4 รูปแบบกราฟยอดนิยมที่คุณจะเห็นซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

2025-07-15
สรุป

เรียนรู้ 4 รูปแบบกราฟที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งเทรดเดอร์มักใช้ในการระบุแนวโน้มของตลาดและจุดกลับตัวอยู่เสมอ

ทุกกราฟทางการเงินต่างมีเรื่องราวซ่อนอยู่ เบื้องหลังเส้น แท่ง หรือแท่งเทียนเหล่านั้นคือพฤติกรรมของราคาที่สะท้อนจิตวิทยาของผู้ซื้อและผู้ขายแบบเรียลไทม์ รูปแบบกราฟจึงเปรียบเสมือนสัญญาณทางสายตาที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อคาดการณ์ทิศทางของราคาในอนาคต การรู้จักและเข้าใจรูปแบบเหล่านี้จึงเป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการเข้า–ออกตลาดโดยอิงจากพฤติกรรมของราคา มากกว่าปัจจัยพื้นฐาน


แม้จะมีหลากหลายรูปแบบกราฟในตลาด แต่ก็มีบางรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นพื้นฐานที่เทรดเดอร์ทั่วโลกใช้ในการเรียนรู้และวิเคราะห์ นี่ไม่ใช่แค่รูปทรงในทางทฤษฎี แต่เป็นผลลัพธ์จากแรงกดดันในตลาดจริง ไม่ว่าจะเป็นช่วงสะสมพลัง แรงทะลุแนวต้าน แนวโน้มอ่อนแรงหรือความไม่แน่นอนในตลาด


บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 4 รูปแบบกราฟที่พบบ่อยที่สุดในตลาด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือดัชนี การเข้าใจรูปแบบเหล่านี้อาจไม่รับประกันความสำเร็จ แต่สามารถช่วยให้เทรดเดอร์จับจังหวะได้ดีขึ้น บริหารความเสี่ยงได้อย่างมีระบบ และวางแผนการเข้า–ออกได้อย่างเป็นแบบแผนยิ่งขึ้น


รูปแบบ Head and Shoulders (หัวและไหล่)

รูปแบบHead and Shoulders

หนึ่งในรูปแบบกราฟที่จดจำได้ง่ายที่สุดในการเทรด คือรูปแบบ Head and Shoulders ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้ม มักปรากฏหลังจากที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรูปแบบนี้ประกอบด้วยยอดเขา 3 ยอด ได้แก่ ยอดที่ 1 คือไหล่ซ้าย ราคาขึ้นไปแล้วหยุดพัก ยอดที่ 2 คือศีรษะ ราคาขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ จากนั้นถอยลง ยอดที่ 3 คือไหล่ขวา ราคาขึ้นไม่ถึงระดับศีรษะ แสดงถึงแรงซื้อที่เริ่มอ่อนตัว


เส้น Neckline คือเส้นแนวรับที่ลากเชื่อมจุดต่ำระหว่างไหล่ซ้าย-ศีรษะ-ไหล่ขวา เมื่อราคาทะลุลงใต้เส้นนี้ ถือเป็นการยืนยันว่าราคากำลังเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง


จุดเด่นของรูปแบบนี้คือสะท้อนจิตวิทยาของตลาดได้อย่างชัดเจน เมื่อราคาพยายามทำจุดสูงสุดใหม่แต่ไม่สำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงถึงความอ่อนแรงของฝั่งซื้อ และเมื่อหลุดเส้น neckline เทรดเดอร์จำนวนมากมักจะเทขายทันที


รูปแบบ Inverse Head and Shoulders ก็มีลักษณะคล้ายกัน แต่เกิดหลังจากขาลง และเป็นสัญญาณกลับตัวขึ้น


รูปแบบ Double Top และ Double Bottom

รูปแบบ Double Top และ Double Bottom

รูปแบบ Double Top และ Double Bottom เป็นสัญญาณการกลับตัวที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยรูปแบบ Double Top เกิดหลังจากแนวโน้มขาขึ้น เมื่อราคาขึ้นไปแตะระดับแนวต้านเดิม 2 ครั้งแต่ไม่สามารถทะลุได้ เกิดเป็นยอดคู่ที่ระดับใกล้เคียงกัน จากนั้นราคาหลุดลงใต้เส้น neckline ซึ่งลากจากจุดต่ำระหว่างยอดทั้งสอง แสดงถึงการสิ้นสุดของแรงซื้อและมักนำไปสู่การปรับตัวลง


ส่วน Double Bottom เกิดหลังแนวโน้มขาลงราคาลง แตะจุดต่ำสุดเดิม 2 ครั้งแต่ไม่หลุดแสดงถึงแรงขายที่เริ่มหมดลง และแรงซื้อเริ่มเข้ามา เมื่อทะลุเส้น neckline ด้านบนถือเป็นการยืนยันของแนวโน้มขาขึ้น


เทรดเดอร์มักใช้รูปแบบเหล่านี้เพื่อกำหนดเป้าหมายราคาและจุด Stop Loss ได้อย่างมีระบบเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้หาจุดกลับตัวของราคา


รูปแบบ Triangle (สามเหลี่ยม)

รูปแบบ Triangle (สามเหลี่ยม)

รูปแบบกราฟสามเหลี่ยมแสดงถึงช่วงสะสมพลัง (consolidation) ก่อนที่ราคาจะทะลุออกไป โดยมี 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Ascending Triangle, Descending Triangle, Symmetrical Triangle โดยแต่ละประเภทจะก่อตัวขึ้นเมื่อราคาเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบลงทำให้เกิดรูปทรงสามเหลี่ยมบนกราฟ

  • Ascending Triangle (สามเหลี่ยมขึ้น): มีจุดต่ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ชนแนวต้านที่ระดับเดิมบ่งชี้ถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้น หากทะลุแนวต้านมักเป็นสัญญาณขาขึ้นต่อ

  • Descending Triangle (สามเหลี่ยมลง): มีจุดสูงต่ำลงเรื่อย ๆ แต่มีแนวรับแนวเดียวแสดงถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้น หากราคาหลุดแนวรับมักเข้าสู่ขาลง

  • Symmetrical Triangle (สามเหลี่ยมสมมาตร): มีจุดสูงต่ำลง และจุดต่ำสูงขึ้น สะท้อนความไม่แน่นอน เมื่อลากเส้นจะได้รูปสามเหลี่ยมสมมาตร เมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ มักเกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง


โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบสามเหลี่ยมถือว่าเป็นรูปแบบต่อเนื่อง (continuation) คือราคามักเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางเดิมหลังจากเกิดการทะลุ แต่เพื่อความแม่นยำ เทรดเดอร์มักรอการยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย (volume)


รูปแบบ Flag (ธง) และ Pennant (ธงสามเหลี่ยม)

รูปแบบ Flag (ธง) และ Pennant (ธงสามเหลี่ยม)

รูปแบบ Flag และ Pennant เป็นรูปแบบต่อเนื่องระยะสั้นที่เกิดหลังจากราคาวิ่งแรงในช่วงแรก ซึ่งเรียกว่า “เสาธง”  Flag จะปรากฏเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก เอียงสวนทิศทางแนวโน้มเดิม ในขณะที่ Pennant  ป็นสามเหลี่ยมขนาดเล็กสมมาตร เกิดหลังจากราคาพุ่งหรือดิ่งแรง


จุดเด่นของรูปแบบนี้คือแสดงถึงการหยุดพักชั่วคราวของราคา ก่อนที่แนวโน้มเดิมจะกลับมาอีกครั้ง เทรดเดอร์ใช้การทะลุออกจากรูปแบบเป็นจุดยืนยันการเข้าสู่เทรนด์ถัดไป และมักใช้ความยาวของเสาธงเพื่อประมาณการเป้าหมายราคา


รูปแบบเหล่านี้เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวเร็ว โดยเฉพาะสำหรับนักเทรดระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุก Flag หรือ Pennant จะจบในทิศทางที่คาดไว้ จึงต้องอาศัยการยืนยันด้วย Volume และการจับจังหวะที่เหมาะสม


สรุป


แม้ในยุคที่ตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยอัลกอริธึมและโมเดลปัญญาประดิษฐ์ แต่รูปแบบกราฟยังคงปรากฏอยู่เสมอ เพราะพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น ความกลัว ความโลภ ความลังเล และแรงผลักจากโมเมนตัม ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของราคา


เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มักผสานการใช้รูปแบบกราฟเข้ากับเครื่องมืออื่น เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ปริมาณการซื้อขาย หรือเส้นแนวโน้ม เพื่อเพิ่มความแม่นยำ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การมองเห็นรูปแบบแต่ต้องเข้าใจบริบทของตลาดในขณะนั้น และใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบตัดสินใจที่มีโครงสร้างชัดเจน


สำหรับมือใหม่ ควรฝึกการระบุรูปแบบจากข้อมูลย้อนหลังหรือบัญชีทดลองให้คล่องก่อนนำไปใช้ในตลาดจริง และไม่ลืมว่ารูปแบบกราฟไม่สามารถใช้เดี่ยว ๆ ได้ ต้องมีการบริหารความเสี่ยงร่วมด้วยเสมอ แม้รูปแบบจะดูน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

รู้ลึก ค่าสเปรด คำนวณยังไง เคลียร์ทุกข้อสงสัย เทรดเดอร์ต้องรู้

รู้ลึก ค่าสเปรด คำนวณยังไง เคลียร์ทุกข้อสงสัย เทรดเดอร์ต้องรู้

ไขข้อสงสัย "ค่าสเปรด คิดยังไง"? เจาะลึกส่วนต่างราคา Bid/Ask ต้นทุนสำคัญในการเทรด พร้อมคำนวณค่าสเปรด

2025-07-15
เปิดคู่มือ เทรดทอง สำหรับมือใหม่ เข้าใจพื้นฐานก่อนลงทุน

เปิดคู่มือ เทรดทอง สำหรับมือใหม่ เข้าใจพื้นฐานก่อนลงทุน

อยากเทรดทองคำแต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เปิดหลักการพื้นฐานทำไมทองคำถึงเป็นที่น่าสนใจในหมู่เทรเดอร์ พร้อมคำศัพทฺ์ควรรู้ก่อนลงตลาดเทรดทอง

2025-07-15
วิธีหลีกเลี่ยงการทับซ้อนของ ETF: เคล็ดลับการกระจายพอร์ตโฟลิโอ

วิธีหลีกเลี่ยงการทับซ้อนของ ETF: เคล็ดลับการกระจายพอร์ตโฟลิโอ

ค้นพบว่าการทับซ้อนของ ETF อาจส่งผลเสียต่อพอร์ตการลงทุนของคุณได้อย่างไร และคุณสามารถดำเนินการอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มการกระจายความเสี่ยงให้สูงสุด

2025-07-15