Bollinger Bands คืออะไร?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

Bollinger Bands คืออะไร?

ผู้เขียน: Charon N.

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-04

Bollinger Bands ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นความผันผวนได้ทันที ว่าราคากำลังร้อนแรง กำลังเย็นลง หรือกำลังเตรียมตัวจะเกิดการเบรกเอาท์


ในฐานะหนึ่งในอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน Bollinger Bands มอบกรอบการวิเคราะห์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังสำหรับทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาด


ด้วยการผสมผสานค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เข้ากับแถบบนและล่างที่อิงตามความผันผวน อินดิเคเตอร์นี้ช่วยให้เทรดเดอร์ตีความจุดสุดโต่งของราคา ความแข็งแรงของเทรนด์ และจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ในตลาดฟอเร็กซ์ หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโทเคอร์เรนซี


คำนิยาม

Bollinger Band คืออินดิเคเตอร์ที่อิงกับความผันผวน โดยจะแสดงค่าเฉลี่ยของราคา พร้อมแถบบนและล่างเพื่อบอกว่าราคาเคลื่อนไหวสูงหรือต่ำเพียงใดเมื่อเทียบกับกิจกรรมของตลาดในช่วงที่ผ่านมา


อินดิเคเตอร์นี้ประกอบด้วยเส้น 3 เส้นที่ล้อมรอบราคา ได้แก่ เส้นค่าเฉลี่ยตรงกลาง แถบบน และแถบล่าง


แถบเหล่านี้จะขยายออกเมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้น และจะหดแคบลงเมื่อความผันผวนลดลง ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจสภาวะตลาดและระบุจุดที่ราคาอาจเคลื่อนไหวสุดขั้วได้

Bollinger Band

องค์ประกอบสำคัญของ Bollinger Bands

ตารางนี้ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างราคาและความผันผวนล่าสุดได้อย่างชัดเจน

องค์ประกอบ คำอธิบาย
Middle Band เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (SMA) โดยทั่วไปตั้งไว้ที่ 20 ช่วงเวลา
Upper Band ค่า SMA บวกกับตัวคูณส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
Lower Band ค่า SMA ลบด้วยตัวคูณส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
การเคลื่อนไหวตามความผันผวน (Volatility-Based Movement) แถบจะขยายเมื่อความผันผวนสูง และหดตัวเมื่อความผันผวนต่ำ

การใช้งานทั่วไป

  • ระบุสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และขายมากเกินไป (Oversold)

  • ตรวจจับช่วงที่ความผันผวนพุ่งสูงหรือช่วงที่ความผันผวนถูกบีบตัว

  • สนับสนุนกลยุทธ์การตามเทรนด์

  • คาดการณ์การเบรกเอาท์หลังจากช่วงพักตัวหรือสะสมราคา

  • ยืนยันจุดเข้าเทรดร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น เช่น RSI หรือ MACD


สูตรของ Bollinger Bands

สูตรของ Bollinger Bands ประกอบด้วย 3 เส้น ได้แก่ เส้นกลางซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (SMA) ส่วนแถบบนและแถบล่างคำนวณจากการบวกหรือลบค่าตัวคูณของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานออกจากเส้นกลาง


สูตรที่นิยมใช้ทั่วไปคือ SMA 20 ช่วงเวลา และตัวคูณส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 เท่า


สูตรคำนวณ:

  • Upper Band = 20-day SMA + (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของราคา 20 วัน × 2)

  • Middle Band = 20-day Simple Moving Average (SMA)

  • Lower Band = 20-day SMA − (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของราคา 20 วัน × 2)


วิธีการตีความ Bollinger Bands

วิธีการตีความ Bollinger Band

1. ราคาอยู่ใกล้แถบบน

เมื่อราคาเข้าใกล้หรือแตะแถบบน หมายความว่าตลาดกำลังเคลื่อนไหวอยู่บริเวณระดับบนของช่วงราคาในระยะหลัง


สิ่งนี้ไม่ได้แปลว่า “ควรขายทันที” แต่บ่งบอกว่า:


  • ราคามีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวล่าสุด

  • ตลาดอาจกำลังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น

  • การเคลื่อนไหวอาจต่อเนื่องได้ หากโมเมนตัมยังแข็งแรง

  • หากจะมองกลับตัว ควรใช้เครื่องมืออื่นเพื่อยืนยัน


2. ราคาอยู่ใกล้แถบล่าง (Lower Band)

เมื่อราคาเคลื่อนลงไปใกล้หรือแตะแถบล่าง หมายความว่าตลาดกำลังเคลื่อนในระดับล่างของช่วงราคาในระยะหลัง ซึ่งบ่งบอกว่า:


  • มีความอ่อนแอหรือแรงกดดันฝั่งขาย

  • เทรนด์ขาลงอาจยังดำเนินต่อ

  • การดีดกลับมีโอกาสเกิดขึ้น แต่ต้องยืนยันด้วยอินดิเคเตอร์อื่น


3. ราคาอยู่ที่เส้นกลาง (SMA 20)

เส้นกลางทำหน้าที่คล้าย “โซนมูลค่าระยะสั้น” หรือจุดสมดุลของราคา


เมื่อราคาเคลื่อนเหนือเส้นกลาง:


  • ฝั่งซื้อมีอิทธิพลมากกว่า

  • ตลาดอาจกำลังเข้าสู่เทรนด์ขาขึ้น


เมื่อราคาเคลื่อนต่ำกว่าเส้นกลาง:


  • ฝั่งขายมีความแข็งแกร่งกว่า

  • เทรนด์อาจกำลังเปลี่ยนเป็นขาลง


4. แถบขยายกว้าง (Volatility Expanding)

เมื่อแถบบนและแถบล่างถ่างออกจากกัน แสดงว่าความผันผวนของตลาดเพิ่มขึ้น


สิ่งนี้สามารถบ่งชี้ว่า:


  • มีการเคลื่อนไหวแบบเทรนด์แรง

  • เกิดการเบรกเอาท์ที่มีโมเมนตัมสูง

  • เทรนด์ปัจจุบันอาจมีโอกาสดำเนินต่อ


แถบที่ขยายกว้างมักเกิดหลังข่าวแรง หรือระหว่างขาเทรนด์ที่ชัดเจน


5. แถบแคบลง (Bollinger Squeeze)

“Squeeze” เกิดขึ้นเมื่อแถบทั้งสองเคลื่อนเข้าใกล้กันมาก แสดงถึง:


  • ความผันผวนต่ำ

  • ตลาดกำลังถูกบีบตัว

  • เบรกเอาท์แรง ๆ อาจกำลังจะเกิดขึ้น


สัญญาณ Squeeze ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณสำคัญที่สุดของ Bollinger Bands


6. ราคา “เดินตามแถบ” (Walking the Band)

ในเทรนด์ที่แข็งแรง ราคาอาจ “เดินตามแถบ” ทั้งบนหรือล่าง


  • เดินตามแถบบน = ความแข็งแกร่งของฝั่งซื้อ (Bullish)

  • เดินตามแถบล่าง = ความแข็งแกร่งของฝั่งขาย (Bearish)


สัญญาณนี้สื่อถึงการต่อเนื่องของเทรนด์มากกว่าเป็นสัญญาณกลับตัว


7. สัญญาณหลอกและการยืนยัน (False Signals & Confirmation)

Bollinger Bands ไม่ควรใช้เดี่ยว ๆ เพื่อเข้าเทรด เพราะราคาอาจแตะแถบซ้ำ ๆ ในช่วงเทรนด์แรง เทรดเดอร์จึงนิยมใช้การยืนยันร่วมกับ:


  • RSI (ตรวจโมเมนตัมหรือไดเวอร์เจนซ์)

  • Volume (ยืนยันการเบรกเอาท์)

  • แพทเทิร์นแท่งเทียน (สัญญาณปฏิเสธราคา / สัญญาณต่อเนื่อง)

  • แนวรับและแนวต้าน


ตัวอย่าง

ตัวอย่างของ Bollinger Band ลองนึกภาพคู่สกุลเงินที่เทรดอยู่บริเวณ 1.1000 ตลอดหลายวันที่ผ่านมา


บนกราฟของคุณ ระบบจะคำนวณค่าเฉลี่ยของแท่งเทียน 20 แท่งล่าสุด และได้ค่า SMA 20 วัน = 1.1050


ค่านี้คือ Middle Band


ตลาดมีการแกว่งตัวปานกลาง และแพลตฟอร์มวัดความผันผวนได้เป็นส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) เท่ากับ 0.0025 ซึ่งเมื่อใช้ตัวคูณ 2 ตามสูตร Bollinger Bands ระบบจะคำนวณ “volatility cushion” จาก:


1. การคำนวณ Upper Band

SMA + (σ × 2)


= 1.1050 + (0.0025 × 2)
= 1.1050 + 0.0050
= 1.1100


2. การคำนวณ Lower Band

SMA − (σ × 2)


= 1.1050 − (0.0025 × 2)
= 1.1050 − 0.0050
= 1.1000


3. ผลลัพธ์สุดท้าย

  • Middle Band: 1.1050

  • Upper Band: 1.1100

  • Lower Band: 1.1000


เทรดเดอร์จะอ่านข้อมูลนี้อย่างไร


  • ถ้าราคาเคลื่อนขึ้นใกล้ 1.1100 หมายความว่าราคาอยู่ด้านบนของช่วงความผันผวนล่าสุด

  • ถ้าราคาลงใกล้ 1.1000 หมายความว่าอยู่ด้านล่างของช่วงความผันผวนล่าสุด

  • ถ้าแถบกว้างมาก → ตลาดกำลังมีความผันผวนสูง

  • ถ้าแถบแคบมาก → ตลาดสงบ อาจกำลังเตรียมเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่


“Volatility Cushion” คืออะไร?

คือการวัดว่าราคา “แกว่งตัวมากแค่ไหน” ในช่วงล่าสุด


  • การแกว่งตัวมาก → ค่า cushion ใหญ่

  • การแกว่งตัวน้อย → ค่า cushion เล็ก


Quick Tip:

สมมติว่าราคาแตะแถบบนสองครั้งในขณะที่แถบกำลังขยาย มือใหม่อาจคิดว่า “ถึงแถบบน = ต้องขาย”แต่จริง ๆ แล้ว Bollinger Bands ไม่ได้บอกจุดเข้าออกโดยตรง การแตะแถบบนหมายถึงราคากำลังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับความผันผวนล่าสุด ไม่ได้เป็นสัญญาณกลับตัวเสมอไป


เทรดเดอร์ควรใช้การยืนยันร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น RSI divergence แพทเทิร์นแท่งเทียน เส้นเทรนด์ (trendline) หรือโซนแนวรับ–แนวต้าน


ตัวอย่างนี้แสดงให้เทรดเดอร์เห็นว่า Bollinger Bands ควรใช้ตามบริบท ไม่ควรใช้เดี่ยว ๆ


ความแตกต่างจากอินดิเคเตอร์ที่คล้ายกัน

อินดิเคเตอร์ โฟกัสหลัก ความแตกต่าง
Bollinger Bands ความผันผวนและระดับราคาที่สุดขั้ว ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
Keltner Channels ช่องราคา (Price Channels) ใช้ค่า ATR แทนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) ทิศทางเทรนด์ ไม่มีองค์ประกอบด้านความผันผวน

คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: ค่าเฉลี่ยของราคาย้อนหลัง ใช้เพื่อลดสัญญาณรบกวนของตลาดและช่วยให้เห็นทิศทางเทรนด์ชัดขึ้น

  • ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน: ตัวชี้วัดทางสถิติที่บอกว่าราคาแกว่งออกจากค่าเฉลี่ยมากน้อยแค่ไหน ใช้บ่อยในการวัดความผันผวน

  • ความผันผวน: ระดับความเร็วและขนาดของการเปลี่ยนแปลงราคาในช่วงเวลาหนึ่ง

  • RSI (Relative Strength Index ) : อินดิเคเตอร์โมเมนตัมที่วัดความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวราคา เพื่อหาสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป

  • การเบรกเอาต์: การเคลื่อนไหวของราคาที่ทะลุแนวต้านหรือหลุดแนวรับ ซึ่งมักบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ผู้เริ่มต้นควรตั้งค่า Bollinger Bands แบบไหนดี?

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เริ่มใช้ค่า 20 periods และ 2 standard deviations ซึ่งเป็นค่าพื้นฐานที่นิยมที่สุด


2. Bollinger Bands ใช้ได้กับทุกกรอบเวลาหรือไม่?

ใช้ได้ทุกกรอบเวลา แม้จะได้รับความนิยมบนกราฟ 1 ชั่วโมง, 4 ชั่วโมง และรายวัน แต่สามารถใช้กับกรอบเวลาใดก็ได้


3. Bollinger Bands ทำนายการกลับตัวได้หรือไม่?

Bollinger Bands ไม่สามารถทำนายการกลับตัวได้ด้วยตัวมันเอง การแตะแถบบนหรือล่างแสดงถึงระดับราคาที่สุดขั้ว แต่ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าราคาจะกลับตัวแน่นอน


สรุป

Bollinger Bands ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นภาพความผันผวนของตลาดได้อย่างชัดเจน โดยการแสดงเส้นค่าเฉลี่ยพร้อมแถบบนและล่างแบบไดนามิก


แถบเหล่านี้จะปรับขยายหรือหดตัวตามการเคลื่อนไหวของราคา ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุโซนซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไป สังเกตช่วงที่ตลาดถูกบีบตัว และประเมินความแข็งแรงของเทรนด์


แม้ Bollinger Bands จะใช้งานง่ายและเหมาะกับมือใหม่ แต่ให้ผลดีที่สุดเมื่อใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น RSI หรือการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน


เมื่อเทรดเดอร์เข้าใจวิธีที่แถบขยาย หดตัว และปฏิสัมพันธ์กับราคา ก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและปรับตัวตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ