Gap Trading คืออะไร? วิธีทำกำไรจากช่องว่างราคา
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

Gap Trading คืออะไร? วิธีทำกำไรจากช่องว่างราคา

เผยแพร่เมื่อ: 2025-06-17

ในโลกของตลาดการเงิน แม้ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างคาดเดาไม่ได้ แต่บางครั้งสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวสำคัญกลับไม่ใช่ตัวราคาตรง ๆ แต่อยู่ใน “ช่องว่าง” ระหว่างราคา ซึ่งเรียกกันว่า Gap โดยช่องว่างนี้จะเกิดขึ้นเมื่อราคาที่เปิดของวันใหม่ สูงหรือต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้าอย่างชัดเจน


สำหรับนักเทรดที่เน้นจังหวะสั้น ไม่ว่าจะเป็นสายเทรดรายวัน (Intraday) หรือสวิงเทรด (Swing Trading) กลยุทธ์ที่เรียกว่า Gap Trading จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำกำไรจากความเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของตลาด


แต่จริง ๆ แล้ว Gap Trading คืออะไรกันแน่? จะรู้ได้อย่างไรว่า Gap ไหนน่าลงทุน? และจะเปลี่ยนโอกาสเหล่านี้ให้กลายเป็นกำไรได้อย่างไร? บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Gap Trading อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ประเภทของ Gap พฤติกรรมของนักลงทุนที่อยู่เบื้องหลัง ไปจนถึงกลยุทธ์การเทรดที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ตลาดที่ผันผวน


Gap Trading คืออะไร?

Gap Trading

Gap ในการเทรด หมายถึงช่องว่างหรือการขาดช่วงของราคา ระหว่างช่วงเวลาการซื้อขายสองช่วง โดยไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นในบริเวณนั้น โดยทั่วไปจะปรากฏบนกราฟราคาเมื่อสินทรัพย์เปิดตลาดที่ระดับราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้าอย่างชัดเจน ช่องว่างนี้จะเห็นได้ชัดเจนบนกราฟแท่งเทียนหรือกราฟแท่งราคา


Gap มักพบได้บ่อยในกราฟรายวัน แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในกรอบเวลาที่สั้นกว่านี้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนหรือได้รับแรงกระทบจากข่าวสาร ซึ่งสาเหตุของการเกิด Gap อาจมาจากรายงานผลประกอบการ ข้อมูลเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศตลาดในช่วงข้ามคืน


Gap Trading คือการวิเคราะห์และระบุจุดที่เกิด Gap เหล่านี้ แล้ววางกลยุทธ์ในการเทรดเพื่อหวังผลกำไร ไม่ว่าจะเป็นจากแนวโน้มที่ต่อเนื่องไปในทิศทางเดิม หรือจากการกลับทิศของราคาในภายหลัง


ประเภทของ Price Gap ( ช่องว่างราคา )

ประเภทของช่องว่างราคา (Types of Price Gaps)

1. Common Gaps (ช่องว่างทั่วไป)

เป็นช่องว่างขนาดเล็กที่เกิดขึ้นบ่อย และมักถูกปิด (filled) อย่างรวดเร็ว มักพบในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำหรือช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideway) ช่องว่างประเภทนี้มักไม่ได้เกิดจากข่าวสำคัญ และโดยทั่วไปไม่ได้ส่งสัญญาณการเทรดที่ชัดเจน


2. Breakaway Gaps (ช่องว่างที่เกิดจากการทะลุแนวรับแนวต้าน)

เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ หรือรูปแบบทางเทคนิค เช่น triangle หรือ channel โดยมักมีปริมาณการซื้อขายสูง และแสดงถึงการเคลื่อนไหวที่มีทิศทางชัดเจน ช่องว่างประเภทนี้มักไม่ถูกปิดในระยะสั้น และเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มใหม่


3. Runaway Gaps หรือ Continuation Gaps (ช่องว่างระหว่างแนวโน้ม/ต่อเนื่อง)

เกิดขึ้นในระหว่างที่ราคากำลังอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง และเป็นสัญญาณยืนยันว่าโมเมนตัมของแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป ช่องว่างนี้มักได้รับแรงหนุนจากความสนใจที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน และยืนยันถึงความมั่นใจของตลาดในทิศทางปัจจุบัน


4. Exhaustion Gaps (ช่องว่างท้ายแนวโน้ม)

มักปรากฏในช่วงท้ายของแนวโน้มที่รุนแรง เป็นสัญญาณว่าทิศทางปัจจุบันอาจเริ่มอ่อนแรง ช่องว่างประเภทนี้มักตามมาด้วยการกลับตัวของราคา เนื่องจากนักลงทุนที่เข้าช้าเริ่มเข้ามาเทรดก่อนที่ตลาดจะเกิดการปรับฐาน


ทำไมจึงเกิด Gap?


โดยทั่วไป ช่องว่างเกิดจากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานในตลาด และมักสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในมุมมองของนักลงทุนหรือข่าวสารใหม่ที่กระทบต่อแนวโน้มตลาด


สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่:

  • รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าหรือแย่กว่าที่คาด

  • ข่าวสำคัญที่ประกาศหลังปิดตลาด

  • การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย

  • การควบรวมกิจการหรือซื้อกิจการ

  • การปรับอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นโดยนักวิเคราะห์

  • เหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงคราม หรือมาตรการคว่ำบาตร


เมื่อเกิด Gap ขึ้นแสดงถึง “ความเร่งด่วน” ของตลาดในการปรับราคาตามข้อมูลใหม่ที่เข้ามา


วิธีการระบุ Gap ในการเทรด


ก่อนจะเปิดออร์เดอร์ตาม Gap นักเทรดควรคัดกรองให้แน่ใจว่าช่องว่างนั้นมีโอกาสทำกำไรสูง โดยเงื่อนไขที่พบบ่อยใน Gap ที่สามารถเทรดได้ได้แก่:

  • ช่องว่างมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะใน Breakaway และ Runaway Gap

  • ราคาทะลุกรอบทางเทคนิคหรือระดับราคาสำคัญ

  • ช่องว่างเกิดขึ้นสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดโดยรวม หรือมีข่าวสนับสนุน

  • ช่องว่างเกิดตามรูปแบบราคาที่ชัดเจน เช่น Bull Flag หรือ Retest

  • ไม่มีแนวต้านหรือแนวรับที่สำคัญอยู่ใกล้บริเวณช่องว่าง


เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), ดัชนี RSI หรือเส้นฟีโบนัชชี (Fibonacci Retracements) สามารถใช้ช่วยยืนยันจุดเข้าเทรดจากช่องว่างได้เช่นกัน


กลยุทธ์ Gap Trading ที่ได้รับความนิยม

กลยุทธ์ Gap Trading ที่ได้รับความนิยม

ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ยอดนิยมที่นักเทรดใช้ในการเทรด Price Gaps ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง


กลยุทธ์ Gap and Go

กลยุทธ์นี้เน้นการเทรดตามโมเมนตัมของช่องว่างที่ “ไม่ถูกปิด” แต่กลับเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางของช่องว่าง เหมาะสำหรับนักเทรดรายวัน (Day Trader)

  • จุดเข้า: รอให้ราคาและปริมาณการซื้อขาย (Volume) ยืนยันทิศทางก่อนจึงเข้าซื้อ

  • จุดตัดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ต่ำกว่าระดับช่องว่างหรือระดับการทะลุ

  • จุดทำกำไร: ใช้ระดับสูงภายในวัน (Intraday Highs) หรือจุดสูงก่อนหน้าเป็นเป้าหมาย


กลยุทธ์ Gap Fill (Fade the Gap)

สมมติฐานของกลยุทธ์นี้คือ ช่องว่างที่เกิดขึ้นเป็นการ “ตื่นตระหนกเกินไป” และราคาจะกลับมาปิดช่องว่างในไม่ช้า

  • จุดเข้า: มองหาสัญญาณกลับตัว เช่น Bearish Engulfing หรือ Pin Bar

  • เหมาะกับ: Common Gaps และ Exhaustion Gaps ที่โมเมนตัมอ่อนแรง

  • จุดตัดขาดทุน: วางไว้เหนือระดับสูงหรือต่ำสุดล่าสุด

  • จุดทำกำไร: ตั้งไว้ที่ระดับปิดช่องว่าง (Gap Close Level)


กลยุทธ์ Breakaway Gap

เน้นการเข้าเทรดทันทีหลังจากเกิดช่องว่างที่ทะลุแนวต้านหรือแนวรับที่สำคัญ โดยเชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่

  • ใช้เมื่อ: มีข่าวแรงกระตุ้นชัดเจน หรือมีการทะลุแนวเทคนิค

  • จุดเข้า: ควรสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดโดยรวม

  • เป้าหมาย: ใช้โมเมนตัมต่อเนื่อง เพราะช่องว่างแบบนี้มักไม่ถูกปิดง่าย ๆ


สินทรัพย์และตลาดที่เหมาะกับ Gap Trading

Gap Trading ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หุ้นเท่านั้น ยังสามารถใช้ได้ในตลาดอื่น ๆ ที่มีโอกาสเกิด Gap บ่อย เช่น:

  • ตลาดหุ้น: เหมาะกับหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีข่าวกระทบแรง

  • ตลาดฟอเร็กซ์ (Forex): มักเกิด Gap หลังวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือหลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ

  • ฟิวเจอร์สินค้าโภคภัณฑ์: เกิดจากข่าวเกี่ยวกับอุปสงค์/อุปทานทั่วโลก หรือเหตุการณ์สภาพอากาศ


แนะนำให้เลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ตอบสนองต่อข่าว และมีสภาพคล่องดี


ตัวอย่าง


ตัวอย่างที่1: Breakaway Gap หลังประกาศผลประกอบการ

หุ้นปิดที่ 70 ดอลลาร์ และเปิดกระโดดขึ้นเป็น 75 ดอลลาร์หลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาสที่แข็งแกร่ง ราคาพุ่งต่อเนื่องด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูง และแตะ 82 ดอลลาร์ภายใน 2 วัน


แผนการเทรด: เข้าซื้อเมื่อยืนยันการทะลุที่ 75 ดอลลาร์ ตั้ง Stop Loss ที่ 73 ดอลลาร์ และจุดกำไรที่ 80 ดอลลาร์ขึ้นไป


ตัวอย่างที่ 2: Common Gap ที่ถูกปิด

หุ้นปิดที่ 40 ดอลลาร์ แล้วเปิดที่ 41.5 ดอลลาร์ โดยไม่มีข่าวสำคัญและปริมาณการซื้อขายที่ต่ำราคาค่อย ๆ อ่อนตัว และกลับลงมาที่ 40 ดอลลาร์ภายในไม่กี่ชั่วโมง


แผนการเทรด: เปิด Short ที่ 41.3 ดอลลาร์ เป้าหมาย 40.2 ดอลลาร์ และออกเมื่อราคาปิด Gap



ตัวอย่างที่ 3: Exhaustion Gap และการกลับตัว

หุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 5 วัน แล้วเปิดกระโดดจาก 55 ดอลลาร์ ไปที่ 60 ดอลลาร์ แต่ราคาปฏิเสธแนวต้านที่ 60 ดอลลาร์และปิดที่ 56 ดอลลาร์


แผนการเทรด: เปิด Short เมื่อราคาไม่สามารถผ่าน 60 ดอลลาร์ได้ ตั้ง Stop Loss ที่ 61 ดอลลาร์ และตั้งจุดทำกำไรที่ 55 ดอลลาร์


สรุป


การเทรดแบบ Gap Trading ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดที่เข้าใจจิตวิทยาตลาด พฤติกรรมราคา และการบริหารความเสี่ยง หัวใจสำคัญอยู่ที่การแยกแยะว่าช่องว่างราคาใดควรเทรดและช่องว่างราคาใดควรหลีกเลี่ยง เพราะไม่ใช่ทุกช่องว่างจะมีความหมาย แต่ช่องว่างที่สอดคล้องกับปริมาณการซื้อขาย การตั้งค่าเชิงเทคนิค และแนวโน้มตลาดโดยรวม มักเป็นโอกาสทองในการทำกำไร


เช่นเดียวกับกลยุทธ์อื่น ๆ การทดสอบย้อนหลัง (Backtesting) ความมีวินัย และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นกับ Gap Trading ควรเริ่มจากการเทรดด้วยบัญชีทดลอง (Paper Trading) เพื่อทดสอบรูปแบบต่าง ๆ และพัฒนาระบบกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมกับสไตล์และความเสี่ยงที่รับได้ของตนเอง


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
กลยุทธ์บริหารสถานะข้ามคืน (Overnight Position) อย่างมือโปร
Premarket Trading คืออะไร? ข้อดี ข้อเสีย และกลยุทธ์
OTC Trading Decoded คือ ระบบเบื้องหลังชัยชนะ
Overnight Trading คืออะไร? วิธีเทรดนอกเวลาตลาดหลัก
ทำไมเทรดเดอร์มืออาชีพจึงให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง (Risk Management)?