เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-03
อัปเดตเมื่อ: 2025-12-04
ขนาดสัญญา (Contract Size) คือหนึ่งในองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการเทรด เพราะมันเป็นตัวกำหนดว่าผู้เทรดควบคุมสินทรัพย์ได้มากแค่ไหน รวมถึงมีผลต่อความเสี่ยง เลเวอเรจ และการคำนวณขนาดสถานะในการเทรดฟิวเจอร์ส ออปชัน ฟอเร็กซ์ และ CFD
สำหรับทั้งมือใหม่และผู้มีประสบการณ์ การเข้าใจขนาดสัญญาถือเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากจะกำหนดความเสี่ยงโดยประมาณ มูลค่าการซื้อขาย มาร์จิ้นที่ต้องใช้ และลักษณะการเคลื่อนไหวของการเทรดโดยรวม
คำว่าขนาดสัญญา (Contract Size) หมายถึง ปริมาณมาตรฐานของหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือเครื่องมือทางการเงิน ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงของสัญญาฟิวเจอร์สหรือออปชัน
ขนาดสัญญาจะระบุจำนวนที่แน่นอน ของสิ่งที่ถูกซื้อหรือขาย เพื่อให้ผู้เทรดทุกคนซื้อขายด้วยหน่วยที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยทั่วไป ตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Exchanges) จะเป็นผู้กำหนดขนาดสัญญา ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามประเภทของสินทรัพย์
ขนาดสัญญายังส่งผลต่อมูลค่าการเคลื่อนไหวของราคาแต่ละครั้ง รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของราคาต่อหนึ่งหน่วยหรือหนึ่ง Tick ของสินทรัพย์อ้างอิง

ขนาดสัญญายังกำหนดปัจจัยสำคัญ ได้แก่:
Notional value: มูลค่ารวมของสถานะทางการเงินที่ผู้เทรดควบคุม
Tick value: มูลค่าทางการเงินของการเคลื่อนไหวราคาที่เล็กที่สุด
Margin requirements: เงินทุนที่ต้องวางเพื่อเปิดสถานะ
Risk exposure: ระดับความเสี่ยง ซึ่งทำให้กำไร/ขาดทุนขยายตามความผันผวนของตลาด
เมื่อราคาเคลื่อนไหว แม้เพียงเล็กน้อยขนาดสัญญาจะเป็นตัวกำหนดว่าการเคลื่อนไหวนั้นมีผลต่อมูลค่าทางการเงินมากแค่ไหน ดังนั้น การเข้าใจขนาดสัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการคำนวณขนาดสถานะ (Position Sizing) และการบริหารความเสี่ยงอย่างถูกต้อง
| ประเภทล็อต | หน่วยสกุลเงิน | วิธีใส่ในระบบ | มูลค่า Pip (EUR/USD) |
|---|---|---|---|
| Standard Lot | 100,000 หน่วย | 1 | $10 |
| Mini Lot | 10,000 หน่วย | 0.1 | $1 |
| Micro Lot | 1,000 หน่วย | 0.01 | $0.10 |
| Nano Lot | 100 หน่วย | 0.001 | $0.01 |
ขนาดสัญญาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเทรด เพราะมันเป็นตัวกำหนดว่าเมื่อเปิดสถานะหนึ่งครั้ง ผู้เทรดจะรับความเสี่ยงหรือมีการเปิดรับมูลค่าตลาด (Exposure) มากแค่ไหน โดยมีผลโดยตรงต่อมูลค่า Notional Value, เลเวอเรจ, มาร์จิ้นที่ต้องใช้ และผลกระทบทางการเงินจากการเคลื่อนไหวของราคา ทุกครั้ง
การเข้าใจขนาดสัญญาอย่างชัดเจนช่วยให้ผู้เทรดสามารถประเมินความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง ปรับขนาดสถานะให้เหมาะสมกับยอดเงินในบัญชี และหลีกเลี่ยงการถือสถานะที่ใหญ่เกินความตั้งใจ
ขนาดสัญญายังช่วยสนับสนุนการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย ด้วยการทำให้ผู้เทรดสามารถคำนวณมูลค่าติ๊ก (Tick Value), ศักยภาพกำไร/ขาดทุน และเงินทุนที่ต้องใช้ในการถือสถานะได้อย่างแม่นยำ
ไม่ว่าจะใช้สัญญาขนาดเต็ม (Full-size), มินิ (Mini) หรือไมโคร (Micro) การรู้ขนาดสัญญาที่ชัดเจนช่วยให้ทุกสถานะที่เปิดขึ้นนั้นเป็นไปอย่างตั้งใจ ถูกควบคุมได้ และสอดคล้องกับกลยุทธ์และระดับความเสี่ยงที่ผู้เทรดยอมรับได้
ตลาดฟิวเจอร์สจะกำหนดขนาดสัญญาแบบมาตรฐาน เพื่อให้ผู้เทรดทุกคนใช้หน่วยเดียวกัน สินค้าแต่ละชนิดหรือเครื่องมือการเงินแต่ละประเภทจะมีขนาดสัญญาที่ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน
เมื่อเทรดฟิวเจอร์ส ผู้เทรดไม่ต้องจ่ายมูลค่าของสัญญาทั้งหมด
แต่ต้องวางเพียงมาร์จิ้น (Margin) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเงินประกัน เพื่อให้สามารถควบคุมสถานะที่มีมูลค่ามากกว่าทุนจริงหลายเท่า
ตัวอย่างขนาดสัญญา:
S&P 500 E-mini (ES): $50 × ระดับดัชนี
Micro E-mini S&P 500 (MES): $5 × ระดับดัชนี
Natural Gas (NG): 10,000 mmBtu
การกำหนดมาตรฐานนี้ช่วยให้ผู้เทรดคำนวณ Notional Exposure ได้ทันที
ตัวอย่าง: หากน้ำมันดิบมีราคา $78
Notional Value = 1,000 บาร์เรล × $78 = $78,000
ความชัดเจนนี้ทำให้ผู้เทรดประเมินได้ว่าสถานะที่เปิดมีความเสี่ยงสอดคล้องกับระดับที่ยอมรับได้หรือไม่
ออปชันของหุ้นและ ETF มักใช้กฎง่าย ๆ:
1 สัญญาออปชัน = 100 หุ้น
ดังนั้น ถ้าคุณซื้อ Call Option ของหุ้นราคา $50 หมายถึงคุณมีสิทธิ์ควบคุมหุ้นมูลค่า: $50 × 100 = $5,000
สำหรับ Index Options อาจมีตัวคูณที่แตกต่างกัน แต่หลักการเหมือนเดิมคือ ขนาดสัญญาเป็นตัวกำหนดมูลค่าการเปิดรับความเสี่ยง (Exposure) และ Tick Value
ในการเทรด Forex ขนาดสัญญาจะผูกกับสิ่งที่เรียกว่า Lot Size ซึ่งแบ่งตำแหน่งเทรดออกเป็นหน่วยมาตรฐาน
ขนาดสัญญา/ล็อตใน Forex:
Standard Lot: 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก
Mini Lot: 10,000 หน่วย
Micro Lot: 1,000 หน่วย
Nano Lot: 100 หน่วย (บางแพลตฟอร์มเท่านั้น)
ตัวอย่าง: หาก EUR/USD เทรดที่ 1.10
Standard Lot = มูลค่า Notional Value ประมาณ 110,000 USD
Micro Lot = มูลค่า Notional Value ประมาณ 1,100 USD
ความเชื่อมโยงระหว่างขนาดสัญญากับ Lot Size ทำให้ผู้เทรดสามารถปรับขนาดสถานะให้สอดคล้องกับแผนบริหารความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ
ผู้ให้บริการ CFD มักกำหนดขนาดสัญญาที่สะท้อนจากสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้น หรือดัชนี และมักมีความยืดหยุ่นสูงในการกำหนดปริมาณการเทรด ตัวอย่างทั่วไป:
1 Stock CFD = 1 หุ้นจริง
Index CFD อาจกำหนดมูลค่าต่อจุด เช่น $1 ต่อ 1 จุดของดัชนี
ความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้ผู้เทรดปรับระดับการเปิดรับความเสี่ยงได้ละเอียดกว่าฟิวเจอร์สมาก ทำให้เหมาะสำหรับการบริหารความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์
จำไว้ว่า:
ขนาดสัญญาที่ใหญ่ขึ้น = การเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น = ศักยภาพกำไรที่มากขึ้น และขาดทุนที่มากขึ้นด้วย
ถึงแม้อัตรามาร์จิ้นที่กำหนดอาจดูน้อย แต่ความเสี่ยงเป็นเงินดอลลาร์จริง ๆ อาจใหญ่กว่ามาก
การเข้าใจว่าขนาดสัญญามีผลต่อมาร์จิ้นและเลเวอเรจอย่างไร เริ่มจากการตระหนักว่า มาร์จิ้นคือเงินประกัน แต่มูลค่า Notional Value คือจำนวนเงินจริงที่คุณควบคุมในสัญญานั้น แม้ว่ามาร์จิ้นจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เท่ากัน สัญญาที่ใหญ่กว่าย่อมสร้างการเปิดรับความเสี่ยงที่ใหญ่กว่ามาก
ลองนึกภาพง่าย ๆ แบบสองกล่อง:
*P/L = กำไร/ขาดทุน
ควบคุมสินทรัพย์มูลค่า $200,000
ถ้าตลาดขยับ 1% การเปลี่ยนแปลง P/L คือ:
- 1% ของ 200,000 ดอลลาร์ = 2,000 ดอลลาร์
ควบคุมสินทรัพย์มูลค่า $20,000
ถ้าตลาดขยับ 1% การเปลี่ยนแปลง P/L คือ:
- 1% ของ 20,000 ดอลลาร์ = 200 ดอลลาร์
แม้มาร์จิ้นที่ต้องใช้จะเท่ากันทั้งสองกล่อง แต่กล่องใหญ่จะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดแรงกว่า 10 เท่า
สัญญาขนาดใหญ่ดูเหมือนราคาไม่แพง เพราะต้องใช้มาร์จิ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าสัญญา แต่การเปิดรับความเสี่ยงจริงนั้นมหาศาล สัญญาไมโครและสัญญาขนาดเล็กเหมาะกับผู้เริ่มต้นมากกว่า เพราะการขยับของราคาต่อจุด (Dollar-per-point) มีขนาดเล็กกว่า จัดการง่ายกว่า และควบคุมความเสี่ยงได้ดีกว่า
| ข้อดีของขนาดสัญญา | ข้อเสียของขนาดสัญญา |
|---|---|
| ขนาดสัญญามาตรฐานช่วยให้ตลาดมีความชัดเจนและสม่ำเสมอ | สัญญาขนาดใหญ่ทำให้เกิดการเปิดรับความเสี่ยงมากเกินไปสำหรับบัญชีขนาดเล็ก |
| ช่วยให้ผู้เทรดคำนวณความเสี่ยง มูลค่าติ๊ก และมาร์จิ้นได้ง่าย | มาร์จิ้นที่สูงขึ้นอาจทำให้ผู้เทรดบางรายไม่สามารถเข้าร่วมได้ |
| สัญญาแบบมินิและไมโครช่วยให้กำหนดขนาดสถานะได้ยืดหยุ่นและควบคุมได้ | สัญญาขนาดมาตรฐานมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า เมื่อเทียบกับสัญญาขนาดเล็ก |
| รองรับการป้องกันความเสี่ยงที่แม่นยำเนื่องจากสามารถคาดการณ์ปริมาณได้ | ความผันผวนของราคาอาจทำให้เกิดกำไรหรือขาดทุนมากกว่าที่คาดไว้ |
มีหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้เทรดในปัจจุบันมองขนาดสัญญาแตกต่างไปจากอดีต ได้แก่:
การเติบโตของไมโครฟิวเจอร์ส (Micro Futures) ทำให้ตลาดฟิวเจอร์สเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับบัญชีขนาดเล็ก
การใช้ล็อตแบบย่อย (Fractional Forex Lots) ทำให้กำหนดขนาดสถานะได้ยืดหยุ่นมากขึ้น
ความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้เทรดหันไปใช้สัญญาขนาดเล็กที่จัดการความเสี่ยงได้ง่ายกว่า
ผู้เทรดรายย่อย (Retail Traders) เพิ่มจำนวนขึ้น ส่งผลให้ตลาดต้องออกสัญญาหลากหลายขนาดเพื่อรองรับความต้องการ
การพัฒนาเหล่านี้เน้นย้ำถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมที่กว้างขึ้น ได้แก่ การปรับขนาดการเปิดรับความเสี่ยงได้ตามต้องการ การควบคุมความเสี่ยงที่ดีขึ้น และการเข้าถึงตลาดที่ง่ายกว่าเดิม
ขนาดสัญญาคือปริมาณสินทรัพย์อ้างอิงที่ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานในสัญญาฟิวเจอร์ส ออปชัน ฟอเร็กซ์ หรือ CFD หนึ่งสัญญา
ขนาดสัญญาที่ใหญ่ขึ้นทำให้มูลค่า Notional Exposure เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรและขาดทุนขยายตามไปด้วย ส่วนสัญญาขนาดเล็กช่วยให้ควบคุมความเสี่ยงได้ละเอียดและยืดหยุ่นมากกว่า
สัญญาไมโครมักเหมาะกับผู้เทรดที่กำลังพัฒนา เพราะช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังคงเข้าร่วมในตลาดหลักได้ อย่างไรก็ตาม ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ผู้เทรดยอมรับได้
ขนาดสัญญาเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการเทรด ซึ่งกำหนดระดับการเปิดรับความเสี่ยง เลเวอเรจ มาร์จิ้น และผลลัพธ์ทางความเสี่ยงในสินทรัพย์ทุกประเภท
เมื่อเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างขนาดสัญญา มูลค่าโนชันนัล และมูลค่าติ๊ก ผู้เทรดจะสามารถวางแผนขนาดสถานะได้อย่างถูกต้อง ควบคุมความเสี่ยงจากความผันผวน และกำหนดกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับขนาดเงินทุนที่มี
แม้ว่าฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ ออปชัน และ CFD จะมีวิธีการกำหนดขนาดสัญญาที่แตกต่างกัน แต่หลักการสำคัญยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ ขนาดของสัญญาคือสิ่งที่กำหนดว่าการเคลื่อนไหวของราคาจะส่งผลต่อบัญชีของคุณมากแค่ไหน
การประเมินขนาดสัญญาอย่างรอบคอบช่วยให้ผู้เทรดสร้างกลยุทธ์ที่มีวินัย แข็งแรง และสามารถปรับตัวได้ดีในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ