简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

เจาะลึกตลาดตราสารทุน (Equity Market) เข้าใจกลไกที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-29    อัปเดตเมื่อ: 2025-10-30

ตลาดตราสารทุนเปรียบเสมือนหัวใจของระบบการเงินยุคใหม่ ทุกวินาทีราคาหุ้นขึ้นลงตามจังหวะของการระดมทุนจากบริษัทและการแสวงหาโอกาสจากนักลงทุน สำหรับบางคน นี่คือเวทีแห่งความฝันและโชคชะตา ขณะที่สำหรับอีกหลายคน มันสะท้อนถึงความมั่นใจหรือความหวาดกลัวของเศรษฐกิจโลก เมื่อใดที่ตลาดตราสารทุนเติบโต เศรษฐกิจก็มักจะเติบโตตามไปด้วย แต่เมื่อใดที่มันสั่นคลอน ภาคธุรกิจทั้งหมดก็ย่อมได้รับแรงกระทบเช่นกัน


การเข้าใจว่าตลาดตราสารทุนทำงานอย่างไร ไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะของนักเศรษฐศาสตร์หรือนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น เพราะมันส่งผลต่อเงินออม กองทุนบำเหน็จบำนาญ และแม้แต่การสร้างงานในระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าคุณจะถือหุ้นโดยตรง ผ่านกองทุนดัชนี หรือเพียงแค่ติดตามข่าวเศรษฐกิจ ตลาดตราสารทุนล้วนมีอิทธิพลต่อมูลค่าเงินในกระเป๋า และอัตราการเติบโตของประเทศคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ตลาดตราสารทุน (Equity Market)


ตลาดตราสารทุน (Equity Market) คืออะไร?


ตลาดตราสารทุน (Equity Market) คือเวทีที่ “สิทธิความเป็นเจ้าของกิจการ” ซึ่งแทนด้วย “หุ้น” ถูกซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ ตลาดแรก (Primary Market) คือที่ที่บริษัทออกหุ้นใหม่เพื่อระดมทุนจากสาธารณชนผ่านการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) และตลาดรอง (Secondary Market) คือที่ที่นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นที่ออกแล้วระหว่างกันภายหลังการเข้าจดทะเบียน 


ตลาดหลักทรัพย์สำคัญระดับโลก เช่น New York Stock Exchange (NYSE), NASDAQ, London Stock Exchange (LSE) และ Tokyo Stock Exchange (TSE) ทำธุรกรรมมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ทุกปี ข้อมูลจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ณ กลางปี 2025 มูลค่าตลาดตราสารทุนทั่วโลกมีมากกว่า 120 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 120% ของ GDP โลก


ตลาดตราสารทุนมีบทบาทสำคัญในการส่งผ่าน “เงินออม” ไปสู่ “การลงทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์” เมื่อมีการซื้อหุ้น นักลงทุนกำลังช่วยจัดสรรเงินทุนให้แก่บริษัทที่สร้างโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาเทคโนโลยี และจ้างแรงงาน ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างวงจรการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง


กลไกการทำงานของตลาดตราสารทุน


กระบวนการเริ่มต้นเมื่อบริษัทตัดสินใจ “เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” โดยจะจ้างธนาคารลงทุนมาช่วยประเมินราคาและรับประกันการขายหุ้น กำหนดช่วงราคาขายเบื้องต้น จากนั้นนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาด เมื่อหุ้นถูกจดทะเบียนแล้ว นักลงทุนสามารถซื้อขายได้อย่างอิสระ และราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับ อุปสงค์และอุปทาน หากมีคนต้องการซื้อหุ้นมากกว่าขาย ราคาก็จะปรับสูงขึ้น และในทางกลับกัน


ตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายน ปี 2023 บริษัท ARM Holdings กลับเข้าสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยระดมทุนได้กว่า 4.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน IPO ด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี หุ้นของ ARM ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในวันแรกของการซื้อขาย สะท้อนถึงความต้องการของนักลงทุนที่เชื่อมั่นในการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์


เบื้องหลังตลาดยังมี “กลไกสนับสนุน” เช่น โบรกเกอร์ (Brokers) ทำหน้าที่เชื่อมต่อลูกค้ากับตลาดหลักทรัพย์ ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers) คอยเสนอราคาซื้อและขายเพื่อให้มีการซื้อขายต่อเนื่อง และหน่วยงานกำกับดูแล (Regulators) เช่น US SEC หรือ UK FCA ทำหน้าที่ควบคุมให้เกิดความโปร่งใสและความยุติธรรม


ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาหุ้น


ราคาหุ้นเคลื่อนไหวตามปัจจัยหลักสามด้าน ได้แก่ พื้นฐานทางการเงิน (Fundamentals), เทคนิค (Technical Factors) และ จิตวิทยาตลาด (Sentiment) ด้านพื้นฐาน ได้แก่ กำไรของบริษัท การเติบโตของรายได้ และกระแสเงินสด ส่วนปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เช่น อัตราเงินเฟ้อ การเติบโตของ GDP และการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ก็ส่งผลเช่นกัน


ในปี 2025 ภาคเทคโนโลยียังคงเป็น “แรงขับเคลื่อนหลัก” ของผลตอบแทนตลาดตราสารทุน โดยดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวขึ้นมากกว่า 12% ตั้งแต่ต้นปี จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทด้าน AI เช่น Nvidia, Microsoft, และ Amazon ในทางกลับกัน ภาคพลังงานเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด เนื่องจากราคาน้ำมันลดลงและนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาด


จิตวิทยาตลาดหรือความรู้สึกของนักลงทุน เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ความคาดหวังและการรายงานของสื่อสามารถกระตุ้นแรงซื้อหรือแรงขายได้ แม้ในช่วงที่ผลประกอบการไม่โดดเด่นนัก เมื่อความมั่นใจสูง ราคาหุ้นก็อาจพุ่งขึ้นได้ง่าย แต่เมื่อความกลัวเข้าครอบงำ ข่าวดีอาจแทบไม่ส่งผลต่อราคา ความตึงเครียดนี้เองที่ทำให้ตลาดตราสารทุน “น่าท้าทายแต่ก็น่าหลงใหล”


ทำไมตลาดตราสารทุนจึงมีสำคัญ?


ตลาดตราสารทุนไม่ได้เป็นเพียงแหล่งทำกำไร แต่มันเป็น “กลไกระดมทุน” ที่เปิดโอกาสให้บริษัทขยายกิจการโดยไม่ต้องกู้เงิน และยังเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในความมั่งคั่งของธุรกิจ


สำหรับรัฐบาล ตลาดตราสารทุนที่แข็งแรงเป็นสัญญาณของ “ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ” กองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติทั่วโลกต่างพึ่งพาผลตอบแทนจากตลาดหุ้นเพื่อสนับสนุนภาระระยะยาว ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร มีสินทรัพย์กองทุนบำนาญกว่า 3 ล้านล้านปอนด์ ที่ผูกกับตลาดตราสารทุนโดยตรง และทั่วโลกมีความมั่งคั่งของครัวเรือนมากกว่า 60% ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์จดทะเบียนในตลาด


สุขภาพของตลาดยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ผู้คนจะรู้สึกมั่งคั่งและใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตต่อเนื่อง แต่เมื่อราคาหุ้นร่วงแรง ความระมัดระวังในการใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นและอาจนำไปสู่ภาวะถดถอย เช่นที่เกิดขึ้นในวิกฤตการเงินปี 2008 หรือช่วงต้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเดือนมีนาคม 2020


นักลงทุนรายย่อยเข้าร่วมตลาดตราสารทุนได้อย่างไร?


สำหรับบุคคลทั่วไป การเข้าถึงตลาดตราสารทุนในปัจจุบัน “ง่ายกว่าที่เคย” แพลตฟอร์มโบรกเกอร์ออนไลน์และแอปเทรดบนมือถือเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นหรือกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) ได้ด้วยค่าธรรมเนียมต่ำและเงินลงทุนเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย แพลตฟอร์มอย่างเช่น Interactive Brokers, Freetrade, หรือ TradingView ทำให้ตลาดการลงทุนระดับโลกอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้วสัมผัส


เส้นทางการเข้าร่วมตลาดของนักลงทุนรายย่อยสามารถแบ่งได้เป็น 2 แนวทางหลักคือ:


  • การลงทุนระยะยาว (Long-term investing): มุ่งสร้างความมั่งคั่งอย่างค่อยเป็นค่อยไปผ่านพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย

  • การเก็งกำไรระยะสั้น (Short-term trading): แสวงหาผลกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ บางครั้งเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่ชั่วโมง


นักลงทุนยังสามารถได้รับเงินปันผล (Dividends) ซึ่งเป็นการแบ่งผลกำไรจากบริษัท และกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital gains) เมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น การนำผลตอบแทนเหล่านี้กลับไปลงทุนซ้ำจะก่อให้เกิด “ผลทบต้น” (Compounding Effect) ที่ช่วยเร่งการเติบโตของทรัพย์สินในระยะยาว


ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนซื้อกองทุนดัชนี FTSE 100 มูลค่า 10,000 ปอนด์ ตั้งแต่ต้นปี 2015 ภายในปี 2025 มูลค่าพอร์ตจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 16,000 ปอนด์ (รวมเงินปันผลที่นำกลับไปลงทุน) แสดงให้เห็นถึงพลังของผลตอบแทนทบต้นจากตลาดตราสารทุน

ตลาดตราสารทุน


ความเสี่ยงและผลตอบแทน


การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง และตลาดตราสารทุนก็ไม่ต่างกัน ราคาหุ้นอาจผันผวนรุนแรงตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามคาด ตัวอย่างเช่น ในปี 2022 ดัชนี S&P 500 ลดลงกว่า 19% เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ที่ “อดทนถือครองต่อไป” กลับได้รับผลตอบแทนที่แข็งแกร่งในปี 2023–2024 เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงและเริ่มมีการลดดอกเบี้ย


การกระจายความเสี่ยง (Diversification) จึงเป็นวิธีบริหารความเสี่ยงที่ง่ายและได้ผลที่สุด การถือครองหุ้นในหลายอุตสาหกรรม หลายประเทศ และหลายประเภทสินทรัพย์ จะช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์เฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง กองทุน ETF และกองทุนดัชนีช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ทันที โดยเข้าถึงหุ้นนับร้อยบริษัทในผลิตภัณฑ์เดียว


กุญแจสำคัญของความสำเร็จ คือ “วินัยในการลงทุน” หลีกเลี่ยงการซื้อขายตามอารมณ์ กำหนดกรอบระยะเวลาการลงทุนที่ชัดเจน และจำไว้ว่าความสำเร็จในตลาดตราสารทุนมักมาจาก “เวลาอยู่ในตลาด” ไม่ใช่ “การจับจังหวะตลาด”


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตลาดตราสารทุน


Q1. ตลาดหุ้น (Stock Market) และตลาดตราสารทุน (Equity Market) ต่างกันอย่างไร?


ทั้งสองคำหมายถึงแนวคิดเดียวกัน แต่คำว่า “ตลาดตราสารทุน” มีความหมายที่กว้างกว่า เนื่องจากครอบคลุมทุกพื้นที่ที่มีการซื้อขาย “สิทธิความเป็นเจ้าของในบริษัท” ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือการลงทุนในทุนเอกชน (Private Equity) และเงินร่วมลงทุน (Venture Capital)


Q2. บริษัทได้ประโยชน์อะไรจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์?


การเข้าจดทะเบียน (Listing) ช่วยให้บริษัทสามารถระดมทุนเพื่อขยายกิจการ เพิ่มการมองเห็นและภาพลักษณ์ในที่สาธารณะ และเปิดโอกาสให้นักลงทุนรุ่นแรกหรือพนักงาน สามารถขายหุ้นเพื่อสร้างสภาพคล่องได้


Q3. การลงทุนในตราสารทุนเหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือไม่?


เหมาะสม หากนักลงทุนเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย, กระจายการลงทุน (Diversify) และมุ่งเน้นเป้าหมายระยะยาว กองทุนดัชนี (Index Funds) หรือกองทุนอีทีเอฟ (ETFs) ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและติดตามดัชนีหลัก เช่น S&P 500 หรือ FTSE 100 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้นเข้าสู่ตลาด


ภาพรวมสำคัญ


ตลาดตราสารทุนไม่ได้เป็นเพียง “สนามซื้อขายหุ้น” เท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนความก้าวหน้าของเศรษฐกิจโลก มันเป็นแหล่งเงินทุนที่ขับเคลื่อนนวัตกรรม สะท้อนความเชื่อมั่นของประชาชน และกระจายความมั่งคั่งไปสู่สังคมในวงกว้าง จากกองทุนบำเหน็จบำนาญในลอนดอน ไปจนถึงสตาร์ทอัพในสิงคโปร์ อิทธิพลของตลาดตราสารทุนครอบคลุมทั่วทุกมุมโลก


การเข้าใจกลไกของตลาดตราสารทุนช่วยให้เราสามารถตัดสินใจทางการเงินได้ดีขึ้น และตระหนักว่าเบื้องหลังทุกกราฟราคา มี “เรื่องราวของผู้คน ความคิด และการเติบโต” ซ่อนอยู่ ยิ่งเราเข้าใจระบบนี้มากเท่าใด เรายิ่งเห็นชัดขึ้นว่าชีวิตการเงินของเราผูกพันกับเศรษฐกิจโลกเพียงใด


คำศัพท์น่ารู้: สรุปสั้น ๆ ที่ควรจำ


  • ตราสารทุน (Equity): สิทธิความเป็นเจ้าของในบริษัท แสดงออกผ่านการถือหุ้น

  • ผู้ถือหุ้น (Shareholder): บุคคลหรือสถาบันที่เป็นเจ้าของหุ้นในบริษัท

  • การเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO – Initial Public Offering): กระบวนการที่บริษัทเอกชนเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก

  • เงินปันผล (Dividend): เงินสดที่บริษัทจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยทั่วไปมาจากผลกำไรของบริษัท

  • ดัชนี (Index): ตัวชี้วัดทางสถิติที่ใช้ติดตามผลการดำเนินงานของกลุ่มหุ้น เช่น S&P 500 หรือ FTSE 100


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ