简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

สำรวจ ตลาดกระทิง คืออะไร เจาะลึกโอกาสยามสินทรัพย์ปรับตัวสูง

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-24

ตลาดกระทิง คือช่วงเวลาที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ะสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในอนาคตของเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัท พลังขับเคลื่อนหลักของตลาดกระทิงเกิดจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจจริงและสภาพคล่องในตลาดและนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ซึ่งบทความนี้จะพาไปสำรวจว่า ตลาดกระทิงคืออะไร, สัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่ากำลังเกิด ระยะเวลาที่ตลาดกระทิงมักยืนอยู่ และเครื่องมือที่นักลงทุนมืออาชีพใช้วิเคราะห์ตลาดกระทิง


ตลาดกระทิงคืออะไร ความเชื่อมั่นกลายเป็นพลังขับเคลื่อนราคา


ตลาดกระทิง (Bull Market) คือช่วงเวลาที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยมักวัดได้จากการเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากจุดต่ำสุดก่อนหน้า ทำให้นักลงทุนมองอนาคตในแง่บวก เนื่องจากมีการเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มขึ้น และแรงซื้อดังกล่าวส่งผลให้ราคาพุ่งสูงยิ่งขึ้นในลักษณะเป็นวงจรบวก ตลาดกระทิงจึงสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ทองคำ หรือแม้แต่คริปโท


โดยในเชิงจิตวิทยา ตลาดกระทิงสะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนในเศรษฐกิจและกำไรของบริษัท การเติบโตของ GDP และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เช่น การลดดอกเบี้ยหรือการอัดฉีดสภาพคล่องจากธนาคารกลาง มักเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะกระทิง นักลงทุนรายย่อยเริ่มกลับเข้าตลาด ขณะที่นักลงทุนสถาบันขยายพอร์ตอย่างมั่นใจ ภาพรวมของตลาดเต็มไปด้วยความคึกคักและการเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้น


อย่างไรก็ตาม ตลาดกระทิงไม่ได้หมายถึงการเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในทางเศรษฐศาสตร์ วัฏจักรของตลาดกระทิงจะค่อยๆ สูญเสียแรงส่งเมื่อมูลค่าของสินทรัพย์สูงเกินพื้นฐาน หรือเมื่อมีสัญญาณเงินเฟ้อและการเข้มงวดทางการเงินเข้ามากดดัน ผลที่ตามมาคือการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ “ตลาดหมี” (Bear Market) หรือช่วงขาลงที่ราคาปรับตัวลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดเดิม


สัญญาณที่บ่งบอกถึงตลาดกระทิง


  • ดัชนีเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง
    เมื่อเศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่มั่นคง เช่น GDP เพิ่มขึ้น การจ้างงานสูงขึ้น และอัตราการว่างงานลดลง สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของตลาดกระทิง นักลงทุนเชื่อว่าบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นจึงมีแนวโน้มขยับสูงตาม


  • นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
    ธนาคารกลางมักลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง นักลงทุนจึงหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เช่น หุ้นหรือกองทุนรวม ส่งผลให้เกิดแรงซื้อในวงกว้าง


  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุนเพิ่มขึ้น
    ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (Consumer Confidence Index) และดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Investor Sentiment Index) มักพุ่งขึ้นในช่วงตลาดกระทิง เพราะผู้คนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น และพร้อมจะใช้จ่ายมากขึ้น


  • ปริมาณการซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ย
    ในตลาดกระทิง ปริมาณการซื้อขาย (Volume) มักเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้ถึงแรงสนับสนุนจากฝั่งผู้ซื้อ และยืนยันว่าการปรับตัวขึ้นของราคามีฐานที่แข็งแรง


ตลาดกระทิง - EBC


สำรวจวัฏจักร ตลาดกระทิง ปกติจะอยู่นานแค่ไหน?


ระยะเวลาของตลาดกระทิง ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยกฎแน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน สภาพคล่องในระบบ และจิตวิทยาของนักลงทุน ตลาดกระทิงที่ขับเคลื่อนด้วยการเติบโตของกำไรจริง (earnings-driven bull) มักยืนระยะได้ยาวกว่าตลาดที่ขยายตัวจากความคาดหวังหรือสภาพคล่องส่วนเกิน (liquidity-driven bull) ซึ่งเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยและความเสี่ยงมหภาค


โดยทั่วไป ตลาดกระทิงอาจกินเวลาตั้งแต่ 2 ถึง 8 ปี หรือบางช่วงอาจยาวนานกว่านั้น หากเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและนโยบายการเงินเอื้ออำนวย ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 ยืดตัวต่อเนื่องยาวนานกว่าทศวรรษ จากแรงหนุนของดอกเบี้ยต่ำและนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในทางกลับกัน ตลาดกระทิงที่เกิดจากแรงเก็งกำไรอย่างหนัก เช่น ในตลาดคริปโท มักอยู่ได้ไม่นานเพราะขาดแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐาน


นักวิเคราะห์มักใช้ตัวชี้วัดหลายด้านในการประเมิน “อายุของกระทิง” เช่น อัตราการเติบโตของกำไรบริษัท (EPS growth), มูลค่าตลาดเทียบกับพื้นฐาน (P/E หรือ CAPE ratio), สภาพคล่องในระบบการเงิน และความกว้างของตลาด (market breadth) หากราคาขึ้นโดยมีหุ้นนำเพียงไม่กี่ตัว หรือมูลค่าหลุดจากพื้นฐานมากเกินไป มักเป็นสัญญาณว่าตลาดกระทิงกำลังเข้าสู่ช่วงปลาย การเปลี่ยนผ่านจากตลาดกระทิงไปสู่ตลาดหมีจึงไม่ใช่เรื่องฉับพลัน แต่เป็นผลสะสมของแรงกดดันทางเศรษฐกิจและจิตวิทยาที่ค่อยๆ เปลี่ยนทิศไปในเวลาเดียวกัน


เครื่องมือและวิเคราะห์ตลาดกระทิงที่นักลงทุนมืออาชีพมักใช้


การระบุและวิเคราะห์ ตลาดกระทิง ไม่ใช่เรื่องของการดูราคาขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจความแข็งแรงของแนวโน้ม วิเคราะห์แรงซื้อและสัญญาณความต่อเนื่องของราคาด้วย นักลงทุนมืออาชีพจึงใช้เครื่องมือและเทคนิคหลายประเภททั้งเชิงเทคนิคและเชิงปัจจัยพื้นฐานเพื่อประเมินว่าแนวโน้มขาขึ้นมีความยั่งยืนหรือไม่ การวิเคราะห์เชิงระบบแบบนี้ช่วยให้สามารถเข้าออกตลาดได้อย่างมีเหตุผล ลดความเสี่ยงจากความผันผวนและแรงเก็งกำไรชั่วคราว


1. Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)


ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เช่น SMA (Simple Moving Average) หรือ EMA (Exponential Moving Average) เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ระบุแนวโน้มระยะสั้นและระยะยาว สำหรับตลาดกระทิง การที่ราคาหุ้นอยู่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว เช่น 200 วัน และเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นระยะยาว (Golden Cross) มักเป็นสัญญาณยืนยันว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังมีความแข็งแรง


นอกจากนี้ นักวิเคราะห์มักใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลายเส้นร่วมกัน เพื่อสังเกตความกว้างของแนวโน้ม (Trend Width) หากเส้นระยะสั้นและระยะยาวขยายออกจากกัน ราคาเพิ่มขึ้นพร้อมแรงซื้อสะสม เป็นสัญญาณว่าตลาดกระทิงยังยืนอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคง


2. Relative Strength Index (RSI)


RSI เป็นตัวชี้วัดความแข็งแรงของราคาและระดับ overbought/oversold ช่วยให้นักลงทุนระบุว่าตลาดกระทิงมีแรงส่งต่อหรือถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ค่า RSI อยู่ระหว่าง 0–100 โดยทั่วไป หาก RSI อยู่ระหว่าง 50–70 และยังไม่ถึงระดับ overbought ตลาดกระทิงยังมีโอกาสขยายตัวต่อ


RSI ยังช่วยตรวจจับสัญญาณ divergence หรือความแตกต่างระหว่างราคาหุ้นและ RSI เช่น หากราคาขึ้นต่อแต่ RSI ลดลง เป็นสัญญาณเตือนว่าความแข็งแรงของตลาดกระทิงกำลังอ่อนลง นักลงทุนมืออาชีพใช้ข้อมูลนี้เพื่อประเมินว่าควรเพิ่มพอร์ตลงทุนหรือเริ่มจัดการความเสี่ยง


3. Bollinger Bands


Bollinger Bands ประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยกลางและแถบบน-ล่างที่ขยายออกตามความผันผวนของราคา ช่วยให้นักลงทุนเห็นว่าตลาดกระทิงอยู่ในช่วงที่ราคา “บีบตัว” หรือมีแรงขยายตัวมาก การยืนเหนือเส้นกลางและใกล้แถบบนบ่งชี้ว่าผู้ซื้อยังมีแรงหนุนตลาด


นอกจากนี้ การใช้ Bollinger Bands ร่วมกับ volume analysis สามารถยืนยันแรงซื้อสะสมในตลาดกระทิง หากราคาอยู่เหนือแถบกลางและปริมาณการซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ย เป็นสัญญาณว่าตลาดกระทิงมีแรงส่งต่ออย่างแข็งแรง


4. Volume Analysis (การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย)


ปริมาณการซื้อขายเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความแข็งแรงตลาดกระทิง ตลาดกระทิงที่ยั่งยืนมักมาพร้อมกับ volume สูง โดยเฉพาะเมื่อราคาขึ้น การเพิ่มขึ้นของ volume แสดงว่าแรงซื้อจากนักลงทุนกว้างและมีความต่อเนื่อง


นักลงทุนมืออาชีพมักใช้ volume ร่วมกับราคาในการประเมินความยั่งยืน เช่น advance/decline line หรือการวิเคราะห์การ breakout ของราคาพร้อม volume สูง จะช่วยยืนยันว่าแนวโน้มขาขึ้นไม่ได้เกิดจากหุ้นเพียงไม่กี่ตัว แต่เป็นแนวโน้มตลาดโดยรวม


5. ตัวชี้วัดเชิงปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Indicators)


นอกจากเทคนิคเชิงราคา นักลงทุนมืออาชีพยังดูตัวชี้วัดเชิงปัจจัยพื้นฐาน เช่น Earnings Growth, P/E Ratio, Dividend Yield และ Return on Equity (ROE) การเติบโตของกำไรและอัตราผลตอบแทนที่แข็งแรงช่วยยืนยันว่าตลาดกระทิงมีพื้นฐานรองรับ ไม่ใช่เพียงการเก็งกำไร


การใช้ตัวชี้วัดพื้นฐานร่วมกับเทคนิคช่วยให้เห็นภาพครบถ้วน เช่น หากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นพร้อมกับกำไรที่เติบโตและอัตรา P/E อยู่ในระดับสมเหตุสมผล แสดงว่าตลาดกระทิงมีความยั่งยืน นักลงทุนสามารถวางกลยุทธ์ระยะกลางถึงยาวได้อย่างมั่นใจ


pexels-alphatradezone-5833311.jpg


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)


Q: ตลาดกระทิงแตกต่างจากตลาดหมีอย่างไร?

ตลาดกระทิงคือช่วงที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่วนตลาดหมีคือช่วงที่ราคาลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุด ทั้งสองภาวะมักสลับกันตามวัฏจักรเศรษฐกิจ


Q: ตลาดกระทิงสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายสินทรัพย์หรือไม่?

ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพคล่องสูง เช่น ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยหรือมีการอัดฉีดเงินเข้าระบบ นักลงทุนจึงแสวงหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์หลายประเภทพร้อมกัน


Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดกระทิงใกล้จบแล้ว?

มักเริ่มเห็นสัญญาณฟองสบู่ เช่น มูลค่าหุ้นสูงกว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ธนาคารกลางเริ่มขึ้นดอกเบี้ย และมีแรงขายทำกำไรในวงกว้าง


สรุป


ตลาดกระทิงไม่ใช่เพียงช่วงเวลาของ “ราคาที่ขึ้น” แต่เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นใจในอนาคตของเศรษฐกิจและระบบการเงินโดยรวม ทุกครั้งที่เกิดตลาดกระทิง มักตามมาด้วยการไหลเข้าของเงินทุน การจ้างงานที่ขยายตัว และการบริโภคที่เติบโต ซึ่งช่วยหนุนให้เศรษฐกิจจริงแข็งแกร่งขึ้น


อย่างไรก็ตาม ไม่มีตลาดกระทิงใดคงอยู่ตลอดไป เมื่อความร้อนแรงของตลาดเริ่มเกินพื้นฐาน ราคาสินทรัพย์จะเข้าสู่ช่วงพักตัวหรือการปรับฐาน ดังนั้น ความเข้าใจในวัฏจักรตลาดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะตลาดกระทิงและตลาดหมีต่างเป็นส่วนหนึ่งของระบบเดียวกัน


ท้ายที่สุด ตลาดกระทิงคือ “ช่วงเวลาแห่งโอกาสและบททดสอบ” สำหรับผู้ที่มองตลาดด้วยเหตุผล มันคือการเติบโตของระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่สำหรับผู้ที่ปล่อยให้อารมณ์นำทาง มันก็อาจกลายเป็นกับดักแห่งความมั่นใจเกินพอดีได้เช่นกัน


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ดัชนี คืออะไร? ทำความเข้าใจ 6 ดัชนีสำคัญในตลาดเงินโลก
เจาะลึกโอกาสการเติบโตของเอเชียผ่าน AAXJ ETF
วิธีเริ่มเทรดฉบับมือใหม่ สู่เส้นทางนักลงทุน
Dark Cloud Cover คืออะไร?ศึกษากลยุทธ์และตัวอย่างจริง
เจาะลึกกลยุทธ์เทรดหุ้นคู่ใจ คู่มือเทรดเดอร์สายลุย