ค้นพบหลักการทำงานของ Gap Trading ประเภทของ Gap และวิธีที่นักเทรดใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการหาจุดเข้าและออกที่ให้ผลกำไรในตลาดที่ผันผวน
ในโลกของตลาดการเงิน แม้ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างคาดเดาไม่ได้ แต่บางครั้งสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวสำคัญกลับไม่ใช่ตัวราคาตรง ๆ แต่อยู่ใน “ช่องว่าง” ระหว่างราคา ซึ่งเรียกกันว่า Gap โดยช่องว่างนี้จะเกิดขึ้นเมื่อราคาที่เปิดของวันใหม่ สูงหรือต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้าอย่างชัดเจน
สำหรับนักเทรดที่เน้นจังหวะสั้น ไม่ว่าจะเป็นสายเทรดรายวัน (Intraday) หรือสวิงเทรด (Swing Trading) กลยุทธ์ที่เรียกว่า Gap Trading จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำกำไรจากความเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของตลาด
แต่จริง ๆ แล้ว Gap Trading คืออะไรกันแน่? จะรู้ได้อย่างไรว่า Gap ไหนน่าลงทุน? และจะเปลี่ยนโอกาสเหล่านี้ให้กลายเป็นกำไรได้อย่างไร? บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Gap Trading อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ประเภทของ Gap พฤติกรรมของนักลงทุนที่อยู่เบื้องหลัง ไปจนถึงกลยุทธ์การเทรดที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ตลาดที่ผันผวน
Gap ในการเทรด หมายถึงช่องว่างหรือการขาดช่วงของราคา ระหว่างช่วงเวลาการซื้อขายสองช่วง โดยไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นในบริเวณนั้น โดยทั่วไปจะปรากฏบนกราฟราคาเมื่อสินทรัพย์เปิดตลาดที่ระดับราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้าอย่างชัดเจน ช่องว่างนี้จะเห็นได้ชัดเจนบนกราฟแท่งเทียนหรือกราฟแท่งราคา
Gap มักพบได้บ่อยในกราฟรายวัน แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในกรอบเวลาที่สั้นกว่านี้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนหรือได้รับแรงกระทบจากข่าวสาร ซึ่งสาเหตุของการเกิด Gap อาจมาจากรายงานผลประกอบการ ข้อมูลเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศตลาดในช่วงข้ามคืน
Gap Trading คือการวิเคราะห์และระบุจุดที่เกิด Gap เหล่านี้ แล้ววางกลยุทธ์ในการเทรดเพื่อหวังผลกำไร ไม่ว่าจะเป็นจากแนวโน้มที่ต่อเนื่องไปในทิศทางเดิม หรือจากการกลับทิศของราคาในภายหลัง
1. Common Gaps (ช่องว่างทั่วไป)
เป็นช่องว่างขนาดเล็กที่เกิดขึ้นบ่อย และมักถูกปิด (filled) อย่างรวดเร็ว มักพบในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำหรือช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideway) ช่องว่างประเภทนี้มักไม่ได้เกิดจากข่าวสำคัญ และโดยทั่วไปไม่ได้ส่งสัญญาณการเทรดที่ชัดเจน
2. Breakaway Gaps (ช่องว่างที่เกิดจากการทะลุแนวรับแนวต้าน)
เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ หรือรูปแบบทางเทคนิค เช่น triangle หรือ channel โดยมักมีปริมาณการซื้อขายสูง และแสดงถึงการเคลื่อนไหวที่มีทิศทางชัดเจน ช่องว่างประเภทนี้มักไม่ถูกปิดในระยะสั้น และเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มใหม่
3. Runaway Gaps หรือ Continuation Gaps (ช่องว่างระหว่างแนวโน้ม/ต่อเนื่อง)
เกิดขึ้นในระหว่างที่ราคากำลังอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง และเป็นสัญญาณยืนยันว่าโมเมนตัมของแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป ช่องว่างนี้มักได้รับแรงหนุนจากความสนใจที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน และยืนยันถึงความมั่นใจของตลาดในทิศทางปัจจุบัน
4. Exhaustion Gaps (ช่องว่างท้ายแนวโน้ม)
มักปรากฏในช่วงท้ายของแนวโน้มที่รุนแรง เป็นสัญญาณว่าทิศทางปัจจุบันอาจเริ่มอ่อนแรง ช่องว่างประเภทนี้มักตามมาด้วยการกลับตัวของราคา เนื่องจากนักลงทุนที่เข้าช้าเริ่มเข้ามาเทรดก่อนที่ตลาดจะเกิดการปรับฐาน
ทำไมจึงเกิด Gap?
โดยทั่วไป ช่องว่างเกิดจากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานในตลาด และมักสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในมุมมองของนักลงทุนหรือข่าวสารใหม่ที่กระทบต่อแนวโน้มตลาด
สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่:
รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าหรือแย่กว่าที่คาด
ข่าวสำคัญที่ประกาศหลังปิดตลาด
การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย
การควบรวมกิจการหรือซื้อกิจการ
การปรับอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นโดยนักวิเคราะห์
เหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงคราม หรือมาตรการคว่ำบาตร
เมื่อเกิด Gap ขึ้นแสดงถึง “ความเร่งด่วน” ของตลาดในการปรับราคาตามข้อมูลใหม่ที่เข้ามา
ก่อนจะเปิดออร์เดอร์ตาม Gap นักเทรดควรคัดกรองให้แน่ใจว่าช่องว่างนั้นมีโอกาสทำกำไรสูง โดยเงื่อนไขที่พบบ่อยใน Gap ที่สามารถเทรดได้ได้แก่:
ช่องว่างมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะใน Breakaway และ Runaway Gap
ราคาทะลุกรอบทางเทคนิคหรือระดับราคาสำคัญ
ช่องว่างเกิดขึ้นสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดโดยรวม หรือมีข่าวสนับสนุน
ช่องว่างเกิดตามรูปแบบราคาที่ชัดเจน เช่น Bull Flag หรือ Retest
ไม่มีแนวต้านหรือแนวรับที่สำคัญอยู่ใกล้บริเวณช่องว่าง
เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), ดัชนี RSI หรือเส้นฟีโบนัชชี (Fibonacci Retracements) สามารถใช้ช่วยยืนยันจุดเข้าเทรดจากช่องว่างได้เช่นกัน
ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ยอดนิยมที่นักเทรดใช้ในการเทรด Price Gaps ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง
กลยุทธ์ Gap and Go
กลยุทธ์นี้เน้นการเทรดตามโมเมนตัมของช่องว่างที่ “ไม่ถูกปิด” แต่กลับเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางของช่องว่าง เหมาะสำหรับนักเทรดรายวัน (Day Trader)
จุดเข้า: รอให้ราคาและปริมาณการซื้อขาย (Volume) ยืนยันทิศทางก่อนจึงเข้าซื้อ
จุดตัดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ต่ำกว่าระดับช่องว่างหรือระดับการทะลุ
จุดทำกำไร: ใช้ระดับสูงภายในวัน (Intraday Highs) หรือจุดสูงก่อนหน้าเป็นเป้าหมาย
กลยุทธ์ Gap Fill (Fade the Gap)
สมมติฐานของกลยุทธ์นี้คือ ช่องว่างที่เกิดขึ้นเป็นการ “ตื่นตระหนกเกินไป” และราคาจะกลับมาปิดช่องว่างในไม่ช้า
จุดเข้า: มองหาสัญญาณกลับตัว เช่น Bearish Engulfing หรือ Pin Bar
เหมาะกับ: Common Gaps และ Exhaustion Gaps ที่โมเมนตัมอ่อนแรง
จุดตัดขาดทุน: วางไว้เหนือระดับสูงหรือต่ำสุดล่าสุด
จุดทำกำไร: ตั้งไว้ที่ระดับปิดช่องว่าง (Gap Close Level)
กลยุทธ์ Breakaway Gap
เน้นการเข้าเทรดทันทีหลังจากเกิดช่องว่างที่ทะลุแนวต้านหรือแนวรับที่สำคัญ โดยเชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่
ใช้เมื่อ: มีข่าวแรงกระตุ้นชัดเจน หรือมีการทะลุแนวเทคนิค
จุดเข้า: ควรสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดโดยรวม
เป้าหมาย: ใช้โมเมนตัมต่อเนื่อง เพราะช่องว่างแบบนี้มักไม่ถูกปิดง่าย ๆ
สินทรัพย์และตลาดที่เหมาะกับ Gap Trading
Gap Trading ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หุ้นเท่านั้น ยังสามารถใช้ได้ในตลาดอื่น ๆ ที่มีโอกาสเกิด Gap บ่อย เช่น:
ตลาดหุ้น: เหมาะกับหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีข่าวกระทบแรง
ตลาดฟอเร็กซ์ (Forex): มักเกิด Gap หลังวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือหลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ
ฟิวเจอร์สินค้าโภคภัณฑ์: เกิดจากข่าวเกี่ยวกับอุปสงค์/อุปทานทั่วโลก หรือเหตุการณ์สภาพอากาศ
แนะนำให้เลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ตอบสนองต่อข่าว และมีสภาพคล่องดี
ตัวอย่าง
ตัวอย่างที่1: Breakaway Gap หลังประกาศผลประกอบการ
หุ้นปิดที่ 70 ดอลลาร์ และเปิดกระโดดขึ้นเป็น 75 ดอลลาร์หลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาสที่แข็งแกร่ง ราคาพุ่งต่อเนื่องด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูง และแตะ 82 ดอลลาร์ภายใน 2 วัน
แผนการเทรด: เข้าซื้อเมื่อยืนยันการทะลุที่ 75 ดอลลาร์ ตั้ง Stop Loss ที่ 73 ดอลลาร์ และจุดกำไรที่ 80 ดอลลาร์ขึ้นไป
ตัวอย่างที่ 2: Common Gap ที่ถูกปิด
หุ้นปิดที่ 40 ดอลลาร์ แล้วเปิดที่ 41.5 ดอลลาร์ โดยไม่มีข่าวสำคัญและปริมาณการซื้อขายที่ต่ำราคาค่อย ๆ อ่อนตัว และกลับลงมาที่ 40 ดอลลาร์ภายในไม่กี่ชั่วโมง
แผนการเทรด: เปิด Short ที่ 41.3 ดอลลาร์ เป้าหมาย 40.2 ดอลลาร์ และออกเมื่อราคาปิด Gap
ตัวอย่างที่ 3: Exhaustion Gap และการกลับตัว
หุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 5 วัน แล้วเปิดกระโดดจาก 55 ดอลลาร์ ไปที่ 60 ดอลลาร์ แต่ราคาปฏิเสธแนวต้านที่ 60 ดอลลาร์และปิดที่ 56 ดอลลาร์
แผนการเทรด: เปิด Short เมื่อราคาไม่สามารถผ่าน 60 ดอลลาร์ได้ ตั้ง Stop Loss ที่ 61 ดอลลาร์ และตั้งจุดทำกำไรที่ 55 ดอลลาร์
การเทรดแบบ Gap Trading ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดที่เข้าใจจิตวิทยาตลาด พฤติกรรมราคา และการบริหารความเสี่ยง หัวใจสำคัญอยู่ที่การแยกแยะว่าช่องว่างราคาใดควรเทรดและช่องว่างราคาใดควรหลีกเลี่ยง เพราะไม่ใช่ทุกช่องว่างจะมีความหมาย แต่ช่องว่างที่สอดคล้องกับปริมาณการซื้อขาย การตั้งค่าเชิงเทคนิค และแนวโน้มตลาดโดยรวม มักเป็นโอกาสทองในการทำกำไร
เช่นเดียวกับกลยุทธ์อื่น ๆ การทดสอบย้อนหลัง (Backtesting) ความมีวินัย และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นกับ Gap Trading ควรเริ่มจากการเทรดด้วยบัญชีทดลอง (Paper Trading) เพื่อทดสอบรูปแบบต่าง ๆ และพัฒนาระบบกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมกับสไตล์และความเสี่ยงที่รับได้ของตนเอง
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
XAGUSD พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 36.50 ดอลลาร์ เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านส่งผลให้มีความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ตลาดรอการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟดเพื่อทราบทิศทางเพิ่มเติม
2025-06-17เรียนรู้ว่า IWM ETF ติดตาม Russell 2000 อย่างไร รวมถึงมูลค่า ต้นทุน และประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงตำแหน่งที่เหมาะสมในกลยุทธ์การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง
2025-06-17เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างเงินหยวนและเงินหยวน การใช้ รหัสสกุลเงิน และบทบาทต่างๆ ในระบบการเงินอย่างเป็นทางการและในชีวิตประจำวันของจีน
2025-06-17