาหลักของการเงินสมัยใหม่ ทำหน้าที่ส่งต่อเงินออมไปสู่การลงทุน ช่วยให้บริษัทระดมทุน และเปิดโอกาสให้นักลงทุนซื้อ ขาย หรือแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ การเข้าใจประเภทต่าง ๆ ของตลาดทุนเป็นสิ่งสำคัญทั้งสำหรับธุรกิจที่ต้องการเงินทุนและบุคคลที่กำลังมองหาโอกาสลงทุน
บทความนี้จะสำรวจประเภทหลักของตลาดทุน วิธีการทำงาน และเหตุผลที่ทำไมตลาดเหล่านี้จึงมีความสำคัญต่อการเงินโลกและนักลงทุนระยะยาว

โดยพื้นฐานแล้ว ตลาดทุนคือระบบที่เชื่อมระหว่างผู้ที่ต้องการเงินทุน (เช่น บริษัท รัฐบาล) กับผู้ที่มีเงินทุนให้ (เช่น นักลงทุน สถาบัน) ตลาดทุนที่มีประสิทธิภาพช่วยให้การระดมทุนมีต้นทุนต่ำ เข้าถึงนักลงทุนได้กว้าง และสภาพคล่องดีขึ้น
ตลาดทุนสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ ตลาดเบื้องต้น (Primary Market) ซึ่งเป็นที่ออกหลักทรัพย์ใหม่ และ ตลาดรอง (Secondary Market) ซึ่งเป็นที่ซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีอยู่แล้วระหว่างนักลงทุน นอกจากนี้ ตลาดทุนยังมักถูกแบ่งตามประเภทเครื่องมือ เช่น ตลาดหุ้น (Equity Market) สำหรับหุ้น และ ตลาดตราสารหนี้ (Debt Market) สำหรับพันธบัตร
ตลาดเบื้องต้น คือที่ที่หลักทรัพย์ใหม่ถือกำเนิดเป็นครั้งแรก เมื่อบริษัทต้องการระดมทุนสาธารณะ จะออกหุ้นหรือพันธบัตรใหม่ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) หรือ การออกพันธบัตร ในกระบวนการนี้ เงินทุนจะไหลตรงจากนักลงทุนไปยังผู้ออกหลักทรัพย์ การระดมทุนนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายกิจการ ลงทุนในโครงการใหม่ ชำระหนี้ หรือทำการเข้าซื้อกิจการอื่นได้
การออกหลักทรัพย์ในตลาดเบื้องต้นมอบโอกาสให้ผู้ออกได้รับเงินทุนระยะยาวภายใต้เงื่อนไขที่ถูกกำกับดูแล ความโปร่งใสและการกำกับของหน่วยงานทำให้ตลาดนี้มีความสำคัญต่อการขยายกิจการและการเติบโตอย่างรับผิดชอบของบริษัท
เมื่อหลักทรัพย์ถูกออกไปแล้ว มักจะเข้าสู่ตลาดรอง ซึ่งเป็นตลาดที่การซื้อขายเกิดขึ้นระหว่างนักลงทุนด้วยกัน ไม่ใช่ระหว่างนักลงทุนกับผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหุ้นและแพลตฟอร์มซื้อขายพันธบัตรเป็นตัวอย่างของสถานที่ซื้อขายเหล่านี้ ตลาดรองช่วยเพิ่ม สภาพคล่อง ให้กับนักลงทุน ทำให้สามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้โดยไม่กระทบต่อโครงสร้างเงินทุนของผู้ออก
ผ่านกระบวนการค้นหามูลค่าราคา (price discovery) และการเคลื่อนไหวของอุปสงค์-อุปทาน ตลาดรองยังช่วยกำหนดมูลค่าตลาดที่เป็นธรรมของหลักทรัพย์ตลอดเวลา ความยืดหยุ่นและสภาพคล่องนี้ทำให้ตลาดรองเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการลงทุนในยุคปัจจุบัน

ตลาดหุ้นเกี่ยวข้องกับหุ้นของบริษัท เมื่อผู้ลงทุนซื้อหุ้น พวกเขาจะได้สิทธิ์เป็นเจ้าของบางส่วนของบริษัท ตลาดเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจเติบโต ในขณะเดียวกันก็ให้โอกาสนักลงทุนในการรับผลตอบแทนจากการเพิ่มมูลค่าของหุ้นและเงินปันผล ตลาดหุ้นมักมีความผันผวนสูงกว่าตลาดตราสารหนี้ แต่มีโอกาสให้ผลตอบแทนระยะยาวสูงกว่า ซึ่งสอดคล้องกับความเสี่ยงที่มากขึ้น
ในปี 2024 มูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลก (Global Equity Market Capitalisation) อยู่ที่ประมาณ 126.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
จากข้อมูล FY24 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียวมีมูลค่าหลักทรัพย์เกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดหุ้นโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการจัดสรรทุนและกลยุทธ์การลงทุนทั่วโลก
ตลาดตราสารหนี้ หรือที่เรียกว่า ตลาดตราสารรายได้คงที่ (Fixed‑Income Market) เกี่ยวข้องกับตราสารต่าง ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล (Government Bonds) พันธบัตรบริษัท (Corporate Bonds) พันธบัตรเทศบาล (Municipal Bonds) และตราสารที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันหรือสินเชื่อจำนองค้ำประกัน (Asset‑Backed / Mortgage‑Backed Securities) เครื่องมือเหล่านี้ให้ ดอกเบี้ยเป็นระยะ และคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด
ในปี 2024 มูลค่าตราสารรายได้คงที่ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 145.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกเป็นทางเลือกที่มีเสถียรภาพมากกว่าตลาดหุ้น เพราะมีความผันผวนต่ำและผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้ เหมาะสำหรับผู้ออกตราสารที่ต้องการเงินทุนระยะยาวอย่างมั่นคงโดยไม่เสียส่วนถือหุ้น และสำหรับนักลงทุนที่มองหา ายได้และการรักษาเงินต้น
การระดมทุนผ่านตราสารหนี้มักมีบทบาทสำคัญในการจัดหาเงินทุนของบริษัท โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ตลาดตราสารหนี้พัฒนาแล้ว เช่น ในสหรัฐอเมริกา บริษัทนอกภาคการเงินส่วนใหญ่ได้รับเงินทุนผ่านตลาดทุน มากกว่าการกู้ยืมจากธนาคารแบบดั้งเดิม
ตลาดทุนให้ประโยชน์มากมายด้วยการอำนวยความสะดวกในการซื้อขายตราสารทุนและตราสารหนี้ ตลอดจนการซื้อขายขั้นต้นและขั้นรอง:
จัดช่องทางระดมทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ให้บริษัทสามารถหาเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ นวัตกรรม หรือปรับโครงสร้าง
เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงสินทรัพย์หลากหลาย ด้วยโปรไฟล์ความเสี่ยง-ผลตอบแทนที่แตกต่าง ตั้งแต่พันธบัตรที่มั่นคงไปจนถึงหุ้นที่มุ่งเน้นการเติบโต
สร้างสภาพคล่อง ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าและออกจากการลงทุนได้อย่างราบรื่น
สนับสนุนการค้นหาราคาที่เหมาะสม (Price Discovery) สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของตลาดตามอุปสงค์ ความเสี่ยง และปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค
สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก โดยชี้นำเงินออมไปสู่การลงทุนที่สร้างประโยชน์ แทนที่จะปล่อยเงินให้หยุดนิ่ง
| ประเภทตลาด | วัตถุประสงค์หลัก | ผู้เข้าร่วมหลัก | ความเสี่ยง / ผลตอบแทนโดยทั่วไป | สภาพคล่อง |
|---|---|---|---|---|
| ตลาดหลักทรัพย์หลัก | การออกหลักทรัพย์ใหม่ | ผู้ออกหลักทรัพย์ ผู้รับประกัน ผู้ลงทุน | ปานกลาง (ความเสี่ยงในการออก) | ต่ำ (จนกว่าจะลงรายการ/ซื้อขาย) |
| ตลาดรอง | การซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีอยู่ | นักลงทุน สถาบัน | แตกต่างกัน (ความเสี่ยงทางการตลาด) | สูง |
| ตลาดหุ้น | การเป็นเจ้าของในบริษัท | ผู้ถือหุ้น, เทรดหุ้น | ความผันผวนสูง ผลตอบแทนที่มีศักยภาพสูง | สูง (ในการแลกเปลี่ยน) |
| ตลาดตราสารหนี้/ตราสารหนี้ | การให้กู้ยืมผ่านพันธบัตร/ตั๋วเงิน | ผู้ถือพันธบัตร นักลงทุนสถาบัน รัฐบาล | ความผันผวนต่ำ รายได้คงที่ | ปานกลาง–สูง (แม้ว่าพันธบัตรหลายตัวจะซื้อขายนอกตลาด) |
ตลาดทุนทั่วโลกมีขนาดใหญ่มหาศาล โดยในปี 2024 มูลค่ารวมของตราสารหนี้คงค้างทั่วโลกสูงถึงประมาณ 145.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นโลกมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 126.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงขนาดมหาศาลของตลาดทุนและบทบาทสำคัญของพวกเขาในเศรษฐกิจสมัยใหม่
สหรัฐอเมริกายังคงครองตำแหน่งผู้นำเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดหุ้นจดทะเบียนทั่วโลกอยู่ในตลาดสหรัฐ ขณะที่ตราสารหนี้ของสหรัฐคิดเป็นประมาณ 40% ของการออกตราสารทั่วโลก การรวมศูนย์นี้สะท้อนถึงอิทธิพลสำคัญของสหรัฐต่อระบบการเงินโลก

ตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำในนิวยอร์ก ลอนดอน ฮ่องกง และโตเกียว ช่วยสะท้อนขนาดของตลาดทุนเหล่านี้อย่างชัดเจน ตลาดเหล่านี้มีบริษัทจดทะเบียนนับพันแห่ง อำนวยความสะดวกในการซื้อขายรายวันที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ และสร้างสภาพคล่องที่นักลงทุนและผู้ออกหลักทรัพย์ต้องพึ่งพา ความลึกและขอบเขตของตลาดเหล่านี้ทำให้พวกเขากลายเป็นเครื่องจักรสำคัญในการจัดสรรทุน การบริหารความเสี่ยง และการสร้างความมั่งคั่งทั่วโลก
ประเภทหลักของตลาดทุนประกอบด้วย ตลาดเบื้องต้น (Primary Market) ซึ่งเป็นที่ออกหลักทรัพย์ใหม่ และตลาดรอง (Secondary Market) ซึ่งเป็นที่ซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว ทั้งสองประเภทนี้ช่วยสนับสนุนการระดมทุน สภาพคล่อง การตั้งราคา และการเข้าถึงของนักลงทุนระยะยาว
การเข้าใจประเภทของตลาดทุนช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างรอบคอบเกี่ยวกับหุ้น พันธบัตร และโอกาสลงทุนระยะยาว การรู้วิธีทำงานของแต่ละตลาดช่วยเพิ่มความหลากหลาย ลดความเสี่ยง และเลือกจังหวะการซื้อหรือขายได้ดีขึ้น
ตลาดหุ้นเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นซึ่งให้โอกาสเติบโตสูง แต่มีความผันผวนมากขึ้น ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ให้หลักทรัพย์รายได้คงที่ มีความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนคงที่ ทั้งสองตลาดสนับสนุนเป้าหมายการลงทุนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้และระยะเวลาลงทุน
ตลาดเบื้องต้นช่วยให้บริษัทและรัฐบาลระดมทุนใหม่ผ่านการออกหลักทรัพย์ใหม่ มอบความโปร่งใส การกำกับดูแล และโครงสร้างการระดมทุนที่เป็นระบบ สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาในระยะยาว
ตลาดรองช่วยให้นักลงทุนมีสภาพคล่อง ค้นพบราคา และเข้าหรือออกได้ง่าย ช่วยให้การซื้อขายหลักทรัพย์เป็นไปอย่างเสรี ส่งผลให้ระบบการเงินโดยรวมมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ตลาดทุนมอบโครงสร้างที่ช่วยให้เงินทุนไหลเวียนอย่างมีประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจ สนับสนุนการเติบโต นวัตกรรม และการเข้าถึงโอกาสการลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มองหาการเติบโตระยะยาว บริษัทที่ต้องการระดมทุน หรือนักศึกษาเรียนรู้การเงินเกี่ยวกับตลาดโลก การเข้าใจอย่างชัดเจนว่าตลาดทุนประเภทต่าง ๆ ทำงานอย่างไรถือเป็นสิ่งจำเป็น
ตลาดทุนไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ซื้อขายหลักทรัพย์เท่านั้น แต่เป็นเครื่องจักรสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างความมั่งคั่ง ด้วยการเข้าใจโครงสร้างและบทบาทของตลาดทุนในปัจจุบัน คุณจะสามารถประเมินการลงทุน โอกาส และความเสี่ยงของตนเองได้ดียิ่งขึ้นในระบบการเงินโลกที่ซับซ้อน
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ