เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-05
อัปเดตเมื่อ: 2025-12-08
สัญญาฟิวเจอร์ส (Future) คือสัญญาที่มีมาตรฐานและซื้อขายผ่านตลาดซื้อขายล่วงหน้า ทำให้มีสภาพคล่องสูงและความเสี่ยงคู่สัญญาต่ำกว่า ส่วนสัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward) เป็นข้อตกลงส่วนตัวแบบกำหนดเงื่อนไขเอง เหมาะกับการเฮดจ์ความเสี่ยงเฉพาะด้านของธุรกิจหรือผู้ลงทุนบางกลุ่ม
การเข้าใจความแตกต่างของอนุพันธ์ทั้งสองประเภทนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน เทรดเดอร์ และภาคธุรกิจที่ต้องการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ หรือมองหาโอกาสทำกำไรในตลาด
บทความนี้จะอธิบายสัญญา Futures กับ Forward แบบเจาะลึก พร้อมช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจนว่าแต่ละประเภททำงานอย่างไร ควรใช้เมื่อใด และแบบไหนเหมาะกับเป้าหมายทางการเงินของคุณมากที่สุด

สัญญา Future คือข้อตกลงแบบมีมาตรฐานในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่ราคาที่กำหนดล่วงหน้าในวันที่ระบุไว้ในอนาคต โดยซื้อขายผ่านตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ทำให้มีความโปร่งใสและมีกรอบการทำงานที่ชัดเจน ฟิวเจอร์สถูกใช้แพร่หลายในสินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน อัตราดอกเบี้ย และดัชนีหุ้น ความเป็นมาตรฐานของสัญญาทำให้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการสภาพคล่องสูงและเงื่อนไขที่คงที่
ในทางตรงกันข้าม สัญญาฟอร์เวิร์ดคือข้อตกลงส่วนตัวระหว่างสองฝ่าย ซึ่งสามารถกำหนดเงื่อนไขได้อย่างอิสระ ทั้งวันส่งมอบ ปริมาณ และคุณภาพของสินทรัพย์ ฟอร์เวิร์ดมักถูกใช้โดยภาคธุรกิจที่ต้องบริหารความเสี่ยงเฉพาะ เช่น ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนหรือการค้าระหว่างประเทศ ที่สัญญามาตรฐานไม่สามารถตอบโจทย์ได้
ความแตกต่างหลักคือ ฟิวเจอร์สให้ความสำคัญกับสภาพคล่องและมาตรฐานสัญญา ขณะที่ฟอร์เวิร์ดให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและการปรับเงื่อนไขให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของผู้ทำสัญญา
สัญญา Future ซื้อขายผ่านตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล เช่น CME หรือ ICE ตลาดเหล่านี้จะกำหนดสเปกของสัญญาให้เป็นมาตรฐานเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชนิดของสินทรัพย์ ขนาดสัญญา หรือวันหมดอายุ ความเป็นมาตรฐานนี้ช่วยเพิ่มความโปร่งใสของตลาด และทำให้ผู้เข้าร่วมสามารถเข้าออกสถานะได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาเจรจาเงื่อนไขทุกครั้ง
ในทางกลับกัน สัญญาฟอร์เวิร์ดเป็นข้อตกลงส่วนตัวที่ทำกันแบบ OTC (Over-the-counter) และไม่ผ่านตลาดกลาง ทั้งสองฝ่ายสามารถกำหนดเงื่อนไขได้เองตามต้องการ จึงให้ความยืดหยุ่นสูง แต่ก็แลกมากับความโปร่งใสน้อยลง สภาพคล่องต่ำ และยากต่อการปิดสถานะหรือโอนสิทธิ์ก่อนครบสัญญา
โดยรวมแล้ว การเลือกใช้ Futures กับ Forward ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความสำคัญกับความสะดวกและสภาพคล่อง (ฟิวเจอร์ส) หรือความยืดหยุ่นและความเป็นส่วนตัว (ฟอร์เวิร์ด)

หนึ่งในความแตกต่างสำคัญระหว่างสัญญา Futures กับ Forward คือวิธีและช่วงเวลาที่มีการชำระราคา
สัญญาฟิวเจอร์สจะมีการ Mark-to-Market ทุกวัน หมายความว่ากำไรและขาดทุนจะถูกคำนวณใหม่ในแต่ละวัน และมีการปรับยอดในบัญชีมาร์จิ้นตามความจำเป็น การชำระราคาทุกวันแบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดทุนจำนวนมากเมื่อถึงวันครบสัญญา และทำให้มีสำนักหักบัญชีคอยรับประกันการปฏิบัติตามสัญญา
ในทางตรงกันข้าม สัญญาฟอร์เวิร์ดจะชำระราคาครั้งเดียวเมื่อครบกำหนดสัญญา ไม่มีการปรับกำไรขาดทุนระหว่างทาง ผู้ถือสัญญาจึงรับรู้ผลกำไรหรือขาดทุนทั้งหมดในตอนท้าย แม้โครงสร้างแบบนี้จะเหมาะกับการป้องกันความเสี่ยงระยะยาว แต่ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านคู่สัญญาสูงขึ้น เพราะอีกฝ่ายอาจไม่สามารถชำระตามข้อตกลงได้
โดยสรุป การ Mark-to-Market รายวันของฟิวเจอร์สทำให้เหมาะสำหรับการเทรดทั่วไปมากกว่า ในขณะที่ฟอร์เวิร์ดเหมาะกับผู้ที่มีความเชื่อมั่นในความน่าเชื่อถือของคู่สัญญาเป็นหลัก
สัญญาฟิวเจอร์สนั้นมีความปลอดภัยกว่าอย่างชัดเจนในมุมมองของความเสี่ยงคู่สัญญา เนื่องจากฟิวเจอร์สถูกซื้อขายบนตลาดซื้อขายล่วงหน้า จึงมีสำนักหักบัญชี (Clearinghouse) คอยรับประกันการปฏิบัติตามสัญญา ช่วยขจัดความเสี่ยงที่คู่สัญญาอีกฝ่ายอาจผิดนัดชำระ และยังอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด ผู้ซื้อขายจึงสามารถเปิดสถานะจำนวนมากหรือบ่อยครั้งได้อย่างมั่นใจ
ฟอร์เวิร์ดมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะเป็นสัญญาเอกชนที่ทำแบบตัวต่อตัว ความเสี่ยงทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือและฐานะการเงินของคู่สัญญา ความเสี่ยงระดับนี้มักเหมาะสำหรับบริษัทหรือสถาบันการเงินที่มีความสามารถในการประเมินเครดิตและสามารถเจรจาเงื่อนไขป้องกันความเสี่ยงได้
สรุปคือ ฟิวเจอร์สช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตและมอบการคุ้มครองตามกฎระเบียบ ในขณะที่ฟอร์เวิร์ดให้ความยืดหยุ่นแต่ต้องประเมินคู่สัญญาอย่างรอบคอบ

สภาพคล่องเป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา ฟิวเจอร์สมีสภาพคล่องสูงมาก โดยเฉพาะในตลาดสินค้าหลัก ดัชนี และสกุลเงิน เนื่องจากมีผู้ซื้อขายจำนวนมาก ทำให้สามารถเปิด–ปิดสถานะได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับเทรดเดอร์และนักเก็งกำไรที่ต้องการเข้าออกตลาดบ่อย
ในทางกลับกัน ฟอร์เวิร์ดมีสภาพคล่องต่ำกว่าอย่างมาก เพราะเป็นสัญญาที่ปรับแต่งเฉพาะและทำกันแบบส่วนตัว จึงแทบไม่มีตลาดรอง การปิดสถานะฟอร์เวิร์ดก่อนครบกำหนดอาจต้องอาศัยการเจรจา หรือบางครั้งอาจทำไม่ได้เลย ส่งผลให้ฟอร์เวิร์ดเหมาะสำหรับบริษัทที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง หรือจัดการความเสี่ยงทางการเงินแบบเฉพาะเจาะจง มากกว่าจะใช้ในเทรดที่ต้องการเข้าออกบ่อย
Futures มีความหลากหลายและใช้กันอย่างแพร่หลาย:
นักเก็งกำไร (Speculators) ใช้ฟิวเจอร์สเพื่อทำกำไรจากการคาดการณ์ทิศทางราคา
นักลงทุน (Investors) ใช้เพื่อเฮดจ์ความเสี่ยงที่เป็นมาตรฐาน เช่น ดัชนีหุ้น หรืออัตราดอกเบี้ย
เทรดเดอร์ (Traders) พึ่งพาตลาดซื้อขายที่มีการกำกับดูแล เพื่อการเทรดที่โปร่งใสและคาดการณ์ได้
Forwards มักใช้ในสถานการณ์เฉพาะทาง:
บริษัทต่าง ๆ ใช้ฟอร์เวิร์ดเพื่อลดความเสี่ยงค่าเงินหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในธุรกิจระหว่างประเทศ
สถาบันการเงิน ใช้จัดการความเสี่ยงเฉพาะแบบที่สัญญามาตรฐานไม่ครอบคลุม
ธุรกิจที่ต้องการกำหนดวันส่งมอบ ปริมาณ หรือคุณภาพแบบเฉพาะเจาะจงจะได้รับประโยชน์จากสัญญาฟอร์เวิร์ด
การเลือกใช้เครื่องมือใด ขึ้นอยู่กับลักษณะของความเสี่ยงและเป้าหมายการเทรดของคุณ

Futures:
ข้อดี: สภาพคล่องสูง สัญญาที่ได้มาตรฐาน การชำระเงินรายวัน ความเสี่ยงด้านคู่สัญญาต่ำ
ข้อเสีย: ความยืดหยุ่นจำกัด ไม่สามารถปรับแต่งเงื่อนไขการจัดส่งได้ อาจต้องรักษาอัตรากำไรไว้
Forward:
ข้อดี: ปรับแต่งได้เต็มที่ เป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับแนวป้องกันเฉพาะ
ข้อเสีย: ความเสี่ยงคู่สัญญาสูง สภาพคล่องต่ำ การกำกับดูแลด้านกฎระเบียบมีจำกัด
การแลกเปลี่ยนนั้นชัดเจน: สัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ในขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้ความยืดหยุ่นและความเป็นส่วนตัว
| คุณสมบัติ | สัญญา Futures | สัญญา Forward |
|---|---|---|
| สถานที่ซื้อขาย | ซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดที่มีการควบคุม | ข้อตกลงแบบส่วนตัวที่ซื้อขายผ่านเคาน์เตอร์ (OTC) |
| การสร้างมาตรฐาน | ขนาดสัญญา วันหมดอายุ และคุณภาพที่ได้มาตรฐาน | ปรับแต่งได้เต็มที่เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของฝ่ายต่างๆ |
| สภาพคล่อง | มีสภาพคล่องสูงเนื่องจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่คึกคัก | สภาพคล่องต่ำ ยากที่จะออกก่อนครบกำหนด |
| การชำระบัญชี | มูลค่าตามราคาตลาดรายวัน กำไร/ขาดทุนที่ชำระทุกวัน | ชำระเมื่อครบกำหนด กำไร/ขาดทุนเต็มจำนวนที่เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุด |
| ความเสี่ยงของคู่สัญญา | ต่ำ รับประกันโดยสำนักหักบัญชี | สูง ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของคู่สัญญา |
| การกำกับดูแล | ขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยนและการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบ | การกำกับดูแลที่น้อยที่สุด; การจัดการแบบส่วนตัว |
| ความยืดหยุ่น | จำกัด; ต้องยึดตามข้อกำหนดมาตรฐาน | สูง เงื่อนไข วันส่งมอบ และปริมาณต่อรองได้ |
| กรณีการใช้งาน | การเก็งกำไร การป้องกันความเสี่ยงแบบมาตรฐาน | การป้องกันความเสี่ยงเฉพาะขององค์กรหรือความเสี่ยงด้านการค้าระหว่างประเทศ |
| ต้นทุนและกำไร | ต้องมีบัญชีมาร์จิ้นและอาจมีการปรับรายวัน | โดยทั่วไปไม่มีมาร์จิ้น อาจต้องมีข้อตกลงล่วงหน้าหรือหลักประกัน |
| ความโปร่งใส | สูง ราคาและการซื้อขายเปิดเผยต่อสาธารณะ | ต่ำ เงื่อนไขส่วนตัวและราคาไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ |
ไม่เหมือนกัน ฟิวเจอร์สเป็นสัญญามาตรฐานและซื้อขายบนตลาดแลกเปลี่ยน ส่วน Forward เป็นสัญญาเอกชนที่ปรับแต่งได้ระหว่างสองฝ่าย
Forward มีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากการปฏิบัติตามสัญญาขึ้นอยู่กับคู่สัญญา ฟิวเจอร์สมี clearinghouse ค้ำประกัน ลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระ
โดยปกติไม่สามารถทำได้ Forward ไม่มีมาตรฐานและสภาพคล่องต่ำ ทำให้การออกจากสัญญาก่อนครบอายุหรือขายต่อทำได้ยาก
ฟิวเจอร์สเหมาะกับผู้ที่ต้องการสภาพคล่อง, มาตรฐาน, การกำกับดูแล และความเสี่ยงเครดิตต่ำ โดยเฉพาะนักเทรดและนักเก็งกำไร
Forward เหมาะสำหรับการเฮดจ์เฉพาะทาง ปรับวันส่งมอบ ปริมาณ และข้อตกลงส่วนตัวตามความต้องการของบริษัทหรือความเสี่ยงทางการเงิน
การเลือกใช้ระหว่างสัญญา Futures กับ Forward ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณให้ความสำคัญ Futures เหมาะสำหรับนักเทรดและนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง ข้อตกลงมาตรฐาน และการคุ้มครองทางกฎหมาย ส่วน Forward เหมาะกับบริษัทหรือสถาบันที่ต้องการโซลูชันเฮดจ์แบบปรับแต่งเฉพาะ
การเข้าใจความแตกต่างด้านโครงสร้าง การชำระเงิน ความเสี่ยง และการประยุกต์ใช้ จะช่วยให้คุณเลือกสัญญาที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ บริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ