简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

เจาะลึก Relative Vigor Index ตัวชี้แรงขับตลาด

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-29    อัปเดตเมื่อ: 2025-10-30

ตลาดมักถูกเปรียบเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เต้นเป็นจังหวะ เต็มไปด้วยพลังงานที่ขึ้นลงตามการเคลื่อนไหวของราคา ทุกครั้งที่ราคาพุ่งขึ้นหรือลดลง ล้วนซ่อน “จังหวะ” ที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแรงของแนวโน้มไว้เบื้องหลัง Relative Vigor Index (RVI) คือหนึ่งในเครื่องมือที่เทรดเดอร์ใช้เพื่ออ่านจังหวะนั้น โดยวัดว่าตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางใดด้วยความมั่นใจมากน้อยเพียงใด


สำหรับผู้เริ่มต้น การเข้าใจ RVI ก็เหมือนการเรียนรู้วิธี “ฟังเสียงหัวใจ” ของการเคลื่อนไหวราคา มันไม่ได้มีไว้เพื่อทำนายอนาคต แต่เพื่อช่วยให้คุณรู้ว่าแรงขับเคลื่อนของตลาดยังแข็งแรงหรือเริ่มอ่อนตัวลงแล้ว ในโลกที่อัลกอริทึมทำงานได้ภายในเสี้ยววินาที การเข้าใจตรรกะเบื้องหลังอินดิเคเตอร์อย่าง RVI จะช่วยให้เทรดเดอร์ยืนยันสัญชาตญาณของตนด้วยโครงสร้างที่ชัดเจนมากขึ้น

Relative Vigor Index (RVI)


Relative Vigor Index (RVI) คืออะไร?


Relative Vigor Index (RVI) คืออินดิเคเตอร์ทางเทคนิคประเภท โมเมนตัม (Momentum-based Indicator) ที่พัฒนาโดย Donald Dorsey ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 โดยมีแนวคิดหลักว่า ในแนวโน้มขาขึ้น ราคามักจะปิดสูงกว่าราคาเปิด ส่วนในแนวโน้มขาลง ราคามักจะปิดต่ำกว่าราคาเปิด RVI จึงวัดความสัมพันธ์นี้เพื่อดูว่า “แรงโมเมนตัม” สนับสนุนแนวโน้มปัจจุบันมากน้อยเพียงใด


สูตรของ RVI จะวัดว่า “ราคาปิด” แข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อเทียบกับ “ช่วงการเคลื่อนไหวของแท่งเทียน” ในแต่ละรอบ โดยเปรียบเทียบความต่างระหว่างราคาปิดและราคาเปิดกับช่วงระหว่างราคาสูงสุดและต่ำสุด จากนั้นนำค่ามาเฉลี่ยในหลายช่วงเวลา เพื่อให้ได้เส้นที่ “แกว่งรอบศูนย์” แสดงถึงจังหวะที่พลังของตลาดกำลังแข็งแกร่งขึ้นหรืออ่อนตัวลง


ในทางคณิตศาสตร์จะแสดงเป็น:

RVI = (ปิด – เปิด) / (สูง – ต่ำ) 


แล้วนำค่าเฉลี่ยในจำนวนช่วงเวลาที่กำหนด

  • ค่า RVI บวก หมายถึงแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Momentum)

  • ค่า RVI ลบ หมายถึงแรงกดดันจากขาลง (Bearish Pressure)


เทรดเดอร์มักใช้เส้นสัญญาณ (Signal Line) ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของ RVI เพื่อดูจังหวะตัดกัน (Crossover) ระหว่างเส้นหลักและเส้นสัญญาณ เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแนวโน้ม


วิธีการทำงานของ RVI ในทางปฏิบัติ


RVI ทำงานบนแนวคิดของ “ความมั่นใจ” (Conviction)  ในช่วงแนวโน้มที่แข็งแรง ราคาปิดมักจะอยู่ใกล้ขอบบนหรือล่างของช่วงราคาในแต่ละวัน RVI จึงสะท้อนความสม่ำเสมอนี้ เพื่อยืนยันว่าแรงขับเคลื่อนของตลาดนั้น “จริง” หรือไม่


ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงปี 2023–2024 เมื่อหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ พุ่งแรงกว่า 40% ดัชนี Nasdaq Composite มีค่า RVI บนกราฟรายวันสูงกว่า 0 ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง แม้ระหว่างทางจะมีการย่อตัวเล็กน้อย แต่เมื่อต้นปี 2025 ความผันผวนกลับเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนด้านดอกเบี้ย ค่า RVI เริ่มลดลงและข้ามต่ำกว่า 0 บ่อยครั้ง สะท้อนถึง “ความเชื่อมั่นของตลาด” ที่เริ่มอ่อนแรงลง


บนกราฟ RVI จะปรากฏเป็น 2 เส้น: ได้แก่ เส้น RVI หลัก (มักเป็นสีเขียว) และเส้นสัญญาณ (มักเป็นสีแดง) เมื่อ RVI ตัดเหนือเส้นสัญญาณ แสดงว่ามีแนวโน้มขาขึ้นเพิ่มขึ้น และเมื่อตัดลงต่ำกว่า แสดงว่ามีแนวโน้มขาลง


การเปรียบเทียบ RVI กับอินดิเคเตอร์โมเมนตัมอื่น ๆ


แม้จะอยู่ในกลุ่ม “โมเมนตัมอินดิเคเตอร์” เหมือนกัน แต่ RVI มีมุมมองเฉพาะตัว 

  • RSI (Relative Strength Index): วัด “ความเร็วและขนาด” ของการเปลี่ยนแปลงราคา

  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): วัด “ความต่าง” ของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

  • RVI: เน้น “ความสม่ำเสมอของพลังราคาปิด” เมื่อเทียบกับช่วงการเคลื่อนไหวประจำวัน


ในช่วงที่ตลาดขาขึ้นอย่างมั่นคง ค่า RVI มักคงอยู่ในระดับสูง แม้ RSI จะเริ่มเย็นลง ทำให้เทรดเดอร์ไม่หลุดออกจากแนวโน้มเร็วเกินไป ในทางกลับกัน หาก RVI เคลื่อนไหวสวนทางกับทิศทางราคา (Divergence) อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าโมเมนตัมกำลังอ่อนแรงและอาจเกิดการกลับตัว


ยกตัวอย่างเช่น เดือนกันยายน 2024 คู่เงิน EUR/USD พุ่งจาก 1.06 ขึ้นไปถึง 1.09 แต่ค่า RVI เริ่มนิ่งและลดลง ทั้งที่ราคายังไต่ขึ้นต่อไป หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ราคากลับตัวลงสู่ 1.07  ยืนยันว่า “RVI Divergence” สามารถเตือนการหมดแรงของแนวโน้มได้อย่างมีประสิทธิภาพ


กลยุทธ์การเทรดโดยใช้ RVI


Relative Vigor Index (RVI) สามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลายแนวทางการเทรด ดังนี้:


1. การยืนยันแนวโน้ม


เทรดเดอร์ใช้ RVI เพื่อยืนยันว่าการ “เบรกเอาต์” หรือ “การดีดตัวขึ้น” นั้นมีแรงสนับสนุนจริงหรือไม่ หากค่า RVI อยู่เหนือศูนย์และเส้นสัญญาณเคลื่อนในทิศทางเดียวกัน แสดงว่าโมเมนตัมของตลาดยังแข็งแรง


2. ตรวจจับการเกิด Divergence


เมื่อราคาทำจุดสูงใหม่ แต่ค่า RVI ไม่สามารถทำตามได้ อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มเริ่มอ่อนแรง เช่น ในช่วงต้นปี 2025 ราคาหุ้น Tesla พุ่งขึ้นแรง แต่ค่า RVI แสดงสัญญาณ Divergence ก่อนที่ราคาจะปรับฐานลงประมาณ 12%


3. การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา


เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มักตรวจสอบค่า RVI ทั้งในกราฟรายวันและ 4 ชั่วโมง หากทั้งสองกรอบแสดงสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน จะเพิ่มความน่าจะเป็นของการเข้าเทรดที่แม่นยำขึ้น


4. สัญญาณตัดกัน (Crossover Entries)


  • เมื่อเส้น RVI ตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ → บ่งบอกแนวโน้มขาขึ้น

  • เมื่อเส้น RVI ตัดลงต่ำกว่าเส้นสัญญาณ → บ่งบอกแนวโน้มขาลง


เทรดเดอร์จำนวนมากนิยมใช้ร่วมกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) หรือปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ



ข้อดีของการใช้ RVI


  • มันช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มมากกว่าการทำนายจุดกลับตัว

  • ทำงานได้ดีในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนและต่อเนื่อง

  • เสริมการทำงานของอินดิเคเตอร์อื่น ด้วยการเน้น “คุณภาพของราคาปิด”

  • ใช้ได้กับทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)


ข้อจำกัดของ Relative Vigor Index


แม้จะมีประโยชน์ แต่ RVI ก็มีจุดอ่อนสำคัญ เนื่องจากต้อง เฉลี่ยข้อมูลหลายช่วงเวลา ทำให้เกิดการหน่วง (Lag) ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรงจากข่าว หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า ค่า RVI มักจะตอบสนองช้ากว่าราคา นอกจากนี้ RVI ยังอาจให้สัญญาณหลอกในตลาดที่แกว่งตัวในกรอบแคบ (Range-bound) หรือ ผันผวนไม่แน่นอน (Choppy Market) ซึ่งโมเมนตัมเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว


ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงวิกฤตราคาพลังงานปี 2022 ราคาน้ำมันดิบพุ่งแรงและผันผวนไม่หยุด RVI ให้สัญญาณขัดแย้งหลายครั้ง การใช้ตัวกรองความผันผวน (Volatility Filter) หรือแนวโน้มค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมด้วยจึงช่วยลด “สัญญาณรบกวน” ได้อย่างมาก

Relative Vigor Index


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Relative Vigor Index (RVI)


Q1. Relative Vigor Index บอกอะไรกับเทรดเดอร์?


RVI ใช้วัด “ความแข็งแกร่งของราคาปิด” ว่าสนับสนุนทิศทางของตลาดมากน้อยเพียงใด เพื่อดูว่าแรงโมเมนตัมสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาหรือไม่


Q2. RVI แตกต่างจาก RSI อย่างไร?


RSI วัด “ความเร็วของการเคลื่อนไหวราคา” ขณะที่ RVI มุ่งวัด “ความสม่ำเสมอของราคาปิด” เมื่อเทียบกับช่วงการเคลื่อนไหวของแต่ละรอบ ให้มุมมองที่มั่นคงกว่าในการประเมินความเชื่อมั่นของตลาด


Q3. ผู้เริ่มต้นสามารถใช้ RVI เพียงตัวเดียวได้ไหม?


ไม่แนะนำให้ใช้เพียงตัวเดียว ควรใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น เช่น MACD หรือการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) เพราะ RVI เหมาะสำหรับยืนยันแนวโน้มมากกว่าการให้สัญญาณเข้า–ออกที่รวดเร็ว


ภาพรวมสำคัญ


Relative Vigor Index ช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพเชิงโครงสร้างของ “พลังงานตลาด” อย่างมีระบบ มันกรองอารมณ์และอคติออกจากการตัดสินใจ โดยแสดงให้เห็นว่าความ “มั่นใจ” หรือ “ความกลัว” ในตลาดนั้นได้รับการยืนยันจากพฤติกรรมราคาจริงหรือไม่ การให้ความสำคัญกับ “ความแข็งแรงของการปิดราคา” ช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์


โมเมนตัมก็เหมือน “ลมในเรือใบ” มองไม่เห็น แต่จำเป็นอย่างยิ่ง RVI ไม่ได้ทำนายว่าลมจะพัดไปทางไหน แต่จะบอกว่าตอนนี้ “แรงลม” นั้นแรงแค่ไหน และในโลกการเทรดที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็ว มุมมองนี้อาจเป็นความแตกต่างระหว่าง “การวิ่งตามเสียงรบกวน” กับ “การจับทิศทางของพลังแท้จริง”


คำศัพท์น่ารู้: สรุปสั้น ๆ ที่ควรจำ


  • Momentum Indicator: เครื่องมือวัดความเร็วหรือความแรงของการเคลื่อนไหวของราคา

  • Divergence: ภาวะที่ราคาและอินดิเคเตอร์เคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกัน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงแนวโน้มที่กำลังจะเปลี่ยน

  • เส้นสัญญาณ (Signal Line): เส้นค่าเฉลี่ยที่ได้จากการทำให้เส้นหลักของอินดิเคเตอร์เรียบขึ้น ใช้เพื่อยืนยันสัญญาณตัดกัน (Crossover)



ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ